ก่อน ที่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี  หรือผู้นำประเทศคนใดจะก้าวลงจากตำแหน่ง  เขาหรือเธอเหล่านั้นย่อมคิดในใจว่า  ผลงาน หรือ  “Legacy” ของตนจะ “ตกทอด”  ประหนึ่งมรดกทางการเมืองอันล้ำค่า  หรือ “ตกค้าง”  ดั่งพิษร้ายที่บ่อนทำลายประเทศ
 หากเรามอง “Legacy” ในแง่ดีเสมือน “ตำนาน” ที่เล่าขาน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช คงถูกจำในฐานะผู้นำที่ส่งทหารไปต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายอย่างเข้มแข็ง เด็ดขาดและอาจหาญ ในขณะที่วันหนึ่งประธานาธิบดีโอบามาอาจถูกจดจำในฐานะผู้ถอนทหารกลับบ้านจากสงครามอย่างสำเร็จและปลอดภัย
 อดีต  ปธน. บุช   ย่อมไม่อยากให้ใครกล่าวถึงเขาในฐานะผู้สั่งทรมานมนุษย์เพื่อล้วงข้อมูลการ  ก่อการร้ายมาช่วยชีวิตทหารและคนของตนที่ตายไปมาก และ ปธน. โอบามา   ย่อมแสลงใจหากใครจะนึกถึงเขาในฐานะผู้ใช้เครื่องบินรบไร้นักบิน (UAV หรือ   drone – ควบคุมโดยมนุษย์จากระยะไกล)   หากเครื่องจักรเหล่านี้ทำให้ประชาชนในบริเวณที่ถูกโจมตีเสียชีวิตไปมากกว่า  การทำสงครามโดยทหารมนุษย์
 คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   อาจถูกจดจำในฐานะผู้นำที่พาชาติผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลก   จัดเก็บรายได้เข้าคลังจนประเทศมีเงินสำรองเป็นประวัติกาล   และกล้ายุบสภาเพื่อต่อสู้ตามกติกา   แต่คุณอภิสิทธิ์ก็ไม่อยากถูกหลอกหลอนโดยวิญญาณของ 91, 92 หรือ 93 ศพ   หรืออีกหลายศพของทหารไทยที่ชายแดนกัมพูชา
 สำหรับ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   วันหนึ่งอาจถูกจดจำในฐานะผู้ที่นำแห่งยุคปรองดองภายใต้ความจริงและกฎหมาย   สลายอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ และเทิดทูนประชาธิปไตย หรือ   คุณยิ่งลักษณ์อาจเป็นเพียงเผด็จการหน้าสวย ที่อวยประโยชน์ให้พวกพ้อง   โดยท่องคาถาปรองดองที่ตนกุมไว้เด็ดขาด พร้อมสมยอมต่ออำมาตย์นอกระบบ
 เมื่อ คนที่บอกว่าตนรู้อนาคตคือคนโกหก   และเมื่อความหวังของชาติขึ้นอยู่กับจิตใจของคนในชาติ   ผู้เขียนจึงต้องฝากความหวังและกำลังใจไว้กับคุณยิ่งลักษณ์ดังนี้  
 1. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องเป็นผู้นำการปรองดองอย่างจริงใจ
 เมื่อ ประชาชนเลือกคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำ   คุณยิ่งลักษณ์ต้องชัดเจนนับตั้งแต่การทำงานวันแรกว่าความปรองดองไม่ใช่ภาระ  ของคณะกรรมการหรือหน่วยงานใดแต่ผู้เดียว (ซึ่งอาจต้องใช้เวลาทำงานเป็นปี)    แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน   และต้องเริ่มต้นจากความจริงใจของตัวคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเองที่ได้  รับเสียงข้างมากจากประชาชน
 การ เปิดประชุมสภาวันแรกเป็นโอกาสอันดีที่คุณยิ่งลักษณ์จะส่งสัญญาณ  ปรองดองอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าคำพูดนโยบาย    หากคุณยิ่งลักษณ์เชื่อในการเมืองที่ปรองดอง บนพื้นฐานของความโปร่งใส   ร่วมมือและรับฟังซึ่งกันและกัน
 อย่าง น้อยที่สุด   เรื่องตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น   คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยก็อาจขอให้พรรคฝ่ายค้านเสนอชื่อรองประธานสภา  หนึ่งคนโดยพรรครัฐบาลลงมติสนับสนุน เป็นต้น 
 (รัฐ ธรรมนูญ มาตรา 124   เปิดช่องให้สภามีมติแต่งตั้งประธานหนึ่งคนและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกสอง  คน   กฎหมายมิได้บังคับให้ผู้นำในสภาทั้งสามคนต้องมาจากพรรคฝ่ายรัฐบาลแต่อย่าง  ใด) 
 หลัก การเดียวกันนี้สามารถนำไปใช้ในอีกหลายบริบท   ไม่ว่าจะในระดับคณะกรรมาธิการของสภาก็ดี   หรือแม้แต่การแต่งตั้งนักกฎหมายมหาชนและผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้าไปสนับสนุนการ  ทำงานของคณะกรรมการอิสระชุดใดก็ดี   หรือเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการตรวจสอบรัฐบาล เช่น การคงตำแหน่งของ   นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไว้ก็ดี ฯลฯ
 2. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องสนับสนุนคณะกรรมการอิสระฯ อย่างจริงจัง 
 คุณ ยิ่งลักษณ์ให้คำมั่นสัญญาว่าการปรองดองจะอาศัยกลไกสำคัญคือ   คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ   ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร เป็นประธาน และคุณยิ่งลักษณ์สัญญาว่าจะ   “เพิ่มอำนาจ” ให้
 แต่ ผู้เขียนย้ำว่าการสนับสนุนโดยตัวคุณยิ่งลักษณ์หรือรัฐบาลเอง เช่น   การประกาศนโยบายต่อสภาเป็นการทั่วไป   หรือใช้อำนาจฝ่ายบริหารที่สุดท้ายยุบได้โดยฝ่ายบริหาร (เช่น   โดยระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี) นั้นไม่เพียงพอต่อคำมั่นสัญญา
 ใน การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก   หากคุณยิ่งลักษณ์ต้องการแสดงความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมว่าคณะกรรมการฯจะได้  รับความร่วมมือจากข้าราชการทุกภาคส่วน   ก็เป็นโอกาสอันดีที่คุณยิ่งลักษณ์จะได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติคณะรัฐมนตรี  ที่มีผลผูกพันหน่วยงานราชการ เพื่อให้คณะกรรมการฯ   ได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่   โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงข้อมูลหรือเชิญเจ้าหน้าที่มาให้ปากคำ   ตลอดจนเรื่องงบประมาณหรือช่องทางที่จะนำผลการดำเนินงานมารายงานต่อสังคม
 นอก จากนี้ เมื่อคณะกรรมการฯ มิได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน   คุณยิ่งลักษณ์ต้องช่วยนำแรงสนับสนุนจากผู้แทนของปวงชนมาสู่คณะกรรมการฯ เช่น     ประสานกับสภาเพื่อตราพระราชบัญญัติกำหนดอำนาจหน้าที่และกระบวนการสนับสนุน  การปรองดอง หรืออย่างน้อยในขั้นแรกก็คือการประสานให้มี “มติสนับสนุนของสภา”   ที่ผู้แทนทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน   และวุฒิสภาต่างลงมติเป็นการทั่วไปอย่างน้อยก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์สนับสนุน  ความชอบธรรมของกระบวนการปรองดองอย่างชัดแจ้ง
 (รัฐธรรมนูญ มาตรา 127 วรรคสี่อนุญาตให้รัฐสภาสามารถ “มีมติพิจารณาเรื่องอื่นใด” ได้)
 ยิ่ง ไปกว่านั้น ในวันแรกที่คุณยิ่งลักษณ์แถลงนโยบาย   คุณยิ่งลักษณ์ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนที่กล้าเรียกร้องให้ผู้แทนทั้ง  สองสภาแสดงความจริงใจในการปรองดอง โดยทำงานอย่างขันแข็ง   เข้าประชุมพร้อมเพรียงและไม่พิงเก้าอี้นุ่มในห้องแอร์เพียงสัปดาห์ละไม่กี่  วัน แต่หมั่นลงพื้นที่และร่วมเวทีเพื่อรับฟังแนวคิดการปรองดองจากประชาชน   เพื่อให้พระราชบัญญัติหรือมติของสภา   หรือแม้แต่ข้อมูลจากประชาชนที่สนับสนุนงานของคณะกรรมการฯ   ได้รับการพิจารณาและปรากฏผลอย่างเร่งด่วน
 3. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
 คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดมั่นใน “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” ที่พร่ำสัญญาไว้
 “หลัก นิติธรรม” ต้องเป็นมากกว่าคำสวยหรูที่หยิบมาอ้างจากรัฐธรรมนูญ  มาตรา 3  และต้องเป็นหลักการสูงสุดในการปรองดองและบริหารประเทศ   เพื่อมิให้การปรองดองเป็นเพียงการปลอกและดองกติกาไว้ขณะผู้มีอำนาจจัดสรร  ประโยชน์ระหว่างกัน
 ใน ฐานะนักกฎหมาย ผู้เขียนย้ำว่า “หลักนิติธรรม” นั้น   มิได้แปลว่าสิ่งใดหากมีกฎหมายบอกไว้อย่างเสมอภาคสิ่งนั้นจะถูกต้องเป็นธรรม  เสมอไป กล่าวคือ “นิติธรรม” ไม่ใช่ “นิติทำ”   ไม่ใช่ว่ามีกฎหมายเท่าเทียมกันแล้วจะทำอะไรก็ได้
 หาก จะแปล “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” ตามรัฐธรรมนูญไทยให้ชัด   อย่างน้อยต้องแปลความรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ให้ครบถ้วนทั้งมาตรา กล่าวคือ   “หลักนิติธรรม” ต้องควบคู่กับ “หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” และ   “หลักการแบ่งใช้อำนาจ”
 หลัก การเหล่านี้อาจเรียกว่า “หลักนิติธิปไตย” ซึ่งหมายถึง   การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ปวงชนเป็นใหญ่   ย่อมต้องปกครองด้วยกฎหมายที่เคารพเจตจำนงและสิทธิเสรีภาพของปวงชน   มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจของปวงชนตามกฎหมายอย่างสมดุล   อีกทั้งสอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและ  ประเพณีการปกครอง
 และ ต้องมิใช่กฎหมายที่สร้างขึ้นโดยผูกขาด   ไม่ว่าจะโดยอำนาจบริหารที่ขาดการตรวจสอบ อำนาจเผด็จการทางรัฐสภา   หรืออำนาจตุลาการที่ตีความกฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน   และต้องมิใช่การอาศัยเสียงข้างมากกดขี่สิทธิพื้นฐานของเสียงข้างน้อย   (กล่าวคือต้องเคารพทั้ง majority rules และ minority rights)
 (อนึ่ง  “หลักนิติธิปไตย” ดังกล่าวย่อมมีสาระใกล้เคียงกับ  “หลักนิติธรรม”  ตามแนวคิดแบบอังกฤษหรือ “หลักนิติรัฐ”  ตามแนวคิดภาคพื้นยุโรป  ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมคำอธิบายเรื่องไว้ที่ https://sites.google.com/site/verapat/rule-of-law)
 ยก ตัวอย่างให้ชัด   สมมติวันหนึ่งมีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดบางกลุ่มอย่างเสมอ  ภาคถ้วนหน้า ก็มิได้แปลว่าการนิรโทษกรรมนั้นจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 3   ทันที 
 แต่ต้องพิจารณาถึงหลักนิติธิปไตย ให้ถ่องแท้ อาทิ   กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยซึ่งตรง  กันข้ามกับเจตจำนงของประชาชนในการปรองดองหรือไม่   และเป็นการบั่นทอนอำนาจฝ่ายบริหารในการบังคับใช้กฎหมายหรืออำนาจตุลาการใน  การพิจารณาคดีจนทำให้การแบ่งใช้อำนาจเสียสมดุลหรือไม่   ทั้งนี้ร่างหรือกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวย่อมสามารถถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐ  ธรรมนูญซึ่งมีอำนาจตีความให้ร่างหรือกฎหมายดังกล่าวตกไปได้
 ใน ทางตรงกันข้าม   หากกระบวนการปรองดองหมายถึงการอาศัยประชามติเพื่อเยียวยาแก้ไขการลงโทษอย่า  งอยุติธรรมที่สืบผลมาจากความไม่ชอบธรรมของอำนาจนอกระบบอันไม่ได้มาจากเจต  จำนงของประชาชน อันเป็นการกดขี่คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด   อีกทั้งลุแก่หลักสมดุลแห่งการใช้อำนาจ   ซึ่งล้วนไม่ชอบด้วยหลักนิติธิปไตยมาแต่ต้น   ย่อมถือเป็นกรณีการปรองดองที่ต่างจากตัวอย่างการนิรโทษกรรมที่กล่าวมาอย่าง  สิ้นเชิง
 นอก จากนี้ คุณยิ่งลักษณ์จะพูดถึงหลัก “นิติธรรม”   เพียงเฉพาะเรื่องปรองดองหรือนิรโทษกรรมไม่ได้   แต่คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดหลักการดังกล่าวอย่างเสมอต้นแสมอปลายในทุกเรื่อง   ทุกที่ และทุกเวลา
 ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจในการ ปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อรักษาความน่าเชื่อ ถือของฝ่ายบริหาร  ดั่งที่เคยมีนายกรัฐมนตรีตั้ง “กฎเหล็ก 9 ข้อ” ไว้   หรือการเร่งรัดสนับสนุนมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อาทิ   เรื่องภาษีที่ดิน ที่เคยมีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังผลักดันเข้าสภาได้สำเร็จ   หรือการใช้กฎหมายสนับสนุนประสิทธิภาพของศาล   ดังที่อดีตประธานศาลฎีกาท่านหนึ่งเคยให้ผู้พิพากษาเพิ่มเวลาทำงานเพื่อช่วย  กันพิจารณาคดีที่มีค้างในศาลเป็นจำนวนมาก   หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมายเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของผู้หญิงไทยในสายตาชาว  ต่างชาติ   โดยปราบปรามแหล่งมั่วสุมที่กลาดเกลื่อนทั่วประเทศและโจษจันจนขายหน้าไปทั่ว  โลก ฯลฯ
 ที่สำคัญ  หากคุณยิ่งลักษณ์เชื่อในหลักการเหล่านี้จริง   นับแต่วันแรกที่แถลงนโยบายต่อสภา   คุณยิ่งลักษณ์ต้องแสดงความกล้าหาญในฐานะผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่ปฏิเสธ  ลัทธิรัฐประหารอย่างสิ้นเชิง   และไม่ปล่อยให้ใครกล้าตบเท้าทับรัฐธรรมนูญและตบหน้าประชาชนได้
 ใน วันเลือกตั้ง 3 ก.ค.  ยังมีสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ทำนองว่า  “การปฏิวัติ”  (รัฐประหารยึดอำนาจ) ยังเป็นทางเลือกในสังคมไทย  อีกทั้งกล่าวเชิงข่มขู่ว่า   “แม้ทหารทุกคนไม่มีใครอยากจะปฏิวัติแต่ถ้ามีปัจจัย…ทหารก็จะต้องมาทบทวน  บทบาทกันอีกครั้ง”
 เมื่อมีผู้ดูถูกเหยียบหยามการ ตัดสินใจของปวงชนและรัฐธรรมนูญเช่นนี้   อย่างน้อยที่สุดคุณยิ่งลักษณ์และผู้แทนปวงชนในสภาต้องออกมาร่วมกันประณาม  บุคคลดังกล่าว   และไม่ปล่อยให้การปรามาสสติปัญญาทางประชาธิปไตยของปวงชนเป็นเรื่องปกติอีก  ต่อไปในสังคมไทย
 แม้ วันนี้คุณยิ่งลักษณ์จะยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี   และอาจกำลังสาละวนอยู่กับเก้าอี้ดนตรีและร่างนโยบายที่จะแถลงต่อสภา   แต่ขอฝากให้คุณยิ่งลักษณ์คิดให้หนักแน่นว่า   สิ่งต่างๆที่คุณยิ่งลักษณ์ลงมือทำนับแต่วันแรกจะเป็นเครื่องวัดว่าในวันสุด  ท้าย ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”   จะถูกขานเป็นตำนานจากชั้นตำราประถมไปถึงบทกวีในพิพิธภัณฑ์   หรือจะเหลือเพียงชื่ออันเจ็บปวดที่ประชาชนคนไทยลืมไม่ลงแม้ไม่อยากจะนึกถึง  ก็ตาม
 หมายเหตุ 
 บทความนี้เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2554
 ข้อมูลเกี่ยวกับเกี่ยวกับ “นิติรัฐ-นิติธรรม” รวบรวมไว้ที่
 
 
