เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเป็นยุติว่าคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด แล้วนั้น  เป็นสิ่งที่ชี้ขาดว่าสิทธิหน้าที่ของบุคคลในทางกฎหมายมีอยู่อย่างไร  คำพิพากษานั้นจะถูกหรือผิดอย่างไรในทางกฎหมายก็ตาม โดยปกติแล้ว  ก็ย่อมมีผลผูกพันบรรดาคู่ความในคดี  ข้อพิพาททางกฎหมายย่อมยุติลงตามการชี้ขาดคดีของศาลซึ่งถึงที่สุด  และคำพิพากษาดังกล่าวย่อมเป็นฐานแห่งการบังคับคดีตลอดจนการกล่าวอ้างของคู่ ความในคดีต่อไปได้  คุณค่าของการต้องยอมรับคำพิพากษาของศาลก็คือ  ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล  อันมีผลบั้นปลายในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย
 อย่างไรก็ตาม  กรณีย่อมเป็นไปได้เสมอที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอาจเกิดความผิดพลาดขึ้น   ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากความจงใจหรือความประมาทเลินเล่อ ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม หรือความผิดพลาดนั้น  อาจเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยก็ได้  ระบบกฎหมายที่ดีย่อมกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว ได้ ในทางกฎหมาย เราเรียกกระบวนการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว  แต่มีความบกพร่อง และหากปล่อยไว้ไม่ให้มีการทบทวน  ก็จะไม่ยุติธรรมแก่คู่ความในคดีว่า การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่  ในกรณีที่ปรากฏในกระบวนการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ว่าคำพิพากษาที่ถึงที่ สุดแล้วนั้น เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ศาลที่พิจารณาคดีดังกล่าวนั้น  ย่อมต้องยกคำพิพากษาเดิมซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาดเสีย  แล้วพิพากษาคดีดังกล่าวใหม่
 การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่  จึงเป็นหนทางของการลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว  แต่เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ทั้งนี้ตามกระบวนการ ขั้นตอน  และหลักเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าในระบบกฎหมายนั้น  โดยองค์กรที่มีอำนาจลบล้างคำพิพากษาที่ผิดพลาดดังกล่าว ก็คือ  องค์กรตุลาการหรือศาลนั่นเอง
 ในทางนิติปรัชญาและในทางทฤษฎีนิติศาสตร์  ยังคงมีปัญหาให้พิเคราะห์ต่อไปอีกว่า  ในกรณีที่ศาลหรือผู้พิพากษาอาศัยอำนาจตุลาการพิจารณาพิพากษาคดีไปตามตัวบท กฎหมายซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม  หรือในกรณีที่ศาลหรือผู้พิพากษาพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่เคารพหลักการพื้น ฐานของกฎหมาย นำตนเข้าไปรับใช้อำนาจทางการเมืองในห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง  ยอมรับสิ่งซึ่งไม่อาจถือว่าเป็นกฎหมายได้ ให้เป็นกฎหมาย  แล้วชี้ขาดคดีออกมาในรูปของคำพิพากษา   ในเวลาต่อมาผู้คนส่วนใหญ่เห็นกันว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาที่ไม่ อาจยอมรับนับถือให้มีผลในระบบกฎหมายได้  และเห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้วิธีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ลบล้างคำ พิพากษานั้นได้เช่นกัน จะมีหนทางใดในการลบล้างคำพิพากษาดังกล่าวนั้น
 หลักการเบื้องต้นในเรื่องนี้ มีอยู่ว่า  กฎเกณฑ์ที่ขัดต่อความยุติธรรมอย่างรุนแรง  ไม่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายฉันใด  คำตัดสินที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานทางกฎหมายและความยุติธรรมอย่างชัดแจ้งก็ไม่ ควรจะได้ชื่อว่าเป็นคำพิพากษาฉันนั้น
 ในประเทศเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ความปรากฏชัดว่า  ศาลต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลพิเศษที่อดอลฟ์  ฮิตเลอร์จัดตั้งขึ้นเป็นศาลสูงสุดในคดีอาญาทางการเมือง  (เรียกกันในภาษาเยอรมันว่า Volksgerichtshof  ซึ่งอาจแปลตามรูปศัพท์ได้ว่า  ศาลประชาชนสูงสุด เมื่อแรกตั้งขึ้นนั้น  ศาลดังกล่าวนี้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการทรยศต่อชาติ  ต่อมาได้มีการขยายอำนาจออกไปในคดีอาญาอื่นๆด้วย เช่น  การวิจารณ์หรือแสดงความสงสัยในชัยชนะในสงครามของรัฐบาลนาซีเยอรมัน  ศาลดังกล่าวนี้ก็อาจลงโทษประหารชีวิตผู้วิจารณ์หรือแสดงความสงสัยในชัยชนะ นั้นเสียก็ได้)  ได้พิพากษาลงโทษบุคคลจำนวนมากโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานทางกฎหมายและความ ยุติธรรม   มีคำพิพากษาจำนวนไม่น้อยที่ศาลได้ใช้วิธีการตีความกฎหมายขยายความออกไป อย่างกว้างขวาง เพื่อลงโทษบุคคล  ในหลายกรณีเห็นได้ชัดว่าศาลได้ปักธงในการลงโทษบุคคลไว้ก่อนแล้ว  และใช้เทคนิคโวหารในการใช้และการตีความกฎหมายโดยบิดเบือนต่อหลักวิชาการทาง นิติศาสตร์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลงโทษบุคคลนั้น (เช่น คดี Leo  Katzenberger)
 มีข้อสังเกตว่า  การดำเนินคดีในนามของกฎหมายและความยุติธรรมของศาลในระบบนาซีเยอรมัน  เกิดจากแรงจูงใจในทางการเมือง เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และศาสนา  (อาจเรียกให้สมกับยุคสมัยว่า "ตุลาการนาซีภิวัฒน์")  อีกทั้งกระบวนการในการดำเนินคดี ขัดต่อหลักการพื้นฐานหลายประการ เช่น  การไม่ยอมมีให้มีการคัดค้านผู้พิพากษาที่เห็นได้ชัดว่ามีส่วนได้เสียหรือมี อคติในการพิจารณาพิพากษาคดี  การจำกัดสิทธิในการนำพยานหลักฐานเข้าหักล้างข้อกล่าวหา  การกำหนดให้การพิจารณาพิพากษากระทำโดยศาลชั้นเดียว  ไม่ยอมให้มีการอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา  การจำกัดระยะเวลาในการต่อสู้คดีของจำเลย เพื่อให้กระบวนพิจารณาจบไปโดยเร็ว  มิพักต้องกล่าวถึงบรรยากาศของการโหมโฆษณาชวนเชื่อในทางสาธารณะ  และแนวความคิดของผู้พิพากษาตุลาการในคดีว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหา เพียงใด ที่น่าขบขันและโศกสลดในเวลาเดียวกันก็คือ  แม้ว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในเวลานั้น จะออกโดยเผด็จการนาซี  และศาลในเวลานั้นต้องใช้กฎหมายของเผด็จการนาซีในการพิจารณาพิพากษาคดีก็ตาม  แต่ถ้าใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วไม่สามารถเอาผิดกับผู้ถูกกล่าว หาได้ เช่นนี้ ศาลก็จะตีความกฎหมายจนกระทั่งในที่สุดแล้ว  สามารถพิพากษาลงโทษผู้ถูกกล่าวหาจนได้
 เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงแล้ว  มีเสียงเรียกร้องให้ลบล้างหรือยกเลิกคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งเกิด ขึ้นในระหว่างการครองอำนาจของรัฐบาลนาซีเสีย   แม้ว่าทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าควรจะต้องลบล้างบรรดาคำพิพากษาดังกล่าวก็ตาม  แต่ก็ถกเถียงกันว่าวิธีการในการลบล้างคำพิพากษาเหล่านั้นควรจะเป็นอย่างไร  ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะดำเนินการลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีเป็นรายคดีไป  เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ  อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะลบล้างคำพิพากษาทั้งหมดเป็นการทั่วไป ในชั้นแรก  ในเขตยึดครองของอังกฤษนั้น ได้มีการออกข้อกำหนดลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๑๙๔๗  ให้อำนาจอัยการในการออกคำสั่งลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีหรือให้อัยการยื่นคำ ร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีก็ได้เป็นรายคดีไป  การลบล้างคำพิพากษาเป็นรายคดีนี้ได้มีการนำไปใช้ในเวลาต่อมาในหลายมลรัฐ  อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวมีปัญหาในทางปฏิบัติมาก  ทั้งความยุ่งยากในการดำเนินกระบวนการลบล้างคำพิพากษาและการเยียวยาความเสีย หาย ปัญหาดังกล่าวนี้ดำรงอยู่เรื่อยมาในเยอรมนีเกือบจะตลอดศตวรรษที่ยี่สิบ
 ใน ค.ศ. ๑๙๘๕ สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธ์ (Bundestag)  ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ประกาศว่า  ศาลสูงสุดคดีอาญาทางการเมือง (Volksgerichtshof)  เป็นเครื่องมือก่อการร้ายเพื่อทำให้ระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนาซีสำเร็จผลโดย บริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้  บรรดาคำพิพากษาทั้งหลายที่เกิดจากการตัดสินของศาลดังกล่าวจึงไม่มีผลใดๆใน ทางกฎหมาย และในปี ค.ศ.๒๐๐๒  ได้มีการออกรัฐบัญญัติลบล้างคำพิพากษานาซีที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรมในคดีอาญา  กฎหมายฉบับนี้มีผลลบล้างคำพิพากษาของศาลสูงสุดคดีอาญาทางการเมืองและศาล พิเศษคดีอาญาทุกคำพิพากษา
 ปัญหาการลบล้างหรือยกเลิกหรือประกาศความเสียเปล่าหรือความเป็นโมฆะของ คำพิพากษาเป็นปัญหาที่แทบจะไม่เคยมีการอภิปรายในระบบกฎหมายไทย  ทั้งๆที่คำพิพากษาของศาลถือเป็นการแสดงเจตนาในทางมหาชนก่อให้เกิดการเคลื่อน ไหวในสิทธิหน้าที่ของบุคคล ซึ่งหากขัดต่อกฎหมายอย่างรุนแรงแล้ว  ก็อาจตกเป็นโมฆะได้  โดยทั่วไปแล้วหากนักกฎหมายไทยต้องการให้คำพิพากษาของศาลไม่สามารถที่จะ บังคับการต่อไปได้ในทางกฎหมาย  ก็มักจะใช้วิธีการนิรโทษกรรมหรืออภัยโทษเป็นสำคัญ  ทั้งนี้โดยไม่กระทบต่อคำพิพากษานั้น  ซึ่งหมายความว่าระบบกฎหมายยอมรับคำพิพากษานั้น  แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลในทางรัฐประศาสโนบาย  จำเป็นที่ต้องระงับโทษหรือยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำ ความผิดหรือบุคคลที่ถูกพิพากษาว่าได้กระทำความผิด
 เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าศาลและนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ยอมรับว่าบรรดาคำ สั่ง ตลอดจนประกาศต่างๆของคณะรัฐประหารมีสถานะเป็นกฎหมาย  และความเป็นกฎหมายของคำสั่งตลอดจนประกาศของคณะรัฐประหารในสายตาของศาลและนัก กฎหมายไทย  ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะในห้วงเวลาที่คณะรัฐประหารครองอำนาจเท่านั้น  แม้คณะรัฐประหารสิ้นอำนาจลงแล้ว บรรดาคำสั่งตลอดจนประกาศเหล่านั้น  ก็มีผลเป็นกฎหมายต่อเนื่องไปด้วย ด้วยวิธีคิดเช่นนี้  ศาลหรือองค์กรที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นคล้ายกับศาลภายหลังการรัฐประหาร เช่น  คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๔๙  จึงสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีตามคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐ ประหารได้ เช่น  การที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญนำประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ ๒๗  มาใช้บังคับย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่บุคคล  และสามารถทำคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยให้มีผลในระบบกฎหมายได้  ทั้งๆที่ขั้นตอนต่างๆที่เกิดขึ้นในกระบวนการ“ยุติธรรม” นั้น  ในบางขั้นตอนเป็นขั้นตอนที่ถูกกำกับโดยคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหาร  ซึ่งเมื่อตรวจวัดกับหลักการพื้นฐานในทางกฎหมายแล้ว ไม่สามารถยอมรับได้ เช่น   การตั้งปรปักษ์ของผู้ถูกกล่าวหา เป็นกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา เป็นต้น
 นอกจากนี้ หากพิเคราะห์เฉพาะในแง่มุมของตัวบทกฎหมาย  โดยยังไม่พิเคราะห์ถึงบรรยากาศทางสังคม  ทัศนะของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มพลังต่างๆในทางสังคม เช่น สื่อมวลชน  ตลอดจนทัศนะและค่านิยมของผู้พิพากษาตุลาการในดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่ เกี่ยวข้องกับผลได้เสียทางการเมือง  การต่อสู้คดีของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหายังไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่  เพราะถูกจำกัดโดยโครงสร้างของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายซึ่งเป็นผล พวงโดยตรงหรือโดยอ้อมของการทำรัฐประหารเอง เช่น  การบัญญัติรับรองให้บรรดาคำสั่งหรือประกาศต่างๆของคณะรัฐประหารซึ่งรับรอง ไว้ชั้นหนึ่งแล้วว่าให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญโดยรัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราว (ดู มาตรา ๓๖ ของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว ๒๕๔๙)  เป็นคำสั่งหรือประกาศ (รัฐธรรมนูญเรียกว่า “การใดๆ”) ที่ “ถือว่า”  ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฉบับที่เกิดขึ้นตามมา  คือรัฐธรรมนูญฉบับที่ต้องการให้ใช้บังคับถาวร (ดู มาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญฯ  ๒๕๕๐)  โครงสร้างของรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นฐานทางกฎหมายชั้นดีในการให้ศาลดำเนิน กระบวนพิจารณาไปได้  โดยไม่ต้องตั้งคำถามว่าบรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารซึ่งในทางรูป แบบเป็นคำสั่งหรือประกาศที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรมนั้น  ในทางเนื้อหาถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่
 ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์การฉีกรัฐธรรมนูญ  ล้มองค์กรสูงสุดในทางบริหารและทางนิติบัญญัติอย่างไร้อารยะมาหลายครั้งเต็ม ที  และเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ภาวะที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง  ก็ไม่เคยมีสักครั้ง  ที่องค์กรซึ่งได้รับอาณัติในการปกครองและมีความชอบธรรมสูงสุดในระบอบ ประชาธิปไตย จะได้กลับไปทบทวนบรรดาคำสั่ง คำวินิจฉัย  คำพิพากษาต่างๆที่เป็นผลพวงไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการรัฐประหารว่าสมควร จะทำให้บรรดาคำสั่ง  คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาเหล่านั้นสิ้นผลลงในทางกฎหมายหรือทำให้ไม่เคยเกิดผล ในทางกฎหมายเลยอย่างไรได้บ้าง
 อาจมีผู้เสนอความเห็นว่า  สมควรที่จะต้องตรากฎหมายยกเลิกบรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารเสีย  การดำเนินการไปตามความเห็นดังกล่าวเพียงอย่างเดียวอาจมีปัญหาในทางกฎหมายตาม มาอีกว่า  ต่อให้ตรากฎหมายยกเลิกบรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารเหล่านั้น  บรรดาคำสั่ง คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาที่เกิดขึ้นแล้ว  ก็อาจจะไม่ได้ถูกยกเลิกตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ  หากคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารนั้นไม่ใช่กฎหมายอาญาสารบัญญัติที่กำหนด ความผิดและโทษขึ้น  แต่เป็นคำสั่งหรือประกาศที่กำหนดกระบวนการในการดำเนินคดีหรือเป็นคำสั่งหรือ ประกาศแต่งตั้งบุคคลให้เป็นเจ้าหน้าที่หรือกรรมการสอบสวน  นอกจากนี้ในทางหลักการ  การตรากฎหมายยกเลิกบรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหาร  โดยไม่ลบล้างบรรดาคำสั่ง คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาขององค์กรของรัฐไปพร้อมกัน  ในทางสัญลักษณ์ยังเท่ากับยอมรับความถูกต้องของคำสั่ง คำวินิจฉัย  หรือคำพิพากษาขององค์กรของรัฐเหล่านั้นด้วย
 การนิรโทษกรรมบรรดาผู้ที่ต้องคำพิพากษาอันเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร นั้น แม้จะทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด  แต่ก็อาจมีข้อเสียในแง่ที่หากบุคคลเหล่านั้นกระทำความผิดจริง  ก็จะทำให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดไป  และในทางสัญลักษณ์ก็เท่ากับยอมรับคำพิพากษาของศาลเช่นกัน  ทั้งๆที่เป็นไปได้อีกด้วยที่ในทางเนื้อหานั้นคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำ พิพากษาที่ไม่ถูกต้อง เช่น  ศาลตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาออกไปกว้างมากจนไม่ใช่แค่การตีความโดยขยาย ความเท่านั้นแต่กลายเป็นการใช้กฎหมายโดยเทียบเคียง (analogy)  เป็นผลร้ายต่อบุคคล ซึ่งต้องห้ามในกฎหมายอาญา
 สิ่งที่วงการกฎหมายไทย ควรตรึกตรองอย่างมีเหตุผล มีความเป็นธรรม ก็คือ  การตรากฎหมายลบล้างคำสั่ง คำวินิจฉัย  หรือคำพิพากษาที่เป็นผลพวงไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการทำรัฐประหาร  โดยถือเสมือนว่าไม่เคยเกิดมีคำสั่ง คำวินิจฉัย หรือคำพิพากษาเหล่านั้นขึ้น  ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ และหลังจากนั้น  ถ้าจะดำเนินคดีกับผู้ใดที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด  ก็ให้ดำเนินคดีไปตามความเป็นธรรม  ตามกฎหมายที่ถูกต้องชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยโดยองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ที่ได้รับการปฏิรูปแล้ว แม้จะมีผู้กล่าวว่าในทางความเป็นจริง  การกำหนดกฎเกณฑ์ดังกล่าวอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น  การประกาศลบล้างคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในคดีที่มีการเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเป็นเวลา ๕ ปี  จากการบังคับใช้ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๗ เพราะเมื่อถึงวันนั้น  ระยะเวลาในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคงจะล่วงพ้นไปแล้ว  แต่การประกาศลบล้างคำวินิจฉัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลในทางสัญลักษณ์ในการ ปฏิเสธอำนาจรัฐประหารแล้ว  ในทางกฎหมายย่อมจะต้องถือว่าบุคคลเหล่านั้นไม่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เลยด้วย
 อย่างไรก็ตาม โดยที่บรรดาคำสั่ง คำวินิจฉัย  และคำพิพากษาที่เป็นผลพวงไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมจากรัฐประหาร  เกี่ยวพันกับรัฐธรรมนูญ การตรากฎหมายประกาศลบล้างคำสั่ง คำวินิจฉัย  และคำพิพากษาดังกล่าวอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญ (ซึ่งเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฯ ๒๕๕๐  อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้บังคับต่อจากรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว ๒๕๔๙  ซึ่งเป็นผลจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙)  วินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญเสียก็ได้  อีกทั้งการประกาศความเสียเปล่าของคำสั่ง คำวินิจฉัย ตลอดจนคำพิพากษานั้น  บางกรณีก็เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียเองด้วย เพราะฉะนั้น  จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญ  และเพื่อให้การตัดสินใจในกรณีนี้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในระดับสูงสุด  กรณีจึงสมควรที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ  บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าวจึงต้องผ่านการออกเสียงประชามติ
 หากเป็นเช่นนั้น นี่จะเป็นการให้คำตอบของเจ้าของอำนาจตัวจริงที่ชัดเจนที่สุดต่อระบบแห่งกฎเกณฑ์ที่เกิดจากการทำรัฐประหาร.
 
