หลายครั้งที่เราได้ฟังแกนนำมวลชน สื่อ นักวิชาการบางคนพยายามอธิบายว่า ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในบ้านเราไม่เกี่ยวกับ “ความเกลียดชัง” ตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของการมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากยึดหลักการ อุดมการณ์ ต่างกัน
แต่เมื่อสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จะเห็นว่า มันมีเรื่องของ  “ความรัก-ความเกลียดชัง” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างสัมพัทธ์กับการเพิ่ม-ลด  “ดีกรี” ของความขัดแย้งและความรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ หมายความว่า  มันมีการสร้างความเกลียดชังตัวบุคคล กลุ่มคน ฝ่าย หรือ “สี” ผ่านสื่อต่างๆ  ในหลากหลายรูปแบบอยู่เสมอตลอดมา นับแต่การสร้างปีศาจทักษิณ  เสื้อแดงนิยมความรุนแรง ขบวนการล้มเจ้า หมู่บ้านแดงคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
 กระทั่งปัจจุบัน ปรากฏการณ์ของ social media ในท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม  ก็มีแม้กระทั่งพระสงฆ์บางรูปโพสต์ข้อความว่า คนเสื้อแดงที่เคยด่า  “ทหารเป็นฆาตกร” ไม่น่าจะยื่นมือมาขอรับความช่วยเหลือจากทหาร  ไม่ต้องพูดถึงการโพสต์ด่านายกฯ ว่ามีมากเพียงใด  อีกทั้งสื่อทีวีที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ตามกัดเป็นรายวัน เหมือนจงใจใช้  “วิกฤตมหาอุทกภัย” ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่พวกตนเกลียดชัง  โดยไม่ต้องสนใจเหตุผลว่า  ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ทุกฝ่ายควรหันมาช่วยเหลือกันและกันอย่างไร
 แม้กระทั่งเมื่อเช้านี้ (27 ต.ค.) ในรายการ “เก็บตกจากเนชั่น” กนก  รัตน์วงสกุล กับ ธีระ ญัญญไพบูลย์ ก็ยังแสดงความเห็นว่า มีน้องๆ  ที่ไปช่วยแพ็คของที่ ศปภ.ดอนเมือง บอกว่า มีคนบอกให้ใส่เสื้อแดง  แล้วก็พูดตลอดว่า พวกเราคนเสื้อแดงต้องช่วยคนเสื้อแดงด้วยกัน  มันเป็นบรรยากาศที่รับไม่ได้ เสียความรู้สึกมาก จนต้องหนีกลับมา  กนกยังพูดอีกว่า  มีนักการเมืองบางคนให้ติดชื่อตนเองบนห่อของที่รับบริจาคก่อนนำไปแจกชาวบ้าน  ภายใน ศปภ.ตอนนี้มันเละจนรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ต้องขอนายกฯ  ให้ทหารเข้าไปบริหารจัดการแทน
 แล้วกนกก็เชลียร์ทหารต่อว่า  “ทหารเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนเรื่องน้ำท่วมอย่างเต็มที่  ตอนนี้ทหารเป็นฮีโร่ของชาวบ้านไปแล้ว ที่จริงทหารเค้าก็เป็นฮีโร่มาตลอด  แต่นักการเมืองนับวันจะตกต่ำลง ไม่รู้คิดได้หรือยัง  ถ้าคิดได้ตอนนี้ก็ยังกลับตัวทัน” 
 ตัวอย่างที่ยกมาเป็นต้นนี้ สะท้อนว่าความเกลียดชังมันฝังลึก  จนยากที่จะประสานรอยร้าวให้สนิทไม่ว่าจะเผชิญภาวะวิกฤตขนาดไหนก็ตาม  จึงน่าคิดว่า  ความเกลียดชังฝังลึกที่ส่งผลเป็นความแตกร้าวเกินเยียวยาเช่นนี้มันเกิดขึ้น ได้อย่างไร
 หากพิจารณา “วาทกรรมความขัดแย้ง” ในบ้านเราอย่างตรงไปตรงมา  จะเห็นว่าเป็นการเถียงกันเรื่องถูก-ผิด แต่ว่าความหมายของ “ถูก-ผิด”  ที่สังคมเรานิยมใช้กันมันไม่ใช่เรื่องถูก-ผิดในเชิงการปฏิบัติตามนโยบายของ รัฐบาล ประสิทธิภาพในการทำงาน และมันไม่ใช่การเถียงกันอย่างจริงจังว่า  หลักการ อุดมการณ์อะไรถูกหรือผิด ไม่ได้จริงจังด้วยซ้ำว่า  มันเป็นเรื่องของกากระทำที่ถูกหรือผิดในทางกฎหมาย หลักความยุติธรรม  หรือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย 
 แต่ถูก-ผิดที่เราใช้ฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น เป็นเรื่องของ  “ความถูก-ผิดทางจริยธรรม” ทว่าปัญหาคือ “วัฒนธรรมความคิดทางจริยธรรม”  ในบ้านเรา  เป็นวัฒนธรรมความคิดที่มีอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาซึ่งเป็นจริยธรรมเชิง ปัจเจก ไม่ใช่จริยธรรมภาคสาธารณะ (social morality) ฉะนั้น ถูก-ผิด  ที่เราใช้ฟาดฟันกัน  จึงไม่ชัดว่าเป็นเรื่องของถูก-ผิดตามหลักการของจริยธรรมภาคสาธารณะ  คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม  แต่เราขับเน้นถูก-ผิดในความหมาย “ดี-ชั่ว” ของตัวบุคคล  แล้วก็นำเรื่องดี-ชั่วของตัวบุคคลไปผูกติดกับ “ความรัก-ความเกลียดชัง”  และใช้ความรัก-ความเกลียดชังนั้นเป็นเงื่อนไขของการแบ่งฝ่าย  และการต่อสู้ทางการเมือง
 ภายใต้วัฒนธรรมความคิดทางจริยธรรมเช่นนี้  สังคมเราจึงสร้างกระแสความรักความศรัทธาในตัวบุคคลที่ถูกยกย่องกันว่าเป็น  “คนดี” หรือเป็น “ผู้มีคุณธรรมจริยธรรมสูงส่ง” อย่างไม่ลืมหูลืมตา  และสร้างกระแสความเกลียดชังตัวบุคคลที่ถูกสังคมพิพากษาว่าเป็น “คนเลว”  หรือคนไม่มีคุณธรรมจริยธรรม อย่างสุดโต่ง 
 ฉะนั้น สำหรับคนที่ถูกยกย่องว่า  เป็นคนดีมีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่รักของผู้คน  เราจึงไม่สนใจวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ  ขณะที่คนที่ถูกสังคมพิพากษาว่าเป็นคนเลว  หรือเป็นพวกเดียวกับคนเลวและผู้คนเกลียด  ไม่ว่าเขาจะขยับตัวทำอะไรก็ผิดไปหมด จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกจับผิด ถูกวิจารณ์  ถูกด่าอยู่ตลอดไป  
 วัฒนธรรมความคิดทางจริยธรรมที่เอาเรื่อง  “ดี-ชั่วผูกโยงกับความรัก-ความเกลียดชัง” ดังกล่าว สะท้อให้เห็นว่า  ความเชื่อทางจริยธรรม หรือความเชื่อเรื่องดี-ชั่ว  ของสังคมเราไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความมีเหตุผลและหลักการเชิงสังคม  แต่อยู่บนพื้นฐานของความรัก-ความเกลียด  หรือความศรัทธา-ไม่ศรัทธาในตัวบุคคลเป็นหลัก
 ฉะนั้น เวลาเราพูดถึง “ความดี” หรือการกระทำที่ดี เราจึงไม่มี  “จินตภาพ” ของความดี  หรือการทำดีในความหมายที่เป็นการกระทำเพื่อปกป้องหลักการเชิงสังคม  ป้องคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือประโยชน์สุขเชิงสาธารณะ  เช่นการกระทำตามหรือการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม  จึงไม่ใช่ความดีหรือการกระทำที่ดี ที่ภาครัฐ ระบบการศึกษา สื่อ ฯลฯ     โปรโมท กระตุ้นเตือน หรือรณรงค์ให้ประชาชนเห็นคุณค่า  และถือเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ หรือยึดถือปฏิบัติเป็นวิถีชีวิต
 แต่ความดีหรือการกระทำที่ดีที่สังคมนี้โปรโมท  รณรงค์ให้คนทุกเพศทุกวัยกระทำคือ “ความดีเชิงปัจเจก” เช่น การ  “ทำดีเพื่อพ่อ”  ซึ่งหมายถึงคุณจะทำอะไรก็ได้ที่เกิดประโยชน์กับตัวคุณ(และทำให้คุณเพิ่มพูน ศรัทธาใน “พ่อ” มากขึ้น) เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ออกกำลังกาย  กระทั่ง “อ่านหนังสือสอบเพื่อพ่อ” ร้องเพลงเพื่อพ่อ  ถ้าเป็นการทำดีเชิงสาธารณะเพื่อพ่อก็มักจะเป็นเรื่องเก็บขยะ ปลูกป่า ฯลฯ  แต่ไม่เคยมีการทำความดีด้วยการต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพ ความเสมอภาค  ประชาธิปไตย “เพื่อพ่อ” เลย  (มีแต่การอ้างพ่อเพื่อจัดการกับคนที่ออกมาเรียกร้องเรื่องดังกล่าว)
 นอกจากนี้ ก็เป็นเรื่องของการโปรโมทความดี  หรือการทำดีตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งมักเน้นเรื่องทำบุญทำทาน การรักษาศีล  ปฏิบัติธรรม เพื่อความสุขความเจริญของชีวิตในชาตินี้และชาติหน้า  แต่มุมมองทางศีลธรรมศาสนานิยมปลูกฝังกัน  ก็มักจะมองการกระทำหรือพฤติกรรมของมนุษย์ผ่าน “กรอบโลกทัศน์แบบขาว-ดำ”  เป็นหลัก
 ภายใต้บริบทของสังคมที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมความคิดทางจริยธรรมดัง กล่าวนี้ ทัศนะทางการเมืองก็ถูกทำให้เป็น “ทัศนะแบบขาว-ดำ” ไปด้วย  จึงทำให้การถกเถียงเรื่องปัญหาทางการเมืองกลายเป็นเสมือนเรื่องทางศาสนาเข้า ไปทุกที  เพราะฝ่ายที่เห็นต่างกันไม่สามารถถกเถียงกันได้ด้วยเหตุผลอย่างถึงที่สุดภาย ใต้บรรยากาศของการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง  เนื่องจากทั้งตัวบุคคลและทัศนะของเขาง่ายที่จะ “ถูกจับยัด” เข้าไปใน “กรอบ”  ของ “ดี-ชั่ว” อย่างสัมบูรณ์ (absolutely) ตาม concept ที่ว่า “คนดี” คือ  “คนที่ต้องจงรักภักดี” ความดี หรือการกระทำที่ดี คือการกระทำที่สนับสนุน  ส่งเสริม ปกป้องความจงรักภักดี และ “คนชั่ว” คือ “คนที่ไม่  (หรือถูกสงสัยว่าไม่) จงรักภักดี” ความชั่ว หรือการกระทำที่ชั่ว  คือการกระทำที่ไม่สนับสนุน ไม่ส่งเสริม ไม่ปกป้องความจงรักภักดี  รวมทั้งการกระทำที่เป็นการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบบุคคล  หรือสถาบันที่สังคมจงรักภักดี
 นี่คือปัญหาหลักอันเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมความคิด  ที่ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองแทนที่จะเป็นเรื่องของการถกเถียงกันด้วย เหตุผลอย่างถึงที่สุด เพื่อแสวงหาอุดมการณ์ หลักการ  กติกาที่ยุติธรรมที่สุดแก่สมาชิกของสังคมทุกคนอย่างเสมอภาคที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ กลับกลายเป็นเรื่องของการสร้างความเกลียดชัง สร้าง “มายาคติ”  เรื่อง “ดี-ชั่ว” ของตัวบุคคลให้เป็นเงื่อนไขของความแตกแยก  และความรุนแรงไม่สิ้นสุด 
 แม้กระทั่งในภาวะที่ประเทศต้องเผชิญ “วิกฤตมหาอุทกภัย” ร่วมกัน การสร้างความเกลียดชังก็ยังคงดำเนินต่อไป!
 
