บทความพิเศษ:ถึงเวลาทำ “วัฒนธรรมแห่งชาติ” ให้เป็น “วัฒนธรรมของประชาชน”
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง จำเป็นต้องปฏิรูปวัฒนธรรมแห่งชาติเสียใหม่ ให้เป็นวัฒนธรรมประชาชน
โดย วิสา คัญทัพ
เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยอีนิวส์ 7 กรกฎาคม 2554
“แดงคือชาติประชาชน บนไตรรงค์ธงชาติไทย หยัดยืนไม่ยอมให้ผู้ใด
ประชาธิปไตยธำรงมั่น รัฐประหารเจอกันในทันที”
ผมเคยเขียนเพลงอธิบายสีแดงบนธงชาติ ตามความหมายที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า แตงคือชาติ ขาวคือศาสนา และน้ำเงินคือพระมหากษัตริย์
เพียงแต่ผมขยายความคำว่า “ชาติ” ซึ่งฟังดูเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน ให้มีตัวตน มีจิตวิญญาณขึ้น โดยชี้ชัดว่า “ชาติคือประชาชน” ถ้าไม่มีมีประชาชนก็ไม่มีชาติ
เรื่องนี้เป็นเรื่องรูปการจิตสำนึก เป็นวัฒนธรรม ที่คนไทยทุกคนได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาแต่เยาว์วัยไม่รู้ความ ไม่ว่าผู้ที่คิดให้ความหมายของ “ธงชาติ” ในอดีตจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาที่จะอธิบายว่าสีแดงคือ “ชาติ” บัดนี้ผมคิดว่าไม่ถูก เพราะเมื่อชาติคือประชาชน และประชาชนคือชาติ
การไม่ใช้คำว่า “ประชาชน” ตรงๆ ก็เหมือนกับความพยายามเลี่ยงบาลี
หากเราจะอธิบายเสียใหม่ว่า แดงคือประชาชน ขาวคือศาสนา และน้ำเงินคือพระมหากษัตริย์ ย่อมจะได้จิตวิญญาณอันมีตัวตน ดูเป็นรูปธรรม และเพิ่มน้ำหนักแห่งความรู้สึกเชิงจิตสำนึกได้มากกว่า คำปฏิญาณต่างๆก็จะเปลี่ยนไปเป็น
“ข้าฯจะจงรักภักดีต่อประชาชน ศาสนา และพระมหากษัตริย์”
การเปล่งคำขวัญดังกล่าวย่อมเตือนให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐฯอื่นๆรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้บ้างในยามที่กระทำการไม่ดีใดๆ ต่อประชาชน ประชาชนที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ชาติที่เป็นนามธรรม
วัฒนธรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน เมื่อฝังอยู่ในจิตใจ ตกผลึกเป็นความเชื่อความศรัทธาแล้วย่อมยากจากการรื้อถอน กว่าจะได้ข้อมูลใหม่ กว่าจะผ่านการถกเถียงทางวิชาการอย่างกว้างขวาง กว่าจะเปลี่ยนความเชื่อจึงต้องใช้เวลา
การบริหารจัดการรัฐกิจของสังคมไทยที่ผ่านมา ข้างที่ให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อประชาชน หากเป็นนักการเมืองในระบอบศักดินาอำมาตย์ที่ครอบงำความคิด กระทำต่อเนื่องยาวนานมาตลอด
เมื่อเรามีกระทรวงวัฒนธรรม รัฐบาลก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกระทรวงนี้สักเท่าไร ปล่อยให้ข้าราชการประจำในระบบความคิดแบบเก่า แผ่อิทธิพลครอบงำดำเนินงาน
กระทรวงนี้จึงขาดกลิ่นไอของวัฒนธรรมประชาชน ไม่มีบรรยากาศแห่งวัฒนธรรมประชาธิปไตย กระแสทั่วไปที่ครอบคลุมวัฒนธรรมของชาติจึงเป็น พาณิชย์วัฒนธรรม กับอำมาตย์วัฒนธรรม
พื้นที่ของสังคมไทยวันนี้จึงปกคลุมไปด้วยกระแสของสองวัฒนธรรมดังกล่าว
สถาบันการศึกษา ตลอดจนสื่อสารมวลชนทุกสาขาทั้งประเทศ เกิน 70 % สนองงานเผยแพร่วัฒนธรรมเช่นที่ว่ามายาวนานต่อเนื่อง ครอบงำรูปการจิตสำนึกของคนไทยโดยทั่วไป
มอมเมาให้หลงเชื่อเรื่องกรรมเรื่องเวร บุญทำกรรมแต่ง ยอมรับความต่ำต้อยด้อยค่า กระทั่งบิดเบือนสาระสำคัญต่างๆทางประวัติศาสตร์ กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ มากมายหลายเรื่อง
ผ่านสีสันรูปแบบการนำเสนอต่างๆอันหลายหลาย เพราะฉะนั้นจึงควรมีการทบทวน สำรวจตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องสอดคล้องกับความจริง
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง จำเป็นต้องปฏิรูปวัฒนธรรมแห่งชาติเสียใหม่ ให้เป็นวัฒนธรรมประชาชน
วัฒนธรรมประชาธิปไตย ด้านหนึ่ง สนับสนุนส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชนให้มีพื้นที่แสดงออกเพิ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ต้องถอดรื้อความคิดผิดๆ ทัศนะคติอันไม่ชอบต่างๆที่มีต่อประชาชนในกระบวนการแห่งวัฒนธรรมของชาติ
เนื่องจากความเป็นนามธรรมของชาติ หรือชาติที่ให้ความรู้สึกไม่มีตัวตนดังที่กล่าวเกริ่นนำมาแต่ต้นบทความ ทำให้โครงการยกย่อง สดุดี สรรเสริญ “ศิลปิน” ว่ามีความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง กลายเป็นเรื่องเลื่อนลอยห่างไกลจากรากเหง้าประชาชนไปไกล
คำว่า “ศิลปินแห่งชาติ” แม้แลดูยิ่งใหญ่ ทว่าก็โน้มเอียงไปในทางพาณิชย์ศิลปิน และอำมาตย์ศิลปินมากไป สมควรได้รับการปรับแก้กระบวนการ และเหตุผลของการมอบตำแหน่งเสียใหม่ให้สมบูรณ์ และกินความไปหมายรวมเอาศิลปินที่สร้างสรรค์เพื่อประชาชนด้วย
ที่สำคัญ การแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวก็ควรคัดสรรให้มีที่มาอันหลากหลาย ได้กรรมการที่มีความเป็นธรรม เป็นนักประชาธิปไตย ไม่เอนเอียงข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อให้นโยบายไปแล้ว กรรรมการจึงสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างดี
กล่าวโดยสรุป งานสำคัญเร่งด่วนที่สุดคือ การปฏิรูปวัฒนธรรมเสียใหม่ ปรับให้ทันสมัย ก้าวทันสังคมประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่เร่อร่า ล้าหลัง ออกมาหยิบจับประเด็นเล็กประเด็นน้อยไปขยายความแล้วควบคุมห้ามปรามโดยไม่เข้า ใจรากเหง้าอันแท้จริง
กระทรวงวัฒนธรรมต้องทำงานคู่ขนานไปกับกระทรวงศึกษาธิการ สร้างงานในเชิงรุก ถอดรื้อลักษณะโบราณแบบอำมาตย์ศักดินาที่ยึดกุมครอบงำหลักคิดของกระทรวงนี้มา ยาวนานให้หลุดพ้น
ถึงเวลาต้องเอาคนที่รู้เรื่องเข้าไปกำกับดูแลกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อวางรากฐานและคุมทิศทางในการสร้างรูปการจิตสำนึกใหม่ เพื่อประโยชน์ของมวลประชาอย่างแท้จริง.