กฎหมายในโลกสมัยใหม่จำเป็นต้องมีความชัดเจน แน่นอน มั่นคง  เพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย  โดยเนื้อหาสาระของการกระทำใดที่จะเป็นความผิดจะต้องมีการระบุและอธิบายไว้ อย่างชัดเจนล่วงหน้า  เพื่อหวังว่าคนที่กำลังชั่งใจว่าจะทำดีหรือไม่จะได้ใช้เป็นต้นทุนประกอบการ ตัดสินใจและงดเว้นการกระทำผิดเสีย
 อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญกว่า คือ กระบวนการที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลได้กระทำการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดหรือไม่
 กฎหมายหมายในปัจจุบันจึงต้องมีการบัญญัติถึง กระบวนการพิสูจน์  “ความจริง” ว่าบุคคลได้กระทำจริงดังที่ได้มีการกล่าวหากันหรือไม่  การตัดสินว่าบุคคลนั้น “ถูก หรือ ผิด”  จึงเกิดตามภายหลังดังนั้นกระบวนการยุติธรรมที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงจะต้องยืน อยู่บนหลักฐานในเชิงประจักษ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ผลที่ชัดเจนแน่นอน  ก่อนที่จะนำข้อเท็จจริงนั้นมาปรักปรำให้บุคคลต้องรับโทษทัณฑ์
 จากประสบการณ์อันเลวร้ายในทุกสังคม  ซึ่งประวัติศาสตร์ได้สะท้อนการกระทำอันเป็นผลร้ายต่อผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  บทเรียนเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดกระบวนการยุติธรรมต้องมีการประกันสิทธิของคู่ กรณี เพื่อป้องกันการลงโทษ “แพะ” ที่ถูกลากมาให้ “รับบาป”  จากสิ่งที่ตนมิได้กระทำ
 กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในปัจจุบันจึงกำหนดให้  คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกล่าวหา หรือ “จำเลย”  ได้รับการประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างเข้มแข็ง ด้วยเหตุว่า  ถ้าจำเลยต้องคำพิพากษาว่า “ผิดจริง” จะต้องรับโทษทางอาญาที่มีผลร้ายแรง  ลิดรอนสิทธิอย่างกว้างขวางและยาวนาน
 บทบาทการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงต้อง คำนึงถึง  หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างปราศจากข้อสงสัย ว่าผิดจริง ดังที่รัฐธรรมนูญกำหนด
 ในคดีอาญาหลายกรณี  ศาลได้ใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยอาจจะมิได้พิเคราะห์คำอธิบาย ที่แตกต่างจากการรับรู้ทั่วไปของสังคมที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของวาทกรรม  “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ  “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งมีความคลุมเครือ
 ยกตัวอย่างคดีอาญาหลายคดี เช่น คดีสิ่งแวดล้อม คดียาเสพย์ติด  คดีก่อการร้าย คดีการใช้สิทธิในการชุมนุม  และคดีการแสดงความคิดเห็นอันสุ่มเสี่ยงต่อความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือความ มั่นคง  ประชาชนที่ตกเป็นจำเลยมักจะพยายามอธิบายการกระทำซึ่งเป็นข้อเท็จจริงแห่งคดี ที่แตกต่างไปจากวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ”  “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน”  ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และตุลาการเข้าใจ และยึดถือเป็นสรณะ  แต่ในแทบทุกคดีไม่ได้รับการตอบสนอง
 ท่ามกลางข้อถกเถียงและโต้แย้งว่า ขอบเขตของสิ่งที่เรียกว่า  “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ  “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ควรจะหมายถึงอะไร กรณีใดจะเข้าลักษณะดังกล่าว  ประชาชนที่แสดงความเห็นต่างในหลายคดี ก็ต้องคำพิพากษาจำคุกมาอย่างต่อเนื่อง
 จากการทบทวนความคิดเห็นของประชาชนชาวไทยในพื้นที่สื่อสาธารณะทั้งหลาย  ทั้งในข่าว บทสัมภาษณ์ เครือข่ายทางสังคมบนโลกอินเตอร์เน็ต  หรือแม้กระทั่งโพลล์ คนในสังคมไทยมักแสดงออกว่ายอมรับในความหลากหลาย  แต่เมื่อเกิดคดีในกลุ่มข้างต้น  พวกเขากลับดูดายต่อผู้ที่เห็นต่างในกรณีเหล่านี้  โดยเฉพาะในเมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม
 การตีความเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ  “ศีลธรรมอันดีของประชาชน”  ของผู้ที่ใช้อำนาจรัฐทั้งฝ่ายปกครองอันมีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นหลัก  และการตีความของฝ่ายตุลาการที่มีผู้พิพากษาเป็นหัวหอก  โดยพยายามเชื่อมโยงประเด็นเหล่านี้เข้ากับ “ความรู้สึก”  ย่อมมีผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เห็นต่างเป็นอย่างมาก  ไม่ว่ารัฐจะอ้างว่าเป็น “ความรู้สึกของปวงชนชาวไทย”  แต่คนที่อ้างก็มิเคยทำประชามติหรือประชาพิจารณ์  หรือแม้มีลูกขุนมาให้ความเห็นเลยสักครั้ง
 ท่ามกลาง “ฝุ่นควันของความขัดแย้งทางความคิดในช่วงเปลี่ยนผ่าน”  การใช้อำนาจรัฐดำเนินการต่อความหลากหลายทางความคิดย่อมกดทับ  ความพยามยามในการต่อสู้ทางการเมืองบนพื้นฐานของสันติวิธีให้เหี้ยนเตียนไป  อนึ่งการแสดงความคิดเห็นเป็นวิธีการที่ประหยัดเลือดเนื้อที่สุดอันควรค่าแก่ การรักษา
 กระบวนการยุติธรรมที่ตีความขยายขอบเขตเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ”  “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน”  ออกไปจำกัดการใช้สิทธิของประชาชน โดยอ้างเรื่อง “ความรู้สึก”  ย่อมเป็นการทำลายความเป็นคนที่ตั้งอยู่บนความแตกต่างหลากหลายเป็นที่สุด
 หากต้องการรักษาสันติภาพไว้ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่แหลม คมขึ้นเรื่อง  การตีความและใช้กฎหมายบนพื้นฐานของเหตุผลที่รองรับด้วยกฎหมายที่ประกันสิทธิ เสรีภาพเป็นที่ตั้ง ย่อมเป็นหนทางที่ “ต้องเลือก” อย่างถึงที่สุด  เนื่องด้วยกฎหมายลำดับรองและการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นภายใต้บริบทของรัฐ ไทยที่มีปัญหาเรื่องอำนาจนิยมจะมีผลต่อการลิดรอนสิทธิของประชาชนไม่ฝ่ายใดก็ ฝ่ายหนึ่งเสมอ แล้วแต่ว่าตอนนั้นอำนาจรัฐอยู่กับใคร ดังนั้นการยึดมั่น  “สิทธิตามรัฐธรรมนูญ”  จึงมีความสำคัญต่อทุกคนที่อาจจะตกเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐเมื่อไหร่ก็ได้
 หากกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านยังไม่มีการปรับตัว  และคงดำเนินไปอย่างชาชินต่อความรู้สึกเจ็บปวด ทรมาน ไม่ยุติธรรม  ของเหยื่ออธรรม ซึ่งสั่งสมขึ้นเป็นความคลั่งแค้น  กงล้อแห่งความรุนแรงย่อมหมุนไปบนเงื่อนไขที่ทำให้สังคมก้าวเดินไปสู่ภาวะ  “ไร้ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์” ในท้ายที่สุด
 เมื่อจุดแตกหักทางความคิดและกระบวนการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมา ถึง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และ “มนุษยธรรม” ต่อผู้ที่เห็นต่าง  ก็อาจจะไม่หลงเหลืออยู่ในสังคมนี้อีกเลย  เพราะท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังคุกรุ่น และพร้อมที่จะระเบิดขึ้นนั้น  คนที่มีความกลัวย่อมเกิดความหวากระแวงและพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเข้าประหัต ประหารฝ่ายตรงข้ามในในอีกไม่ช้า
 
