คอลัมน์ |
|
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ |
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2765 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 25 มีนาคม 2010 |
โดย เรืองยศ จันทรคีรี |
ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อในอาการหวาดผวาของรัฐบาล ขนาดสั่งให้ “ศอ.รส.” มุ่งอธิบายความหมายของอำมาตย์และไพร่ให้ชาวบ้านฟัง...นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ได้กล่าวถึงเรื่องที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศทำสงครามชนชั้นโดยใช้คำว่า “อำมาตย์” กับ “ไพร่” ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของสาทิตย์เขาเห็นว่า “จะเท่ากับเป็นการนำแนวความคิดของระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อ 30 ปีที่แล้วมาเป็นเงื่อนไข...” เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตั้งคำถามในประเด็นคล้ายกัน...รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจึงสั่งการในที่ประชุม ศอ.รส. ให้ชี้แจงเรื่องอำมาตย์และไพร่อย่างเป็นระบบ...
ปฏิกิริยาเช่นนี้ดูเป็นเรื่องชอบกล ประการแรกนั้นสะท้อนว่าวาทกรรมไพร่และอำมาตย์กลายเป็นเรื่องกระทบใจประชาชนพอๆกับการกระทบใจอำมาตย์ แต่เป็นการกระทบคนละด้าน ถ้าอำมาตย์ไม่หวั่นไหวท่าทีของรัฐบาลเห็นจะไม่แสดงออกมาเช่นนี้ ประหนึ่งว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังคิดที่จะร่างพระราชบัญญัติในข้อหาการแสดงตัวเป็นไพร่ที่จะทำสงครามกับอำมาตย์...ครับ คงต้องอธิบายอย่างนี้ เพราะไม่พูดอย่างนี้เราจะไปอธิบายให้เป็นประการอื่นๆได้อย่างไร? ผมนึกไม่ถึงเหมือนกันที่รัฐบาลร้อนตัวจนต้องให้ กอ.รมน. ตระเวนอธิบายชี้แจงชาวบ้านทั้งความหมายของอำมาตย์กับไพร่...
ผมว่าเรื่องอำมาตย์นั้นเลิกคิดอธิบายเถิดครับ พวกเสื้อแดงได้อธิบายมา 3 ปีเต็มเหยียด ประชาชนเข้าใจดี ม็อบมันถึงบานออกมาเป็นล้าน ขืนไปอธิบายต่อรับรองปฏิกิริยาจะยิ่งทบเท่าทวีคูณ มิใช่เป็นอนุกรมแบบเลขคณิต เผลอๆจะขยายแบบเรขาคณิตด้วยซ้ำไป?
ผมแทบไม่เชื่ออีกเหมือนกันที่นายกรัฐมนตรีไม่มีความรู้เรื่องไพร่ อันนี้ไม่ได้หมายถึงความหมายไพร่อย่างคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเคยอธิบายว่า “ไพร่คือสามัญชนคนปรกติทั่วไป เกิดจากดิน กินอยู่กับดิน และตีนติดดิน” แล้วหลังจากนั้นเขาเคยพูดว่า “พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นไพร่เหมือนกัน แต่เป็นไพร่ประเภทไพร่ลืมตัวและวัวลืมตีน” หากไปถามคุณวีระ มุสิกพงศ์ รายนั้นก็เคยอธิบายความหมายของไพร่โดยโยงศิลาจารึกสมัยกรุงสุโขทัย ชี้ถึงเรื่องของไพร่ฟ้าหน้าใสที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถไปสั่นกระดิ่งร้องทุกข์กับพ่อขุนได้โดยตรง วีระเคยปราศรัยบนเวทีเมื่อเร็วๆนี้ระบุถึงตราชั่งของความยุติธรรมในพอศอพันแปดร้อยกว่า มันยังไม่ได้เอียงเหมือนปัจจุบัน ไพร่ฟ้าหน้าใสจึงสามารถพึ่งพ่อขุนได้ ไม่มีอำมาตย์ขวางอยู่ตรงกลาง
แต่ปัจจุบันพ่อขุนก็ยังมีอยู่ แปลกไปตรงที่บรรดาอำมาตย์ได้ขโมยกระดิ่งของพ่อขุนไป การถวายฎีกาที่มีรายชื่อร่วมล้านจึงไม่มีโอกาสถึงพ่อขุน เครือข่ายอำมาตย์ปัจจุบันคงกักไว้ที่กรมราชทัณฑ์...ด้วยเหตุเช่นนี้บรรดาไพร่ฟ้าหน้าใสจึงได้เดือดร้อนกันทั่วแผ่นดิน นี่เป็นการอธิบายกันถึงความหมายของสงครามไพร่เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมอีกด้าน?
หันมาพิจารณาในทางวิชาการ ค้นคว้าเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ กอ.รมน. กับรัฐบาล คำว่าไพร่หรือไพร่ฟ้ามันเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเรียกชนส่วนใหญ่ในสังคมอยุธยา ก่อนหน้าเมื่อสมัยสุโขทัย ไพร่หรือไพร่ฟ้ามีความหมายใกล้เคียงกับความเป็นพลเมืองหรือสามัญชนทั่วไป แต่ถึงสมัยอยุธยาความหมายก็เปลี่ยนไปจากสุโขทัย เพราะอยุธยาเป็นการปกครองแห่งอำนาจ ด้วยอำนาจ และเพื่ออำนาจ...
อำนาจนั้นคือการอยู่เหนือคนทั้งปวง เมื่อจะมีอำนาจได้จึงต้องรวบรวมคนเข้าเป็นหมวดหมู่ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถควบคุมผู้คนให้อยู่ใต้อำนาจได้โดยสะดวก ผู้ปกครองสมัยอยุธยาเลยรวมคนเข้าเป็นหมวดกอง เป็นเสมือนกองทัพทั้งประเทศ และแต่งตั้งให้มีผู้บังคับบัญชาคอยดูแลผู้คนซึ่งรวบรวมไว้ได้นั้นให้อยู่ใต้อำนาจตลอดไป!
หากมองตามศิลาจารึกสมัยสุโขทัยทำให้เข้าใจได้ว่าไพร่ในสมัยดังกล่าวมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าสมัยอยุธยา เนื่องจากไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด...เราคงสรุปได้ว่าความหมายของไพร่นั้นมีลักษณะร่วมที่ชัดเจนคือ เป็นผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นสามัญชนของประเทศ ส่วนเนื้อหาที่ไพร่จะสูงต่ำ ถูกควบคุมหรือโดนรังแกแค่ไหนก็เป็นไปตามแต่ละช่วงสมัย...
เมื่อคนเสื้อแดงมีการโยงใยนำเอาเรื่องสงครามชนชั้นของไพร่กับอำมาตย์เข้ามาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันจึงมีความหมายด้านหลักเป็นการสื่อสารทางสัญลักษณ์ แล้วย่อมเป็นความหมายเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือ ไพร่นั้นย่อมเป็นปรกติสามัญชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วเมื่อคนส่วนใหญ่มีความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของเครือข่ายอำมาตย์ ถูกกดขี่ข่มเหง ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรที่พวกเขาจำต้องประกาศสงครามชนชั้น คุณอภิสิทธิ์ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร? นอกจากเป็นตัวแทนของอำมาตย์ เป็นไพร่ลืมตัววัวลืมตีนก็เลยต้องเดือดร้อน บางคนบอกว่านั่นเป็นพวกไพร่ทะยานฟ้า พวกนี้จึงคิดที่จะปราบไพร่ด้วยกันเพียงอย่างเดียว...