บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เด็ดขาด ไปเลย

ที่มา มติชน

โดย bozo

จากที่ไม่ใช่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศต่อสาธารณะ นับตั้งแต่เปิดแคมเปญหาเสียงเป็นต้นมา

แต่ในช่วงโค้งสุดท้าย นายอภิสิทธิ์ ได้ยกขึ้นมาประกาศชัดเจนแล้วว่า

"ถ้า เลือกพรรคประชาธิปัตย์เข้ามามากๆ เป็นอันดับหนึ่ง หรือเกิน 250 ได้ ผมยืนยันได้ การทำหน้าที่จะมีประสิทธิภาพกว่าตอนมีข้อจำกัดเป็นรัฐบาลผสม และจะล้างปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ"

และ

"ถ้าอยากให้ ถอนพิษทักษิณเด็ดขาดต้องเลือกประชาธิปัตย์มาเป็นที่หนึ่งเกิน 250 เสียง แล้วเราจะได้ประกาศไปทั่วประเทศทั่วโลก ประเทศไทยพร้อมเดินหน้ารักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข และจะได้บอกว่าประเทศไทยเงินซื้อไม่ได้ คนไทยจะไม่ยอมให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย คนไทยประกาศอิสรภาพจากความกลัว จากการข่มขู่แล้ว และประกาศให้รู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง หรือคนสีใดสีหนึ่ง แต่ต้องเป็นของคนทุกสี"

ให้ขีดเส้นใต้ ที่การเรียกร้องให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ "เกิน 250 เสียง"

เพื่อมุ่งสู่

การถอนพิษ "ทักษิณ"

และ การจะได้ทำหน้าที่รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพกว่าตอนมีข้อจำกัดเป็นรัฐบาลผสม

นับ เป็นเรื่องที่ดี ที่ในที่สุด นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เสนอให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตนเองและ พรรคเกินครึ่ง อย่างเต็มปากเต็มคำเสียที

ไม่ใช่หวัง "พลังพิเศษ" มาช่วยเพียงถ่ายเดียว



ที่ผ่านมา เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ วางจุดยืนทางการเมืองของตน แบบ "พึ่งพาคนอื่น"

จน ดูเหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่า การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม พรรคประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นที่ 1 โดยจะถูกพรรคเพื่อไทย ชิงเอาแชมป์เลือกตั้งไปครอง

แต่ก็เป็นการยอมรับ ที่ไม่ได้หมายถึง ความพ่ายแพ้

ตรงกันข้าม กลับพยายามเนรมิต "สมการการเมือง" ขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้พรรคที่ได้รับเสียงข้างมากไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้

เราจึงได้ยินสูตรตัวเลข ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ บวกกับ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

โดย ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย ได้อวดตัวเลขว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. ประมาณ 180 คน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย จะได้ ส.ส. 77 คน รวมแล้วทั้งสองพรรคจะกุมเสียง ส.ส. ข้างมาก คือ 257 เสียงเอาไว้ได้

และ นั่นจะเพียงพอให้เป็นแกนใน การดึงเอาพรรคการเมืองอื่นไม่ว่า ชาติไทยพัฒนา, ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน, พลังชล, มาตุภูมิ เป็นต้น มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล

โดยปล่อยให้พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน

ภาย ใต้ "ความฝันหวาน" ในสมการการเมืองดังกล่าว พรรคประชาธิปัตย์ ก็ดูเหมือนจะอบอุ่นกับตัวช่วย ทั้งที่ปรากฏบนดิน และใต้ดิน อย่างน่าอิจฉาด้วย

บนดินก็อย่างที่ทราบกัน กรณีที่มีกลุ่มพลเมืองเพื่อร่วมคัดค้านการนิรโทษกรรมคดีคอร์รัปชั่นทักษิณ นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิ และ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ออกมาเรียกร้องให้ดีเอสไอเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีให้การเท็จเรื่องหุ้นต่อศาล อย่างเอาการเอางาน

ตามมาด้วยกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ยุบพรรคเพื่อไทย ฐานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมา "บงการ" พรรค

และล่าสุด ก็คือการปรากฏตัวขึ้นมาของกลุ่มสยามสามัคคี ที่มี ส.ว.สรรหา นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกมารณรงค์อย่างดุดันภายใต้สโลแกน

"3 กรกฎา ไปเลือกตั้ง ไม่ให้คนเลวปกครองบ้านเมือง ไม่เลือกคน เผาบ้านเผาเมือง ไม่เลือก พวกเคืองแค้นสถาบัน"

แคม เปญของ "กลุ่มสยามสามัคคี" ว่าไปแล้วก็สอดประสานกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาประกาศก่อนหน้านี้ ให้ เลือกคนดี คนสุภาพเข้าสภา และที่สำคัญให้โหวตเพื่อปกป้องสถาบันอย่างน่าประหลาดใจ

แต่ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ "อบอุ่นใจ" กับแรงหนุน "บนดิน" เหล่านี้อย่างมาก

ขณะ เดียวกัน ก็ไม่รู้ไม่ชี้กับขบวนการใต้ดิน ที่มีการผลิตวีซีดีและสิ่งตีพิมพ์ ออกแจกจ่าย โดยมุ่งเปิดโปง พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ไม่จงรักภักดี

ถือเป็นสามัคคี "รุมกินโต๊ะ" พรรคเพื่อไทย อย่างไม่ไว้ไมตรี



ด้วยภาวะดังกล่าว ทำให้พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีภาระหนักหน่วง

เพราะนอกเหนือจากต้องนำเสนอนโยบายภายใต้แคมเปญ "แก้ไข ไม่แก้แค้น" แล้ว

ยังต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา เกิน 250 เสียง

เพื่อที่จะตัดปัญหา การที่ฝ่ายตรงข้ามจะ "จัดรัฐบาลแข่ง"

ซึ่ง มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่หากได้รับเลือกตั้ง ในระดับ 230-240 เสียง แม้จะเป็นที่หนึ่ง แต่ก็คงถูกยื้อแย่งจากทั้งพรรคการเมือง และตัวช่วยข้างนอก ไม่ให้ได้รับสิทธิจัดตั้งรัฐบาล

ถ้าหากเกิดสภาวะดังกล่าวขึ้นมาจริง การเมืองไทยก็จะติดหล่ม "วิกฤตการเมือง" อีกครั้ง

และ อาจจะเป็น "มหาวิกฤต" เนื่องจากมวลชนเสื้อแดง ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่คงต้องออกมาเคลื่อนไหว และอาจจะนำไปสู่เหตุอันไม่พึงประสงค์ได้โดยง่าย

ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นมาแล้ว คงจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้ง่ายๆ

ประเทศชาติ ก็คงอยู่ในภาวะ "หายนะ" อีกรอบ



การเลือกตั้ง วันที่ 3 กรกฎาคม จึงทรงความหมายสำหรับคนไทยอย่างยิ่ง

เพราะจะเป็นการตัดสิน "อนาคต" ของประเทศว่าจะก้าวหน้าหรือถอยหลัง

ทุกคะแนน จึงมีความหมาย

และควรจะเป็นการลงคะแนน ที่ต้องมี "ยุทธศาสตร์" อยู่พอสมควร

นั่นคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อาจจะต้องตัดสินใจให้ "เด็ดขาด" ว่าควรจะเอาหรือไม่เอาใคร

โดยอาจจะต้องจำกัดอยู่ใน 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย

หาก เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอตัว ถอนพิษทักษิณ และเรียกร้องประสิทธิภาพการบริหารงาน ที่ไม่ใช่รัฐบาลผสม ก็ควรเทเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์อย่างเด็ดขาดไปเลย

เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นการชนะโดยเสียงส่วนใหญ่จริงๆ

ไม่ต้องไปพึ่งตัวช่วย หรือไปใช้แท็กติกทางการเมือง จัดรัฐบาลแข่งกับพรรคเพื่อไทย

การชนะอย่างท่วมท้นและขาวสะอาดเท่านั้น จะทำให้มวลชนที่ต่อต้าน ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

ตรง กันข้าม หากเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ "ดีแต่พูด" และต้องรับผิดชอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศ ก็ควรเทเสียงให้พรรคเพื่อไทย อย่างท่วมท้นไปเลยเช่นกัน

คือควรจะได้เสียงเกิน 250 เสียง เพื่อที่จะขจัดปัญหาที่ใครจะมาตั้งรัฐบาลแข่ง

ขณะ เดียวกัน เสียงที่ยิ่งมากยิ่งดีเพราะมันจะเป็นภูมิคุ้มกันอันสำคัญ ที่จะกันไม่ไห้ "มือที่มองไม่เห็น" หรือ "ตัวช่วยฝ่ายตรงข้ามทั้งหลาย" เข้ามาจุ้นจ้าน หรือแทรกแซงประชามติของประชาชน

หากยังดื้อดึง หรือไม่ยอมรับกับ "มติ" ของประชาชน เชื่อว่า "มือที่มองไม่เห็น" หรือ "ตัวช่วยฝ่ายตรงข้ามทั้งหลาย" จะไร้ความชอบธรรมไปเอง

นี่คือสิ่งที่คนไทยควรจะร่วมกัน "ตัดสิน" ในวันที่ 3 กรกฎาคม

ตัดสินกันให้ "เด็ดขาด" ไปเลย

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker