Sat, 2012-09-29 18:38
    
แน่นอนว่าการจำนำข้าวไม่ได้แก้ปัญหาชาวนาได้เบ็ดเสร็จ 
แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของภาครัฐที่จะหันมาสนใจเรื่องรายได้และปัญหาของ
ชาวนา
 
 
 
 
 
 
 

ภาพดัดแปลง [1]
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แม้การรับจำนำข้าว 
ซึ่งทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากราคาขายข้าวเพิ่มสูงขึ้น 
จะทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่นักวิชาการและนักวิเคราะห์น้าจอทีวีว่า 
จะทำให้ต้นทุนการผลิตของชาวนาเพิ่มขึ้น 
เนื่องจากชาวนาต้องการจะผลิตข้าวให้ได้มากๆ เพื่อนำมาเข้าโครงการรับจำนำ
อย่างไรก็ดี ต้นทุนการผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นในขณะนั้น 
เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของตลาดเสียมากกว่า 
เพราะเอาเข้าจริงแม้ราคาข้าวจะไม่เพิ่มขึ้น(โดยการจำนำข้าว) 
ราคาปุ๋ย-ยาก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว 
ชาวนาไม่ได้ใช้ปุ๋ยหรือยาเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างไม่ลืมหูลืมตา 
แต่พวกเขาใช้ปัจจัยการผลิตเหล่านี้ควบคู่ไปกับการประเมินความคุ้มทุนของเขา
ด้วย   นอกจากนั้น ต้นทุนการผลิตก็ยังเกี่ยวข้องกับค่าแรง 
ซึ่งแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่หาได้ยากขึ้นทุกวัน
ที่นาในพื้นที่ วิจัย ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา 
นั้นเป็นที่ลุ่ม ชาวนาส่วนใหญ่คือชาวนาเช่าไร้ที่ดิน 
สำหรับในส่วนของค่าเช่าที่ดิน 
ไม่ใช่แค่ราคาข้าวเปลือกที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นที่จะมีผลต่อค่าเช่าที่นา 
แน่นอนว่าเมื่อราคาข้าวจากนาสู่ลานรับซื้อเพิ่มขึ้น 
ย่อมดึงดูดใจชาวนาทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ แต่การที่ที่นามีจำกัด 
คนที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือเจ้าของที่นา 
ที่ย่อมรอโอกาสจากส่วนแบ่งของราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นมาเป็นธรรมดา
แต่การแข่งขันกันเองของชาวนาเช่าหน้าเก่ากับหน้าใหม่นี้ 
ยังต้องเผชิญกับปัญหาการเก็งกำไรจากนโยบายประกาศเช่าที่นาเป็นที่รองรับน้ำ 
ของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากข่าวลือที่ออกมาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 
ที่ว่าอาจมีการเช่าที่นาในราคาสูงถึงไร่ละ 5,000 บ. นั้น 
เจ้าของที่นาบางรายถึงกับเปรยว่าจะไม่ให้ชาวนาเช่าที่นาเพื่อทำนาหนที่ 2 
เพราะต้องการเก็บให้รัฐบาลเช่าแทน

ภาพดัดแปลง [1]
ความซับซ้อนในเรื่องนี้จึงกลายมาเป็นปัญหา ที่ทำให้ราคาเช่าที่นาในแถบ
 อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา แพงกว่าใน จ.สุพรรณบุรี 
ซึ่งเป็นที่นาดีและทำนาได้เกือบจะ 3 ครั้ง/ปี ในขณะที่ที่นาแถบ อ.ผักไห่ 
จ.พระนครศรีอยุธยา มีราคาขายต่ำมาก เนื่องจากเป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมขังนานถึง
 4 เดือน (เป็นอย่างน้อย) ในแต่ละปี รวมทั้งมีปัญหาการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง
 เพราะอยู่ปลายสุดของโครงการชลประทาน 
แต่กลับต้องเป็นที่รองรับน้ำเมื่อต้องมีการระบายน้ำในช่วงหน้าน้ำ
นอกจากนั้น สำหรับชาวนาแล้ว 
การเพิ่มจำนวนรอบการปลูกข้าวขึ้นอยู่กับสภาพน้ำเป็นสำคัญ 
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าข้าวเปลือกราคาแพงหรือถูก 
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าในปีนั้นๆ 
รัฐบาลจะใช้นโยบายการประกันราคาหรือนโยบายการรับจำนำ 
เพราะถ้ามีน้ำเพียงพอให้ทำนาได้ พวกเขาก็ทำ 
ถึงทำไม่ได้ในบางปีเพราะแล้งก็ยังพยายามจะหาน้ำมาทำ(ในกรณีเขตชลประทาน) 
หรือทำนารอฝน (นอกพื้นที่ชลประทาน)
ส่วนเรื่องคุณภาพข้าวที่มีความกังวลกันมากว่าชาวนาจะผลิตข้าวคุณภาพต่ำ
 จนอาจทำให้เกิดปัญหาต่อการส่งออกนั้น 
อันที่จริงในขั้นตอนที่ชาวนาเข็นข้าวไปขาย 
ผู้รับซื้อก็ย่อมมีการควบคุมคุณภาพข้าวและการตรวจวัดความชื้นอยู่แล้ว 
รวมทั้งยังมีข้อชวนสงสัยอีกว่าการปลอมปนข้าวหอมมะลิจนเป็นปัญหาเรื้อรังใน
ตลาดข้าวนั้น เกิดขึ้นในขั้นตอนใดกันแน่ 
เกิดขึ้นในขั้นตอนการสีและบรรจุถุงขายเป็นข้าวสารส่งออกใช่หรือไม่ 
เช่นเดียวกับเวลาที่ชาวนาซื้อพันธุ์ข้าวมาปลูก 
ก็มักประสบปัญหาได้พันธุ์ข้าวที่เปอร์เซ็นต์ข้าวงอกต่ำบ้าง 
มีหญ้าปลอมปนบ้าง หรือไม่ใช่พันธุ์แท้ที่ต้องการบ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้
 ได้ถูกลดทอนจากนักวิชาการและนักวิเคราะห์หน้าจอทีวีให้เป็นความผิดพลาดของ 
ชาวนาแต่ฝ่ายเดียวทั้งสิ้น
ใช่ แค่จำนำข้าวมันยังไม่พอ
ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไป 
ควบคู่กับการปรับปรุงโครงการรับจำนำเข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น 
ต้องปรับขั้นตอนกลไกการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
และป้องกันปัญหาทุจริตให้รัดกุม
มันยากที่ชาวนาและเครือข่ายในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตข้าว 
(ที่ไม่ได้สัมพันธ์กันกับอุตสาหกรรมเคมีการเกษตรและปิโตรเคมี) อาทิ 
ชาวนารับจ้าง ผู้มีรถรับจ้างไถนา เกี่ยวข้าว 
เหล่านี้จะออกมาพูดต่อสาธารณะเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่พวกเขาได้จากโครงการ 
จำนำข้าว เพราะอย่างไรเสียเสียงของพวกเขาก็ไม่มีทางดังพอ ไม่ทรงภูมิมากพอ 
เท่ากับเสียงของพวกพ่อค้า ผู้ส่งออก นักวิชาการ และนักวิเคราะห์หน้าจอ 
ที่ไม่เคยผ่านความเสี่ยงของดินฟ้าอากาศและกลไกตลาดที่ใช้กดราคาข้าว 
ดังที่ชาวนาต้องเจออย่างจำเจซ้ำซากอยู่ชั่วนาตาปี

ภาพจากMaysaaNitto Org-home
หมายเหตุ: บท
ความนี้สังเคราะห์ขึ้นจาก งานวิจัย "ดำรงชีวิตท่ามกลางความเสี่ยง : 
 การรับมือและการปรับตัวต่อภัยพิบัติของชาวนารายย่อยภาคกลาง 
กรณีศึกษาภัยน้ำท่วมและภัยจากเพลี้ยกระโดด"  โดย ชลิตา บัณฑุวงศ์ นิรมล 
ยุวนบุณย์ และ นันทา กันตรี  สนับสนุนทุนวิจัยโดย 
สำนักงานส่งเสริมการปฏิรูประบบ เพื่อคุณภาพชีวิต เกษตรกร ชุมชน และสังคม 
(สปกช.) เมษายน 2554
[1] ดัดแปลงข้อมูลจาก
 
