โดย Porsche
จากคุณ : Jampoon
น่าแปลกที่ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ส่งทหารและตำรวจเข้าไปภายใน
และบริเวณโดยรอบรัฐสภา
โดยมิได้มีการปรึกษาหารือกับ ประธานรัฐสภา มาก่อน
ทั้งๆ ที่อำนาจและความรับผิดชอบต่อรัฐสภานั้นเป็นอำนาจ
และความรับผิดชอบโดยตรงของประธานรัฐสภา
นี่จึงเท่ากับแสดงว่า อำนาจบริหาร วางบทบาทเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ
นี่จึงเท่ากับบ่งชี้ว่า การที่ประมุขฝ่ายบริหารไปพำนักอาศัยอยู่ภายในค่ายทหารอย่างยาวนาน
จึงติดความเคยชินจากอำนาจของทหารมาอย่างหนึ่ง
เป็นความเคยชินที่จะวางตนเหนือกว่าผู้อื่น
ที่ทหารสามารถวางตนเหนือกว่าผู้อื่นได้ ปัจจัย 1 เพราะว่ามีอาวุธอยู่ในมือ
ปัจจัย 1 เพราะกองทัพมีการจัดตั้งภายใต้ระเบียบวินัยอันแข็งแกร่ง
จริงอยู่ ทหารเป็นเช่นนี้ แต่คำถามคือ รัฐบาล เป็นเช่นนี้หรือ
แบบนี้จะเรียกเธอว์ว่าอย่างไรดี
น่าแปลกที่ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ส่งทหารและตำรวจเข้าไปภายใน
และบริเวณโดยรอบรัฐสภา
โดยมิได้มีการปรึกษาหารือกับ ประธานรัฐสภา มาก่อน
ทั้งๆ ที่อำนาจและความรับผิดชอบต่อรัฐสภานั้นเป็นอำนาจ
และความรับผิดชอบโดยตรงของประธานรัฐสภา
นี่จึงเท่ากับแสดงว่า อำนาจบริหาร วางบทบาทเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ
นี่จึงเท่ากับบ่งชี้ว่า การที่ประมุขฝ่ายบริหารไปพำนักอาศัยอยู่ภายในค่ายทหารอย่างยาวนาน
จึงติดความเคยชินจากอำนาจของทหารมาอย่างหนึ่ง
เป็นความเคยชินที่จะวางตนเหนือกว่าผู้อื่น
ที่ทหารสามารถวางตนเหนือกว่าผู้อื่นได้ ปัจจัย 1 เพราะว่ามีอาวุธอยู่ในมือ
ปัจจัย 1 เพราะกองทัพมีการจัดตั้งภายใต้ระเบียบวินัยอันแข็งแกร่ง
จริงอยู่ ทหารเป็นเช่นนี้ แต่คำถามคือ รัฐบาล เป็นเช่นนี้หรือ
แบบนี้จะเรียกเธอว์ว่าอย่างไรดี
จำนวนคนอ่านล่าสุด 678 คน
|
บทบาท "อภิสิทธิ์" ในฐาน ประมุข "บริหาร" อันเหนือ "รัฐสภา"
ด้วยอำนาจแห่งพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นายกรัฐมนตรี สามารถส่งกำลังทหารและตำรวจไปประจำการอยู่ ณ จุดใดก็ได้
เป็นการสั่งการในนามของ "ความมั่นคง"
กระนั้น การสั่งการให้ตำรวจและทหารเข้ารักษาความปลอดภัยในพื้นที่และบริเวณโดยรอบของทำเนียบรัฐบาลมิได้เป็นเรื่องแปลก
เพราะว่าอยู่ในอำนาจของ "ฝ่ายบริหาร"
เช่นเดียวกับการสั่งการให้ตำรวจและทหารเข้ารักษาความปลอดภัยที่กระทรวงสาธารณสุขระหว่างประชุมครม.ก็มิได้เป็นเรื่องแปลก
เพราะว่าอยู่ในอำนาจของ "ฝ่ายบริหาร"
แต่การที่ นายกรัฐมนตรี หรือ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทหารและตำรวจเข้าไปรักษาความปลอดภัยในและบริเวณโดยรอบของรัฐสภา กำลังกลายเป็นเรื่องแปลก
เพราะว่า "รัฐสภา" อยู่ในความรับผิดชอบ "ฝ่ายนิติบัญญัติ"
โดยระบบแห่งระบอบประชาธิปไตยแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่ายที่แม้จะสัมพันธ์กันแต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
1 คือ อำนาจนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
1 คือ อำนาจบริหาร ทำหน้าที่บริหารไปตามที่อำนาจนิติบัญญัติได้กำหนดเอาไว้โดยผ่านกระบวนการของกฎหมาย
1 คือ อำนาจตุลาการ ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์
ภายใน 3 อำนาจนี้ 2 อำนาจแรกมีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และดำเนินการไปตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน
ขณะที่ 1 อำนาจหลังกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย
ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารมีการยึดโยงระหว่างกัน เพราะอำนาจบริหารต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจนิติบัญญัติ
ทั้ง 3 อำนาจนี้แม้จะสัมพันธ์กันแต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
น่าแปลกที่ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ส่งทหารและตำรวจเข้าไปภายในและบริเวณโดยรอบรัฐสภา
โดยมิได้มีการปรึกษาหารือกับ ประธานรัฐสภา มาก่อน
ทั้งๆ ที่อำนาจและความรับผิดชอบต่อรัฐสภานั้นเป็นอำนาจและความรับผิดชอบโดยตรงของประธานรัฐสภา
นี่จึงเท่ากับแสดงว่า อำนาจบริหาร วางบทบาทเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ
นี่จึงเท่ากับบ่งชี้ว่า การที่ประมุขฝ่ายบริหารไปพำนักอาศัยอยู่ภายในค่ายทหารอย่างยาวนานจึงติดความเคยชินจากอำนาจของทหารมาอย่างหนึ่ง
เป็นความเคยชินที่จะวางตนเหนือกว่าผู้อื่น
ที่ทหารสามารถวางตนเหนือกว่าผู้อื่นได้ ปัจจัย 1 เพราะว่ามีอาวุธอยู่ในมือ ปัจจัย 1 เพราะกองทัพมีการจัดตั้งภายใต้ระเบียบวินัยอันแข็งแกร่ง
จริงอยู่ ทหารเป็นเช่นนี้ แต่คำถามคือ รัฐบาล เป็นเช่นนี้หรือ
ไม่ว่าการประชุมรัฐสภาในวันที่ 24 มีนาคม จะดำเนินไปอย่างไร เรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย
แต่ที่แน่อย่างที่สุดก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประมุขฝ่ายบริหารคนแรกที่วางตัวเหนือกว่ารัฐสภา หรือประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างเห็นได้ชัด เป็นรูปธรรม
นี่คือ "อำนาจ" ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาจาก "พลังแฝง" ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย
ด้วยอำนาจแห่งพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นายกรัฐมนตรี สามารถส่งกำลังทหารและตำรวจไปประจำการอยู่ ณ จุดใดก็ได้
เป็นการสั่งการในนามของ "ความมั่นคง"
กระนั้น การสั่งการให้ตำรวจและทหารเข้ารักษาความปลอดภัยในพื้นที่และบริเวณโดยรอบของทำเนียบรัฐบาลมิได้เป็นเรื่องแปลก
เพราะว่าอยู่ในอำนาจของ "ฝ่ายบริหาร"
เช่นเดียวกับการสั่งการให้ตำรวจและทหารเข้ารักษาความปลอดภัยที่กระทรวงสาธารณสุขระหว่างประชุมครม.ก็มิได้เป็นเรื่องแปลก
เพราะว่าอยู่ในอำนาจของ "ฝ่ายบริหาร"
แต่การที่ นายกรัฐมนตรี หรือ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทหารและตำรวจเข้าไปรักษาความปลอดภัยในและบริเวณโดยรอบของรัฐสภา กำลังกลายเป็นเรื่องแปลก
เพราะว่า "รัฐสภา" อยู่ในความรับผิดชอบ "ฝ่ายนิติบัญญัติ"
โดยระบบแห่งระบอบประชาธิปไตยแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่ายที่แม้จะสัมพันธ์กันแต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
1 คือ อำนาจนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
1 คือ อำนาจบริหาร ทำหน้าที่บริหารไปตามที่อำนาจนิติบัญญัติได้กำหนดเอาไว้โดยผ่านกระบวนการของกฎหมาย
1 คือ อำนาจตุลาการ ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์
ภายใน 3 อำนาจนี้ 2 อำนาจแรกมีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และดำเนินการไปตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน
ขณะที่ 1 อำนาจหลังกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย
ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารมีการยึดโยงระหว่างกัน เพราะอำนาจบริหารต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจนิติบัญญัติ
ทั้ง 3 อำนาจนี้แม้จะสัมพันธ์กันแต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
น่าแปลกที่ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ส่งทหารและตำรวจเข้าไปภายในและบริเวณโดยรอบรัฐสภา
โดยมิได้มีการปรึกษาหารือกับ ประธานรัฐสภา มาก่อน
ทั้งๆ ที่อำนาจและความรับผิดชอบต่อรัฐสภานั้นเป็นอำนาจและความรับผิดชอบโดยตรงของประธานรัฐสภา
นี่จึงเท่ากับแสดงว่า อำนาจบริหาร วางบทบาทเหนือ อำนาจนิติบัญญัติ
นี่จึงเท่ากับบ่งชี้ว่า การที่ประมุขฝ่ายบริหารไปพำนักอาศัยอยู่ภายในค่ายทหารอย่างยาวนานจึงติดความเคยชินจากอำนาจของทหารมาอย่างหนึ่ง
เป็นความเคยชินที่จะวางตนเหนือกว่าผู้อื่น
ที่ทหารสามารถวางตนเหนือกว่าผู้อื่นได้ ปัจจัย 1 เพราะว่ามีอาวุธอยู่ในมือ ปัจจัย 1 เพราะกองทัพมีการจัดตั้งภายใต้ระเบียบวินัยอันแข็งแกร่ง
จริงอยู่ ทหารเป็นเช่นนี้ แต่คำถามคือ รัฐบาล เป็นเช่นนี้หรือ
ไม่ว่าการประชุมรัฐสภาในวันที่ 24 มีนาคม จะดำเนินไปอย่างไร เรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย
แต่ที่แน่อย่างที่สุดก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประมุขฝ่ายบริหารคนแรกที่วางตัวเหนือกว่ารัฐสภา หรือประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างเห็นได้ชัด เป็นรูปธรรม
นี่คือ "อำนาจ" ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาจาก "พลังแฝง" ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย