
โดย สุษม ศุภนิตย์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่กองทุนฟื้นฟูฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจด ทะเบียนนิติกรรมการโอนที่ดิน ถนนรัชดาภิเษกให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะนิติกรรมเป็นโมฆะ
ปรากฏ ว่า มีความเห็นที่แตกต่างหลายแนวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง   การคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย 7.5% รวมเป็นเงินจำนวน  823   ล้านบาทเศษเพราะเป็นลาภมิควรได้ 
นักกฎหมายบางท่านเห็นว่า   กรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายตาม มาตรา   411ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   มีผลทำให้ไม่สามารถเรียกคืนเงินที่ชำระโดยผิดกฎหมายได้อันเป็นข้อยกเว้นหลัก  ลาภมิควรได้  
นักกฎหมายอาญาเห็นว่า   กรณีเป็นความผิดตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดินเป็น  ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด   ต้องถูกยึดเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  
แต่เหตุผลในคำพิพากษาของศาลแพ่งมิได้อาศัยหลักกฎหมายดังกล่าว
น่า สังเกตว่า หลักกฎหมายลาภมิควรได้ที่ปรับใช้ในคดีนี้มิได้สอดรับกับผลของคดีหลักตามคำ พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นต้นเหตุของการฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมในคดีนี้
แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเห็นว่า คุณหญิงพจมานมิได้มีความผิดและในคดีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยต่างสุจริต 
แต่ปัญหาน่าคิดอยู่ที่ว่า   ถ้านิติกรรมซื้อขายที่ดินต้องห้ามตามกฎหมายที่ประสงค์จะควบคุมผู้ดำรง  ตำแหน่งทางการเมือง(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ  ทุจริต พ.ศ.2542) จนเป็นเหตุให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องโทษจำคุก 2ปี   การปรับหลักกฎหมายในคดีของศาลแพ่งควรถือเอาข้อเท็จจริงในคดีแรกเป็นสำคัญ   ซึ่งผลควรเป็นว่า     
1.นิติกรรม การซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะไม่มีผล ผูกพันในทางกฎมายถือว่า มิได้เกิดขึ้น  มิใช่ถือว่า ให้กลับคืนสู่ที่เดิม   เพราะในทางกฎหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นในระหว่างโจทก์และจำเลย 
ดัง นั้นเมื่อไม่มีนิติกรรมก็มิใช่กรณีผิดนัด  ผิดสัญญาจึงมิใช่การคืนหนี้เงินที่มีดอกเบี้ย7.5% เพราะผิดนัดตามมาตรา 224   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด   
2.   เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายเข้าลักษณะลาภมิควรได้อันเป็นกฎหมายที่   ใช้ในกรณีที่มีการได้และเสียทรัพย์ไปโดยมิได้รู้ว่าการได้และเสียนั้นไม่อาจ  อ้างเอาไว้ได้ตามกฎหมาย 
กฎหมายให้ความเป็นธรรมด้วยการคืนสิ่ง ที่ได้มาแก่กันเฉพาะกรณีที่  มิใช่การทำผิดข้อห้ามตามกฎหมายและ  พิจารณาความสุจริตของคู่กรณีเป็นสำคัญ   หากต่างก็สุจริตให้คืนทรัพย์เท่าที่ยังคงเหลือ   ส่วนดอกผลของทรัพย์ที่ได้มาต้องคืนให้เจ้าของทรัพย์เมื่อถูกเรียกคืน 
ใน คดีนี้หากโจทก์(กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินผู้  ขายที่ดิน)ไม่อ้างมาตรา 411 ในคำฟ้องและต่างสืบได้ว่า ทั้ง 2   ฝ่ายต่างสุจริต(อันเป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง)   กรณีก็ไม่ใช่หนี้เงินตามมาตรา224 แต่อย่างใด 
ศาลแพ่งเห็นว่า เป็นเรื่องคืนเงินตามมาตรา412  แต่  มิได้ปรับบทมาตรา 415  ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องการคืนดอกผล   ในกรณีนี้ดอกผลของเงินคือดอกเบี้ยที่มิใช่ดอกเบี้ย7.5%เพราะผิดนัดแต่อย่าง  ใดเพราะมิใช่เรียกให้ใช้ค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา 
ดัง นั้นที่ถูกก็กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯน่าจะคืนดอกเบี้ยเงินค่าที่ดิน  ที่รับไว้ตามอัตราตลาดในขณะที่ถูกเรียกคืนคงมิใช่คิดง่ายๆ คือ7.5%  
3.    เหตุผลของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯในการยอมคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานโดยไม่  อุทธรณ์ตามที่ออกประกาศแถลงให้ทราบ   หากพิจารณาด้วยหลักกฎหมายดูเหมือนจะมิได้ใช้กฎหมายเล่มเดียวกันกับที่สอนใน  โรงเรียนกฎหมายในเมืองไทย แม้จะมีการอ้างความเห็นของอัยการฝ่ายคดีแพ่งก็ตาม   คงไม่มีข้อสันนิษฐานเป็นประการอื่น
นอกจากจะต้องสรุป ว่า อาจถึงเวลาต้องปิดโรงเรียน   หรือคณะนิติศาสตร์หรือมิฉะนั้นก็ฉีกตำรากฎหมายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป   เพราะเราไม่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการแก้ปัญหา กลายเป็นว่า   หรือนักกฎหมายกลับเป็นปัญหาเสียเอง
--------------------------------------------------
หมายเหตุ 
มาตรา 411 บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือ ศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่
มาตรา 412 ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่งท่านว่า ต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน
มาตรา 415  บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่
ถ้าผู้ที่ได้รับไว้จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใด ให้ถือว่าผู้นั้นตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่เรียกคืนนั้น
 
