เมื่อ คืนนี้เจอเรื่องหนึ่ง   มีคนไข้คนหนึ่งเข้ามาโรงพยาบาลด้วยอาการน้ำเกินในร่างกายเฉียบพลันเพราะเป็น   โรคไตแล้วไม่ได้ไปฟอกไตตามกำหนดนัด คนไข้เหนื่อยมากต้องใส่ท่อช่วยหายใจ   ผมก็ถามพ่อของคนไข้ว่าทำไมไม่ไปฟอกไตตามกำหนดนัด   (ในตอนนั้นยอมรับเลยว่าถามด้วยความโมโห เพราะว่าคนไข้อาการหนักพอสมควร)   คำตอบก็คือ เขาใช้สิทธิ์การรักษาแบบประกันสังคม   ต้องออกเงินเองไปก่อนเวลาไปฟอกไต ครั้งหนึ่งประมาณ 2000 บาท   แล้วบริษัทค่อยทำเรื่องไปเอาเงินจากสำนักงานประกันสังคมมาให้เขาอีกทอดหนึ่ง    ทำให้เขาต้องไปกู้นอกระบบเพื่อมาจ่ายค่าฟอกไตไปก่อนแล้วค่อยไปรับเงิน  จากบริษัทซึ่งได้รับจากสำนักงานประกันสังคม   แน่นอนว่าเวลาไปกู้เงินกู้นอกระบบก็ต้องเสียดอกเบี้ยมหาโหดประเภทร้อยละ 20   ต่อเดือน แล้วครั้งล่าสุดเขาไม่มีเงินจริงๆ   (พ่อของคนไข้เขาใช้คำว่าชอร์ตเงิน)   ทำให้ไม่สามารถพาลูกไปฟอกไตที่โรงพยาบาลได้   จึงต้องยอมปล่อยให้ลูกอาการแย่ลง   และหากลูกเขาจะเสียชีวิตจากอาการน้ำเกินเนื่องจากไม่ได้ฟอกไตตามกำหนดก็เป็น  เรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่มีเงินจริงๆ 
 เรื่อง นี้ทำให้ผมได้คิดทบทวนหลายๆ อย่าง อย่างแรก คือ   ในสภาพสังคมที่เป็นอยู่ของไทยในปัจจุบันนี้   ความแตกต่างทางชนชั้นและรายได้นำไปสู่ความแตกต่างทางคุณค่าของคนในมุมมองของ  คนในสังคมเอง ในขณะที่บางคนนั้นไม่อาจตายได้ เพราะหากตายไปแล้วจะกลายเป็น   "ความสูญเสียใหญ่หลวง" แต่ว่าสำหรับคนจนในประเทศของเราแล้ว   ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นคนทำงานเป็นผู้สร้างที่แท้จริงของประเทศของเรา   เป็นผู้ทำงานทั้งหลังขดหลังแข็งในโรงงานและหน้าดำกรำแดดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับประเทศของเราในรูปของผลผลิตต่างๆ   ทำไมพวกเขาถึงต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องทนซมซานอยู่อย่างอดอยากยากจน   ไม่มีกระทั่งสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชีวิตของเขาไร้ค่า   และญาติพี่น้องของเขาต้องตายอย่างไร้ค่าในประเทศที่อ้างว่าประชาชนคืออำนาจ  สูงสุดในแผ่นดิน?
 อย่างที่สอง คือ  แม้เราจะมีระบบที่ว่ากันว่า   ช่วยสนับสนุนให้คนจนมีสิทธิ์ในการเข้าถึงการรักษา   ซึ่งเป็นองค์ประกอบขั้นมูลฐานของสิทธิ์ที่จะดำรงชีวิตอยู่   แต่ว่าระบบของเรายังไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้าถึงการรักษาอย่างแท้จริง   ผู้ที่สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างแท้จริงคือ   ข้าราชการที่ได้ทำระบบเบิกจ่ายตรง ที่มีชื่อเล่นว่า "ระบบสแกนนิ้ว"   เพราะใช้วิธีสแกนนิ้วของผู้มีสิทธิ์รับบริการอันได้แก่ บิดา-มารดา   ตัวข้าราชการและคู่สมรส และบุตรที่ยังมิได้บรรลุนิติภาวะ   เพื่อยืนยันตัวบุคคล เมื่อเข้าระบบนี้แล้ว   ผู้ใช้บริการสามารถรับบริการทางการแพทย์ภายใต้สิทธิ์การรักษาได้โดยไม่  ต้องออกเงิน ผิดกับผู้ที่ใช้สิทธิ์ในระบบอื่นๆ เช่น   กรณีของรัฐวิสาหกิจอื่นๆ องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น   หรือระบบประกันสังคมของลูกจ้างเอกชน ซึ่งการออกเงินไปก่อนนั้น   ในผู้ที่มีรายได้น้อยแล้ว   ลงท้ายก็ต้องไปตกเป็นเหยื่อของกลุ่มเงินกู้นอกระบบ   ดังเช่นเรื่องที่ผมได้เจอ
 ส่วนในระบบ 30 บาทนั้น  แม้ว่าจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  แต่ว่าก็ถูกจำกัดสิทธิ์หลายๆ อย่าง  เช่นในกรณีของการล้างไต ผู้ที่เข้าระบบ  30  บาทหากต้องการล้างไตในกรณีของโรคไตวายเรื้อรังนั้น   จะต้องล้างแบบทางหน้าท้อง ซึ่งผู้ป่วยจะต้องอยู่ติดบ้าน   และมีผู้ดูแลที่ต้องอยู่กับผู้ป่วยเต็มวันอย่างน้อยหนึ่งคน   เพื่อทำการล้างไตทุกวัน ซึ่งสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีทุนทรัพย์   ที่จะเลี้ยงดูญาติอีกคนหนึ่งให้มาอยู่กับบ้านไม่ได้ไปทำงานหาเงิน   หรือจ้างคนมาดูแลทั้งวันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นภาระทุกข์อย่างแสนสาหัส   เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น   เพราะรัฐบาลผลักภาระในการจัดหาเครื่องไตเทียมให้กับระบบสาธารณสุขไปให้  ประชาชนรับแทน นี่เป็นตัวอย่างของหนึ่งการ "อยู่บนหอคอยงาช้าง"   และการพยายามผลักภาระให้กับประชาชนของรัฐข้าราชการ
 อย่าง ที่สาม มักจะมีผู้คัดค้านการสนับสนุนสิทธิ์ในการรักษาของคนจน   โดยใช้เหตุผลว่า กลัวว่างบประมาณสาธารณสุขจะบานปลายเป็นภาระแก่ประเทศ   ในขณะที่งบประมาณทางกลาโหมเพิ่มขึ้นจากประมาณ 8 หมื่นล้าน ในปีงบประมาณ   2549 จนเป็น 1.5 แสนล้าน ในปีงบประมาณ 2554 ในขณะที่งบประมาณสาธารณสุข   ขึ้นมาจากประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2539 มาอยู่ที่ประมาณประมาณ 7   หมื่นล้านเท่านั้น ในปีงบประมาณ 2554 ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า   ประเทศที่ไม่ได้มีสงครามภายนอกในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา   เหตุใดงบประมาณกลาโหมถึงได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่างบประมาณสาธารณสุข?   ผมคิดว่า   นี่สะท้อนให้เห็นมุมมองและการจัดสรรทรัพยากรของกลุ่มผู้ถือครองอำนาจรัฐที่  แท้จริงในประเทศของเราว่าให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากกว่า
 เรื่อง เหล่านี้เป็นเพียงเงาสะท้อนส่วนหนึ่งของปัญหาที่หมักหมมกันมา  อยู่ในสังคมไทย ปัญหาของความอยุติธรรมในสังคมทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ   และสังคมไทยนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง   และปัญหาเหล่านี้ได้สะท้อนลงมาจนถึงระดับชีวิตประจำวันของประชาชนไทย   และประชาชนชั้นล่างของไทย   รู้สึกและเจ็บปวดกับปัญหาเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แน่นอน   ผู้ที่อยู่ดีมีสุขในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจมองไม่เห็นหรือไม่ยอมมอง  เห็นปัญหาเหล่านี้ แต่ว่าหากไม่นำปัญหาเหล่านี้มาพูดกันให้ถึงแก่น   ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
 หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook ส่วนตัวของ สลักธรรม โตจิราการ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2553
 
