
โดยประสงค์ วิสุทธิ์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์"มติชน"ว่า ได้ยินข่าวว่า มีข่าวพูดกันมากในฝ่ายการเมืองที่ต้องการแก้ไขในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญโดยจะ ให้ยุบองค์กรนี้และให้งานเกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญไปอยู่ที่ศาล ฎีกาหรือศาลปกครอง
เหตุผลที่กล่าวอ้างว่า เป็นที่มาของข่าวดังกล่าวคือ เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของศาลรัฐธรรมนูญถูกย่ำยี โดยมีการให้ข่าวเชิงทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ  ที่นี้คงไม่มาถกเถียงกันว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย   ดีหรือไม่ดีในการยุบศาลรัฐธรรมนูญเพราะนอกจากต้องถกเถียงกันทางด้านวิชาการ  ในประเด็นต่างๆ มากมายแล้ว ต้องดูโครงสร้างของสถาบันการเมืองทั้งระบบด้วย   มิเช่นนั้นแล้วการตั้งโน่น   ยุบนี่ก็เหมือนเอารัฐธรรมนูญมาปะผุอย่างเช่นที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้หรือการ  ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550
แต่ประด็นที่ต้องการนำเสนอคือ  มิใช่ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่มีปัญหา  องค์กรตามรัฐธรรมนูญสำคัญๆ อาทิ  ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง    คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)   คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ฯลฯ ล้วนมีปัญหามากมาย   ถ้าไม่เร่งแก้ไขหรือปฏิรูปครั้งใหญ่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและความน่า  เชื่อถืออย่างรุนแรงเช่นกัน   (องค์กรตามรัฐธรรมนูญบางแห่งแทบไม่มีความน่าเชื่อถือหลงเหลืออยู่อีกแล้ว?)
ปัญหาในองค์กรเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ด้านหลักซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
ด้านแรก   คุณภาพหรือมาตรฐานในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี  ต้องยอมรับว่า กกต. และ   ป.ป.ช.ถูกตั้งคำถามในเรื่องนี้ค่อนข้างมากกว่าศาลยุติธรรมและศาลปกครอง    อย่างไรก็ตามปัญหานี้ผูกพันอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมอย่าง  รวดเร็วด้วย
ด้านที่สอง   คุณภาพของบุคคลากรและการบริหารจัดการ ปัญหานี้องค์กรเก่าแก่กว่า 100 ปี   อย่างศาลยุติธรรม แม้จะมีความพยายามในการปรับปรุงการบริหาร   แต่ปัญหาหนักที่ทับถมศาลยุติธรรมคือ ปริมาณคดีค้างการพิจารณาเป็นจำนวนมาก 
ณ  สิ้นเดือนสิงหาคม 2553    คดีค้างในศาลทุกชั้น(ชั้นต้น-อุทธรณ์-ฎีกา)รวมแล้ว 265,058 คดี    จริงอยู่ในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ อัตราเร่งในการพิจารณาค่อนข้างเร็ว   แต่คดีที่รับใหม่ก็มีปริมาณสูง เช่น เพียง 8   เดือนของปีนี้มีคดีรับใหม่ในศาลชั้นต้นกว่า 700,000 คดี 
ขณะ ที่ปัญหาหนักตกอยู่ที่ศาลฎีกาที่มีผู้ พิพากษาเพียง 100 คนเศษ  แต่มีคดีค้างอยู่กว่า 37,000  คดีและมีปริมาณคดีรับใหม่ในอัตราสูง  โดยไม่มีใครรู้ว่า  คดีที่ค้างอยู่นานเกินกว่า 10   ปีมีจำนวนเท่าใดเพราะเป็นข้อมูลที่ไม่อาจตรวจสอบได้
อย่าลืมว่า ยิ่งคดีพิจารณาล่าช้าเท่าใด ยิ่งไม่ยุติธรรมกับประชาชนมากเท่านั้น
ขณะ ที่องค์กรอื่น แม้ตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็มีปัญหาในด้านการบริหารจัดการอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน เพราะเป็นการรวมคนมาจากร้อยพ่อพันแม่ ต่างวัฒนธรรมความคิดมาอยู่รวมกัน ทำให้หลายแห่งมีการช่วงชิงอำนาจ ไม่มีความผูกพันกับองค์กร ไร้กฎระเบียบที่ชัดเจน ทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก ฯลฯ
อาทิ  สำนักงานศาลปกครองไม่มีการกำหนดขอบเขตงานและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนของที่ปรึกษา แต่ใช้วิธีการง่ายๆคือ แต่ง  ตั้งตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เกษียณอายุเป็นที่ปรึกษาทั้งหมด   ทำให้มีที่ปรึกษาถึง9-10คน ทำให้ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนรายละ 60,000   บาท/เดือน  รวมเดือนละ 600,000  บาท ปีละ 7,200,000 บาท(ยังไม่รวมค่าปรับปรุงห้องทำงานใหม่ให้พอกับจำนวนที่ปรึกษาที่เพิ่มขึ้นอีก) ขณะที่ตุลการศาลปกครองสูงสุดมีเพียง 17 คนเท่านั้น
คำถามคือ ถ้ามีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเกษียณอายุอีกจะตั้งเป็นที่ปรึกษาไปเรื่อยๆเช่นที่ผ่านมาหรือไม่ และมีจำนวนเท่าใดจึงจะเพียงพอ
ศาล รัฐธรรมนูญก็มีปัญหาเช่นเดียวกันองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆและดู  เหมือนว่าจะหนักหน่วงกว่าด้วยซ้ำโดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานคำวินิจฉัยที่ผ่าน  มา(ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญชุดไหนก็ตาม)และปัญหาบริหารจัดการโดยเฉพาะคนสนิทของ  ประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเอง  ว่า แอบอิงอำนาจ"นาย"ในการแสวงหาผลประโยชน์ในรูปต่างๆ โดยผู้มีอำนาจทำตัวเป็น"จ่าเฉย"จนปัญหาบานปลายกลายเป็นคลิปฉาว
จริง อยู่ การโจมตีศาลรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้านอาจมีเป้าหมายในทางการเมืองในเรื่อวง คดียุบพรรค แต่สิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมีการปัดกวาดเช็ดถู เช่นเดียวกัน
 
