
นิติ ราษฎร์จัดอภิปราย ‘วรเจตน์’ฟันธงตุลาการภิวัตน์ผิดทาง ถึงเวลาปฏิรูปทุกศาลให้ยึดโยงประชาชน สร้างระบบเปิดตรวจสอบได้ ‘พนัส ทัศนียานนท์’ เรียกร้องตุลาการเป็นแนวหน้าปชต.เหมือนอังกฤษ‘สถิตย์ ไพเราะ’ นอนยันไม่มีทางเป็นไปได้ ชี้คลิปฉาวศาลรธน. ถ้าจริงตุลาการผิดกม.อาญาโทษสูง 20 ปี
13   พ.ย.53 ‘คณะนิติราษฎร์’ จัดอภิปรายเรื่อง   “ตุลาการ-มโนธรรมสำนึก-ประชาธิปไตย” ที่คณะนิติศาสตร์   มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. สถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตอาจารย์ผู้บรรยายวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ ทั้งนี้ คณะนิติราษฎร์เปิดตัวเมื่อ 19 ก.ย.53 ประกอบด้วย 7 อาจารย์จากนิติศาสตร์ มธ. มีสโลแกนว่า “นิติศาสตร์ เพื่อราษฎร” 
 วรเจตน์   กล่าวว่า การทบทวนระบบตุลาการเป็นเรื่องสำคัญ   เนื่องจากคำอธิบายเกี่ยวกับสถานะและอุดมการณ์ของตุลาการนั้นละเลยคุณค่าพื้น  ฐานของประชาธิปไตย หากไม่กลับไปสู่คุณค่าพื้นฐานก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้   ข้อแย้งสำคัญของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ตุลาการเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยคือเกรง  จะกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงสร้าง 3     เสามีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นอำนาจตุลาการที่รับโครงสร้างจากระบอบเก่ามาสวมทับ  กับระบบใหม่ทั้งหมด และเป็นประเด็นที่ไม่เคยอภิปรายกันเลยตลอดมา 
 เขา   กล่าวถึงตัวอย่างของการขาดความเข้าใจในหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยยกกรณี  ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความกับผู้เผยแพร่คลิปศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเร็วๆ   นี้ในความผิดหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112     ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ  ตุลาการซึ่งตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยว่า   การพิพากษาคดีของศาลต้องดำเนินการตามกฎหมายและ “ในนามพระมหากษัตริย์”   คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จนกระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2489   จึงใช้คำว่า “ในพระปรมาภิไธย” ความหมายของคำนี้คือ   การที่พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจแทนปวงชนผ่านองค์กรของรัฐ อันหนึ่งคือศาล   ที่สุดแล้วเป็นการใช้อำนาจของราษฎรทั้งหลายเพื่อบรรลุวัตุประสงค์ของการอยู่  ร่วมกันเป็นรัฐ
 วรเจตน์  กล่าวว่า หลักประชาธิปไตยอันหนึ่งคือ ผู้ปกครองปกครองโดยมีระยะเวลาจำกัด   มีแต่ฝ่ายตลาการเท่านั้นที่ไม่มีวาระในการทำงาน แม้เข้าใจได้โดยสภาพของงาน   แต่ต้องไม่ละเลยว่าตัวเองเชื่อมโยงกับประชาชน   ไม่ต้องกลัวว่าการยึดโยงนี้จะกระทบต่อความอิสระ   เนื่องจากความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายถึง 1.เป็น  อิสระในทางเนื้อหา หมายความว่า พิพากษาคดีไปตามกฎหมาย ความรู้ในวิชาชีพ   ไม่รับใบสั่งจากใคร 2. อิสระต่ออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร   หรือตุลาการด้วยกันเอง   กรณีหลังหมายความว่าศาลไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำตัดสินของศาลสูงที่เคย  ตัดสินแล้ว หากไม่เห็นด้วย มีเหตุผลดีกว่าจะกลับคำพิพากษาก็ได้ 3.   ต้องเป็นอิสระต่ออิทธิพลในทางสังคม อย่างไรก็ตาม   หลักนี้ใช้เฉพาะการกระทำการในทางตุลาการเท่านั้น   ถ้าทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่การตัดสินคดีก็ไม่สามารถอ้างหลักการนี้มาป้องกัน  การตรวจสอบได้  และไม่ทำให้ผู้พิพากษาพ้นไปจากกฎหมาย 
 “ใน  ต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เห็นด้วยเดินขบวนประท้วงคำพิพากษาก็ได้   เพียงแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคดีได้หากศาลตัดสินไปแล้ว   แต่เจ้าของอำนาจมีสิทธิที่จะแสดงออกได้ว่าคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าถูกกดทับ   ปิดปากในนามของการละเมิดอำนาจศาล”   วรเจตน์กล่าวและว่าตุลาการจำเป็นต้องอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ  ตราบเท่าที่ไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทตัวผู้พิพากษา
 วรเจตน์  ย้ำว่า   การกำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาโดยเชื่อมโยงกับประชาชนไม่ขัดแย้งอะไร  กับหลักความเป็นอิสระ เพราะการะบวนการคัดคนไม่ควรเป็นระบบปิด   หลายประเทศสร้างระบบเปิดให้กับตุลาการในหลายรูปแบบ เช่น 1.   เลือกตั้งโดยตรง ดังเช่นบางมลรัฐในสหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ 2.   คัดเลือกและเสนอชื่อโดยฝ่ายบริหาร 3.คัดเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ   4.รูปแบบผสมให้ตุลาการและฝ่ายนิตบัญญัติร่วมกันคัดเลือก   ขณะที่บางประเทศใช้ระบบลูกขุน ให้คนธรรมดาเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลชั้นต้น   เช่น เยอรมัน เพื่อทำให้กระบวนการดำเนินคดีอยู่ในสายตาของสาธารณชนด้วย   แต่เมื่อเสนอแนวทางนี้ในสังคมก็มักจบด้วยข้ออ้างว่าการทำเช่นนี้ทำให้คนทั่ว  ไปมีอิทธิพลกับตุลาการได้ อันเป็นมุมมองที่เห็นว่าราษฎรไทยยังไม่ฉลาด   ไม่มีความสามารถในการจัดการปกครองตนเอง   เรื่องนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย 
 “บาง  คนบอกปัญหาเกิดกับศาลใหม่ๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ขอเรียนว่า   นี่เป็นเรื่องอำนาจตุลาการทั้งหมด เราควรใช้โอกาสนี้พูดถึงทั้งระบบ   ดังจะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้คำตัดสินของทุกศาลล้วนถูกตั้งคำถาม” 
 วรเจตกล่าว  ว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของตุลาการ คือ การขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตย   ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะแก้อื่นไม่ได้เลย   เพราะผู้พิพากษาไม่รู้สึกว่าการตัดสินคดีไม่ใช่ใช้อำนาตตัวเองแต่เป็นอำนาจ  ประชาชน จำเป็นต้องปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย นิติรัฐลงไป   และเปลี่ยนโครงสร้างตุลาการให้ทนทานต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม   หากดูรัฐธรรมนูญ 50   จะพบแนวโน้มที่กลับกัน โดยสร้างอำนาจให้ศาลมากขึ้น เป็นระบบปิดมากขึ้น   และอ้างถึงกระแสตุลาการภิวัตน์ซึ่งเห็นว่าศาลเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ปัญหา  การเมืองไทยได้   แต่วันนี้ผ่านมาหลายปีแล้วน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าผลเป็นอย่างไร   เพียงแต่จะกล้ายอมรับไหมว่าแนวทางนี้ผิดและสร้างปัญหา 
 พนัส   กล่าวว่า   มโนสำนึกในทางที่จะเป็นประชาธิปไตยถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้คงต้องมีการปฏิรูป   ไม่ใช่ที่ระบบ แต่ปฏิรูปที่คน   ทำอย่างไรให้ผู้พิพากษาไทยมีความสำนึกในประชาธิปไตยขณะที่จารีตประเพณีที่  ยึดถือกันมานั้นไม่ต่างจากสมัยอยุธยา   ในหมู่ตุลาการคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับ  ชัดเจนเท่าไรนัก   แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตุลาการผู้พิพากษาที่มีสปิริตนี้เลย   แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าแปลกแยกกับสังคมที่แวดล้อม 
 พนัส  กล่าวต่อว่า ธรรมเนียมตุลาการไทยนั้นรับมาจากอังกฤษ   แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียนรู้มาด้วย คือประวัติศาสตร์อังกฤษ   ถ้าไม่มีตุลาการร่วมต่อสู้ ความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษคงไม่เกิดขึ้น   อาจกล่าวได้ว่า ทั้งโลกเป็นหนี้ตุลาการชาวอังกฤษคือ หลอดเอ็ดเวิร์ด คุก   เขายอมสละตัวเองต่อสู้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อหลักการที่ถูกต้อง 
 สถิตย์ผู้  อภิปรายที่เรียกเสียงหัวเราะผู้ฟังได้เป็นระยะตลอดการอภิปราย กล่าวว่า   สำนึกประชาธิปไตยในวงการตุลาการนั้นมีอยู่ในตัวบทกฎหมาย ดังเช่นมาตรา 26   พ.ร.บ.ข้าราชการตุลาการ วรรค3   ระบุว่าคนที่จะสมัครสอบเป็นผู้พิพากษาจะต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครอง  ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดยบริสุทธิ์ใจ   แต่กลับปรากฏตามข่าวว่าประธานศาลกับเลขาฯ ไปประชุมล้มรัฐบาล   และสังคมก็ไม่เอาเรื่อง ไม่มีใครออกมารับผิดชอบแถลงข้อเท็จจริง 
 ใน  ฐานะที่เป็นผู้พิพากษามายาวนาน เขายังยืนยันด้วยว่า   ผู้พิพากษาไม่มีทางที่จะมาเป็นแถวหน้าในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่  พนัสคาดหวัง หลายเรื่องที่มีคนคาดหวังก็ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ   เช่นกรณีการไม่รับรองความชอบธรรมภายหลังเกิดการรัฐประหาร เพราะกลไกต่างๆ   นั้นเคลื่อนไปหมดแล้ว มีรัฐสภา มีกฎหมาย   มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วจำนวนมาก 
 “ศาล  เป็นผู้นำไม่ได้ ต้องเป็นผู้ตาม ที่ท่านอ้างอังกฤษ ผมว่ามันเขียนคนละตัว   ในความเห็นผม แมกนาคาตา เกิดขึ้นได้จากใคร ไม่ได้เกิดจากผู้พิพากษา   ประเทศไทยไม่เคยมีผู้พิพากษาตายเพื่อรักษาความยุติธรรม   ระหว่างจำเลยตายกับผมตาย จำเลยต้องตาย (ผู้ฟังหัวเราะ) มันเป็นอย่างนี้   คนที่ตายเพื่อกฎหมาย ความยุติธรรม เป็นทหาร คือ พันท้ายนรสิงห์   ฉะนั้นท่านไปเรียกร้องไม่มีใครได้ยินหรอก ขอบฟ้าอยู่แสนไกล   อันนี้กราบเรียนจากหัวใจในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามา 40 ปี ไม่มีทางจริงๆ” 
 “อย่า  หวังผู้พิพากษาเป็นแนวหน้า ไม่มีทาง ประชาชนเท่านั้นจะเป็นแนวหน้า   บัดนี้เกิดขึ้นแล้ว รอบตัวท่านนี้แหละ”สถิตย์กล่าว   ขณะที่พนัสกล่าวในประเด็นนี้ว่า   ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความหวังแม้จะริบหรี่ดูได้จากกรณีคำวินิจฉัยส่วนตัวของ  ผู้พิพากษาชื่อกีรติ กาญจนรินทร์ ซึ่งระบุว่าการทำรัฐประหารนั้นผิดกฎหมาย   นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของประเทศตุรกีซึ่งต้องการเป็นสมาชิกอียู   เพิ่งลงประชามติเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมว่าการรัฐประหารเมื่อ   30 ปีก่อนผิดกฎหมายและการนิรโทษกรรมครั้งนั้นเป็นโมฆะ   ส่วนวรเจตน์เห็นว่าการที่ผู้พิพากษาเป็นแนวหน้าไม่ได้นั้นเป็นเรื่องจริง   เพราะลักษณะงานตุลาการเป็นงานในเชิงรับมากกว่ารุก แต่ถ้าศาลไม่เป็นกองหน้า  ก็เป็นกองหนุนได้ และสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ผ่านคำพิพากษา   องค์กรตุลาการทำให้กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญเป็นจริงทางปฏิบัติได้
 สถิตย์     ยังกล่าวถึงกรณีคลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังโด่งดังอยู่ขณะนี้ด้วย  ว่า   มีนักศึกษาถามว่าเขาเชื่อไหมว่าคลิปนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเขาตอบว่าไม่เชื่อ   เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับหนึ่งทั้งนั้น   ไม่มีทางที่จะทำผิดกฎหมายขนาดนั้น เพราะมันผิดทั้ง ม.157   เป็นผู้พิพากษาประชุมปรึกษาช่วยโจทก์จำเลย   ผิดฎหมายฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โทษจำคุก 1-10 ปี   หากเป็นตุลาการโทษจะเลื่อนไปใน ม. 201 โทษจำคุก 5-20 ปี   อีกทั้งประชุมกันเพื่อทำผิดกฎหมายยังมีความผิดฐานซ่องโจรตาม ม. 210   ท่านตุลาการย่อมต้องรู้ ฉะนั้นท่านย่อมไม่ทำ (ผู้ฟังหัวเราะ) 
 พงษ์เทพ กล่าว  ว่า ความน่าเชื่อถือของศาลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก   แม้การตัดสินคดีไม่เหมือนกันในแต่ละชั้นเป็นเรื่องปกติ   หรือต่อให้ตัดสินไม่ถูก แต่โจทก์หรือจำเลยต่างก็ยอมรับได้   เพราะไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในองค์กรตุลาการ   แต่ถ้ามีความเคลือบแคลงเสียแล้ว ต่อให้ตัดสินถูกต้องที่สุดคนก็ยังไม่เชื่อ   สถานการณ์หลังยึดอำนาจ มีพฤติการณ์   คำพิพากษาหลายฉบับที่ก่อความเคลือบแคลงใจต่อสาธารณชน   ประกอบกับหลายเหตุการณ์ทำให้ความเคลือบแคลงนั้นกลับเป็นความแน่ใจว่าเกิด  อะไรขึ้นในวงการตุลาการ  
 พงษ์เทพยกตัวอย่างกรณีคำตัดสินของศาลยุติธรรมที่ก่อความแคลงใจ  เช่น อดีต กกต. 4   คนถูกฟ้องคดีอาญา ต่อมาพิพากษาว่า กกต.3 คนมีความผิด   มีการขอปล่อยชั่วคราวซึ่งตามปกติแล้วต้องให้ แต่ศาลไม่ให้ จน   กกต.เหล่านั้นลาออกจึงได้รับการปล่อยชั่วคราว   ต่อมามีการปล่อยเทปบันทึกเสียงผู้พิพากษา 2 คน คุยกับข้าราชการระดับสูง   เลขาธิการ ปปง. พูดข้อมูลที่เกี่ยวพันกับคดีนี้   คนปล่อยเทปถูกฟ้องด้วยข้อหาดักฟังโทรศัพท์แล้วแอบอัดเสียง   แต่สุดท้ายในแวดวงศาลก็ไม่มีการสอบข้อเท็จจริงใดๆ 
 ส่วน  กรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งเกิดขึ้น   พงษ์เทพเห็นว่าหากมีการตัดต่อจริงถือเป็นการจงใจทำลายใส่ความศาลรัฐธรรมนูญ  ที่รุนแรงมากต้องดำเนินคดี แต่หากเป็นเรื่องจริง   สื่อมวลชนควรไปสัมภาษณ์ตุลาการที่เหลือว่าเห็นควรทำงานร่วมกับคนเหล่านั้น  ต่อไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาศาลฎีกาเคยพิพากษาคดีครูเอาข้อสอบไปให้เด็กดู   ตัดสินให้เจ้าพนักงานต้องโทษจำคุกคนละ 9 ปี คนสนับสนุนโดนคนละ 6 ปี 
 พงษ์  เทพ   กล่าวถึงสำนึกเรื่องประชาธิปไตยของตุลาการว่าตั้งแต่ในอดีตเราอาจผิดหวังที่  ตุลาการไม่ได้ทำนุบำรุงรักษาระบอบประชาธิปไตยเท่าที่ควร   คำพิพพากษาศาลฎีกาปี 2496   ก็รับรองให้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์   และปีเดียวกันนั้นเองหนึ่งในผู้พิพากษาคดีนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี  ยุติธรรม ผ่านมาจนปี 2549   ก็ยังมีผู้พิพากษาที่มีบทบาทก่อนการยึดอำนาจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง  สำคัญหลายท่านด้วยกัน
 “สรุป  แล้ว มโนธรรมสำนึก เท่ากับ โน สำนึก ไม่ต้องพูดเรื่องหลักวิชาชีพทางกฎหมาย   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครต้องบรรยายเรื่องจริยธรรมตุลาการคงปวดหัวมาก   เพราะไม่สามารถปรับหลักการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย” พงษ์เทพกล่าว 
 มีผู้ถามว่ากรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตุลาการสามารถแจ้งข้อหากับผู้เผยแพร่ในความผิดมาตรา 112   หมิ่นสถาบันได้หรือไม่ สถิตย์กล่าวว่า มาตรา 112   ไม่ได้กำหนดขอบเขตรวมถึงศาลแต่อย่างใด   ส่วนที่กล่าวกันว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็เป็นความเข้าใจผิด   เพราะละเมิดอำนาจศาลหมายถึงการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาลเท่านั้น   ส่วนการดูหมิ่นศาล   ต้องเป็นเรื่องดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี คำว่า   “ดูหมิ่น” ก็ต้องตีความอีกว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของคน   นอกจากนี้จะเข้าข่ายดูหมิ่นศาลได้ต้องเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วย  กฎหมาย การปรึกษาคดีเพื่อรับสินบนเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
 
