
โดย เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  
  "กฎหมายที่แท้จริง คือเหตุผลที่ถูกต้อง”  ซิเซโร   ผู้เขียนเห็นว่า คำ พิพากษานี้มีปัญหาอย่างยิ่ง  สมควรที่จะหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์ให้กระจ่าง  โดยเมื่อตั้งสมมติฐานไว้แล้วว่า  การตัดสินนั้น  ตุลาการได้ดำรงความเที่ยงธรรมเป็นกลาง ปราศจากอคติทั้งปวง สิ่งที่จะหยิบยกมาพิจารณาจึงเหลือแต่วิธีการให้เหตุผลดังนี้   เนื่อง จากการเลือกตั้งวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ นั้น  มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙  /๒๕๔๙ ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ   ด้วยเหตุว่าผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งนั้น   ปฏิบัติหน้าที่ไม่เที่ยงธรรม สิ่งที่จำเลยฉีกไปจึงมิใช่บัตรเลือกตั้ง   แต่เป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง   ไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งแต่อย่างใด   ๒.๑ การต่อต้านโดยสันติวิธี   ๒.๒ การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ   แต่ ไม่ว่าจะศาลชั้นไหนก็ไม่ควรมีข้อผิดพลาดเช่น นี้ เพราะในสังคมไทย  ไม่ใช่ทุกคดีจะขึ้นสู่ศาลฎีกา มิเช่นนั้น  ความยุติธรรมจะเกิดได้อย่างไร   เพราะ ฉะนั้น ตุลาการ ผู้ธำรงระบบกฎหมาย  ซึ่งเป็นเสาค้ำจุนรัฐไทยอยู่   จึงยิ่งสมควรมั่นคงในหลักการแห่งวิชาชีพและวิชาการของตนมากยิ่งกว่าช่วงเวลา  ไหน ๆ ในประวัติศาสตร์
ธรรมดา นั้นเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วย่อมเป็นที่สุด   ไม่ว่าผู้แพ้หรือชนะย่อมเคารพในคำตัดสินและหลีกเลี่ยงที่จะวิจารณ์   แต่เมื่อศาลแขวงพระโขนงได้ตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๒๙   ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา 
๑.แบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง
ถ้า การเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วเกิดผลข้างต้นขึ้น   การกระทำผิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็ไม่ควรจะผิดได้เลย   เพราะเมื่อไม่ใช่การเลือกตั้งเสียแล้ว   การซื้อเสียงครั้งนั้นจึงไม่ใช่การซื้อเสียง   เป็นเพียงการแสดงท่าทางการซื้อเสียงเท่านั้น
จน ถึงที่สุด ถ้าใช้ตรรกกะเช่นนี้  พรรคไทยรักไทยก็ไม่ควรถูกยุบ   เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและสิ้นผลไปแล้ว   การจ้างพรรคเล็กลงสมัครจึงไม่เป็นความผิด
๒. สันติวิธีและการได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีทางนอกรัฐธรรมนูญ
รัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๖๕   ซึ่งให้สิทธิประชาชนชาวไทยที่จะ “ต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ   ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น  ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”   ได้ถูกนำมาอ้างเป็นฐานในการต่อสู้คดี   และศาลชั้นต้นก็ได้ใช้สิทธิตามมาตราดังกล่าวมายกเว้นความผิดฐานทำให้เสีย  ทรัพย์ไป
ในเหตุผลข้อนี้ต้องวิเคราะห์ในสองประเด็น คือ   การต่อต้านโดยสันติวิธีและการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ  โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
คำถาม คือ สันติวิธีนั้นสามารถผิดกฎหมายได้หรือไม่
แน่ นอนว่า   การกระทำผิดกฎหมายที่ก่อความรำคาญหรือเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่นไม่ใช่  สันติวิธี อาทิ การยิงลูกระเบิด การชุมนุมปิดสนามบิน   หรือแม้กระทั่งการขับรถแท๊กซี่ชนรถถังของคณะรัฐประหาร
แน่นอนว่า    การแสดงออกซึ่งความไม่เห็นด้วยโดยไม่ผิดกฎหมายและไม่สร้างความเดือดร้อนเสีย  หายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการกระทำโดยสันติวิธี เช่น การอดข้าวประท้วง   การชูป้ายข้อความ
แล้วารกระทำที่ผิดกฎหมาย  แต่ไม่สร้างความเสียหายแก่บุคคลใดโดยเฉพาะ   นอกจากความสงบเรียบร้อยของรัฐและความมั่นคงในกฎหมาย   เป็นการกระทำโดยสันติวิธีหรือไม่
ในความเห็นผู้เขียนแล้ว  “สันติวิธี” ของรัฐธรรมนูญนั้น  ต้องเป็นสันติที่คู่ไปกับความชอบด้วยกฎหมาย  ไม่สามารถตีความแยกออกจากกันได้   มิเช่นนั้นคงเป็นการตีความที่ให้ผลประหลาดและทำลายตัวของมันเอง
รัฐ ธรรมนูญคงมิได้มีเจตนารมณ์  จะให้คนทำผิดกฎหมายกระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   เมื่อคำนึงถึงหลักนิติธรรมที่ประเทศประชาธิปไตยพึงมีแล้ว   การกระทำไม่ว่าจะของรัฐหรือเอกชน ล้วนแต่ต้องชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น
โชค ดีเป็นอย่างยิ่งที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๙/๒๕๔๙ เห็นว่า   การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สุจริตเที่ยงธรรม   และคำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรรมนูญที่ ๓-๕/๒๕๕๐ เห็นว่า   การกระทำของพรรคไทยรักไทย   เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้  เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ศาลสามารถอ้างว่า   การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิต่อต้านตามมาตรา ๖๕ ได้อย่างมั่นใจ
แต่กระนั้นก็ดี มีข้อโต้แย้งดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง   ถ้าไม่มีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน   การเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมไม่เสียไปตามกฎหมาย ถ้าเป็นเช่นนี้   ศาลจะตัดสินอย่างไร แสดงว่า จำเลยคดีนี้โชคดีใช่หรือไม่   ในขณะที่คนที่ฉีกบัตรในการเลือกตั้งครั้งอื่นไม่โชคดีเท่านี้   ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การฉีกบัตรก็ไม่ต่างจาการพนัน ว่า   หลังจากฉีกแล้วจะมีคนนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือไม่
ประเด็นที่สอง การได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น ที่จริงต้องมีลักษณะเช่นใด 
ประเด็น นี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตีความเรื่องนี้เป็นอัตวิสัยสูง   การทุจริตเลือกตั้ง ไม่ว่า จะด้วยเหตุเล็กน้อยเพียงใด   รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๒๓๗   ล้วนถือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่ง  มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 
ถ้า ยึดตามการให้เหตุผลเช่นนี้  ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป   ถ้ามีคนฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อประท้วงการทุจริตเลือกตั้ง   ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องมีในการเลือกตั้งทุกครั้งไป   บุคคลผู้นั้นจะอ้างเหตุผลนี้ได้หรือไม่
นอกจากนี้  ศาลพึงสังวรด้วยว่า   ลำพังการทุจริตการเลือกตั้งอาจจะมิใช่วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่  บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกต่อไปแล้ว   เพราะปัจจุบันได้มีการถกเถียงกันอย่างมากเรื่องการแก้ไขมาตรา ๒๓๗   ให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น   เนื่องจากเห็นว่าเป็นการบัญญัติที่รุนแรงและไม่เป็นธรรมมากเกินไป 
เพราะ ฉะนั้น   การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไป   ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้อาจควรจำกัดเฉพาะการกระทำที่เห็นได้  ชัดว่าไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญเลย เช่น การรัฐประหาร   ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง   หากเกิดขึ้นจริงแล้วก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิประชาชนไปต่อต้านอยู่ดี   มากกว่าการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในการเลือกตั้งครั้งไหนบ้างที่คนโกงจะถูกจับได้และจะมีคำพิพากษายุบพรรคการเมืองออกมาอีก
๓. ทรัพย์ที่ฉีกมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น 
คำ ถามประการเดียว ณ ที่นี้ คือ ศาลมีอำนาจพิจารณาด้วย   หรือว่าถ้าทรัพย์มีราคาเล็กน้อยแล้วยกฟ้องได้   มีกฎหมายให้อำนาจศาลไว้ตรงนี้หรือไม่
ทั้งสามประเด็นที่หยิบยก ขึ้นมาพิจารณานั้น  มิใช่มุ่งหมายร้องให้นำตัวจำเลยกลับมาลงโทษ   ซึ่งจำเลยเองก็พร้อมจะยอมรับโทษทัณฑ์อันพึงมีหากศาลตัดสิน   และผู้เขียนก็นับถือในความเป็นคนจริงของท่านยิ่งนัก 
แต่แท้จริง ทั้งสามประเด็นนี้ล้วนมุ่งไปที่เหตุผลของศาลเองทั้งสิ้น   เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลน่าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายคลาดเคลื่อน   เหตุผลบางประการไม่สมเหตุสมผล หรือเหตุผลที่ให้นั้นขาดกฎหมายรองรับ
จริงอยู่ที่คำพิพากษานี้ เป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่คำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานในวงการนิติศาสตร์ไทย 
น่า เสียดายที่ด้วยระยะเวลาอันจำกัด   ผู้เขียนจึงไม่อาจค้นหาคำพิพากษาฉบับเต็มได้ และไม่สามารถค้นหาได้ว่า   ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา   หรือการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน   มีคนฉีกบัตรแล้วโดนลงโทษไปมากน้อยเท่าใด
ในบางครั้งตุลาการอาจ ได้รับคำแนะนำจากสังคมให้คำนึงถึง  “ความเหมาะสม” “หลักรัฐศาสตร์” หรือ  “ความเป็นธรรมเฉพาะคดี” บ้าง  แต่ไม่ว่าอย่างไร หลักก็คือหลัก  หน้าที่คือหน้าที่   โดยเฉพาะในยามนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวายมิใช่เพราะทุกคนทิ้งหน้าที่ ทิ้งหลัก   ปล่อยให้ตัวเองไปตามกระแสความรู้สึกอันเชี่ยวกรากมิใช่หรือ 
มิเช่นนั้น  อาจจะถึงเวลาที่เราต้องหยุดเรียกร้องหา  “ความกล้าหาญ”  ของนักนิติศาสตร์ไทยเสีย เพราะเมื่อความกล้าหาญถูกสำแดง   มันกลับทำลายความน่าเชื่อถือแห่งวงการนิติศาตร์ไทยเอง
 
