เสวนาว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยเมื่อ100ปีที่ผ่านมา 
ชี้ให้เห็นหลากปัจจัยที่ส่อให้เห็นถึงความผุกร่อนของระบอบการเมืองการปกครอง
ไทยในสมัยนั้น ซึ่งแม้ว่าจะล้มเหลวแต่ก่อให้เกิดหน่ออ่อนแห่งการ 
เปลี่ยนแปลง 24มิถุนายน 2475 ในอีก20ปีต่อมา
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ. กล่าวว่า หลายประเทศเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเหตุการณ์นั้นก็จะจบไป มีเส้นแบ่งชัดเจน เช่น อินโดนีเซีย พม่า จีน สหรัฐฯ หลังปฏิวัติและตั้งรัฐบาลใหม่ จะไม่มีการกลับไปถามว่า ทำไมก่อนหน้านั้นจึงทำอย่างนั้น วิจารณ์ว่าไม่ได้เรื่อง หรือจะนำขึ้นศาล เพราะมันจบไปแล้ว มีเพียงประเทศไทยซึ่งอัศจรรย์มากที่โยงความคิดหลักโยงกลับไปต้นรัตนโกสินทร์ ได้
 
 
 
 
 
 
 
 

อภิปราย “100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ. 130” ดำเนินรายการโดย ฉลอง 
สุนทราวาณิชย์ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ 
มธ.เพ็ญพิสุทธิ์ ทองมี นักวิชาการอิสระ และ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ 
 อักษรศาสตร์ จุฬาฯ 
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

เพ็ญพิสุทธิ์ ทองมี: นักวิชาการอิสระ
การเคลื่อนไหวของสามัญชนในปี 2455 หรือ ร.ศ.130 
เป็นการเคลื่อนไหวของสามัญชนเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
แต่เนื่องจากไม่สำเร็จจึงกลายเป็นกบฏ 
โดยการเคลื่อนไหวนี้มีสาเหตุจากปัญหาเศรษฐกิจและความล้าหลังของบ้านเมือง 
โดยสมาชิกของคณะ ร.ศ.130 ส่วนใหญ่เป็นนายทหารหนุ่มชั้นสัญญบัตร 
เป็นผลผลิตของระบบราชการใหม่ที่เปิดให้สามัญชนมีส่วนร่วม 
จึงเห็นว่าบ้านเมืองเกิดปัญหามากมาย แต่รัฐบาลสมัย ร.6 
ไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนและเศรษฐกิจ 
ส่งผลให้กองทัพไม่ได้รับงบประมาณนานถึง 5 ปี 
ขณะที่งบพระคลังข้างที่เพิ่มขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ยังมีความไม่พอใจ กรณีเฆี่ยนหลังทหาร 
จากความขัดแย้งระหว่างมหาดเล็กของ ร.6 
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นมกุฎราชกุมารกับทหารบก โดย ร.6 ยืนยันให้ ร.5 
ลงโทษด้วยการเฆี่ยนซึ่งทหารบกมองว่า เป็นการทำโทษที่ล้าหลัง แม้ว่า 
ยังมีโทษนี้ตามกฎหมายอยู่ สอง การตั้งกรมทหารรักษาวัง 
ซึ่งขึ้นกับกระทรวงวัง ไม่ขึ้นกับกองทัพบก 
สาม ทหารและประชาชนบางส่วนมองว่า รัชกาลที่ 6 
มีจริยวัตรที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย เช่น โขน ละคร 
เอาแต่เล่นสนุกสนานในพระราชวัง ไม่คบหาสมาคมกับเสนาบดี 
โปรดข้าราชสำนักเป็นพิเศษ เลื่อนยศให้ตามพระราชอัธยาศัย 
ต่างกับทหารที่เมื่อขอเลื่อนยศบ้าง พระองค์บอกว่าไม่ว่าง ทำไม่ได้ 
จึงมองว่า พระองค์ลำเอียง สี่ การตั้งกองเสือป่า 
เหมือนเป็นการตั้งหน่วยงานแข่งกับทหาร แม้ ร.6 
จะบอกว่าตั้งขึ้นฝึกอาวุธให้คนธรรมดาเผื่อในยามสงคราม 
แต่พระองค์ให้ความสำคัญกับกองเสือป่ามากกว่า เสด็จกองเสือป่าทุกวัน 
มีการนำเสบียง-อุปกรณ์ของทหารไปใช้ โดยทหารมองว่ากองเสือป่าไม่ได้รบจริง 
เหมือนหน่วยงานกองกำลังส่วนพระองค์มากกว่าเพื่อช่วยราชการ 
และไม่ได้ช่วยปัญหาบ้านเมืองจริง 
เมื่อพวกเขาได้รับการศึกษารูปแบบใหม่ เห็นรูปแบบการปกครองอื่นๆ 
ที่ไม่ใช่แค่กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดเท่านั้น 
ทำให้มองว่าหากทหารได้มีส่วนร่วมจะช่วยพัฒนาชาติได้ 
และถ้าทหารที่มีอาวุธและความรู้ในมือไม่ทำแล้วใครจะทำ 
โดยมีการศึกษารูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ 2 แบบคือ limited monarchy 
ซึ่งกษัตริย์เป็นประมุขที่มีอำนาจจำกัดกับสาธารณรัฐ โดยต้นแบบคือ จีน 
ที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วสำเร็จเมื่อ 10 ต.ค. 2454 
อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมของกลุ่ม 
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมด้วย 
และนำไปรายงานว่ามีการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
ทำให้แกนนำถูกจับกุมในเวลาต่อมา โดยจากการค้นบ้านสมาชิก 
พบการรวบรวมรายงานข่าวจาก 
นสพ.เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวและความสำเร็จของการปฏิวัติในจีน 
เอกสารกฎข้อบังคับของสมาคมและบันทึกว่าด้วยความเจริญและความเสื่อมทรามของ
ประเทศ ที่อภิปรายถึงข้อเสียของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช 
และข้อดีของการปกครองแบบ limited monarchy และสาธารณรัฐ 
หลังถูกจับกุม มีการพิจารณาตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิต 3 
ผู้ก่อการและจำคุก ต่อมามีการพระราชทานอภัยโทษ 
ละเว้นโทษประหารชีวิตและลดโทษจำคุก โดยหลังเปลี่ยนการปกครอง 2475 
พวกเขาทั้งหมดพ้นโทษ หลังมีการนิรโทษกรรมในปี 2476 
สามัญชนได้รับการศึกษาแบบใหม่ เห็นภัยปัญหาของบ้านเมือง 
จึงวางแผนแต่รั่วไหลเสียก่อน ทำให้ถูกจับกุม 
แต่ไม่ได้ทำให้ความคิดทางการเมืองหยุดชะงัก โดยแม้จะมีการควบคุมสื่อ 
แต่ยิ่งคุมมาก ความคิดของคนคิดต่างก็มีมากขึ้น 
และเกิดการวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง 
การเคลื่อนไหวนี้จึงจุดชนวนความคิดให้คนคิดถึงการเมืองรูปแบบใหม่ 
ที่คนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ผนวกกับการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป 
ได้จุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ขึ้น

อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ : ข้อสังเกตกรณี ร.ศ. 130
บริบท
เรามักจะไม่ค่อยรู้สึกกัน 
เหมือนกับว่ารัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นบริหารประเทศไม่ค่อยมีปัญหา 
ราบรื่น แต่จริงๆ 
การบริหารประเทศในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เหมือนรัฐบาลปัจจุบัน 
มีปัญหามากมาย เราอาจจะไม่ค่อยทราบว่าในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 
มีปัญหาใหญ่คือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี 
เนื่องจากภัยธรรมชาติ โรคพืช ชาวนาเดือดร้อนอย่างหนักแต่รัฐบาลขาดแคลนเงิน 
แก้ปัญหาโดยการขึ้นภาษี อากรค่าน่าเพิ่มถึง 4 เท่า 
เพราะฉะนั้นชาวนาก็เดือดร้อนยิ่งกว่าเดิม
เมื่อชาวนาเกิดปัญหา วิกฤต รายได้ตกต่ำ ปัญหาอดอยากยากจนภัยแล้ง 
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่านโยบายการเกษตร 
เรื่องนโยบายเป็นเรื่องเกิดหลัง 2475
เมื่อเกิดปัญหาก็แก้ด้วยการแจกข้าว ทำทำนบกั้นน้ำ หรือพิธีกรรม 
การแก้ปัญหาแบบนี้ส่วนหนึ่เงป็นไปตามแนวคิดแบบเดิม 
ว่ารัฐบาลพระมหากษัตริย์นั้นพระองค์ต้องประกอบพิธีบุญ 
เมื่อประชาชนมีภัยแล้ว 
พระมหากษัตริย์ก็ทำบุญหวังว่าจะช่วยปัดเป่าปัญหาบ้านเมือง 
ต้องเข้าใจว่าวิธีคิดในการแก้ปัญหานั้นมีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้ บริบทอื่นๆ คือ พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 
ประชวรหนักเสด็จไปรักษาตัวยังยุโรป พ.ศ. 2451 มีพิธีรัชมังคลาภิเษก 
และเรี่ยไรเงินสร้างพระบรมรูปทรงม้า เป็นประเด็นทีน่าสนใจว่า 
เป็นพระพุทธเจ้าหลวงโดยไม่ได้บวช ไม่ได้นิพพาน หรือตรัสรู้
เดือนมีนาคม 2541 เสียดินแดน 4 รัฐมลายูให้กับอังกฤษ ซึ่งจริงๆ 
เป็นการยกดินแดนสี่รัฐให้กับอังกฤษ โดยรัชกาลที่ 5 
ทรงอธิบายว่าถ้าขืนเอาไว้ก็รักษาไว้ไม่ได้ 
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ได้กู้เงินอังกฤษมาสี่ล้านบาท แต่ได้ตัดงบกระทรวงกลาโหม 
เพิ่มงบกระทรวงวัง และในปีสุดท้ายในรัชกาลของพระองค์ปี 2453 
เกิดการประท้วงใหญ่ของชาวจีน 
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพราะเรื่องเลิกเงินผูกปี้ 
และส่งผลโดยตรงต่อนโยบายต่อต้านคนจีนจากรัชกาลที่ 6
เกิดเรื่องใหญ่คดีพระยาระกา 
คือเจ้านายสองพระองค์เกิดมีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องนางรำ 
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์น้อยพระทัยลาออกจากกระทรวงยุติธรรม 
เสนาบยดีลาออกตามอีก 28 คน
เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการคิดว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์บริหารงานราบรื่นนั้นไม่จริง
จากนั้นเมื่อสวรรคตแล้ว ขึ้นรัชกาลใหม่ 
ก็ขึ้นมาด้วยความคาดหวังว่าอย่างน้อยที่สุดรัฐบาลใหม่น่าจะแก้ปัญหาอะไรได้
บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น แม้ทรงมีการศึกษาสูงมากจบจากอังกฤษ 
คนทั่วไปก็คาดหวังว่าจะเป็นคนหัวใหม่ 
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการปฏิวัติในประเทศต่างๆ 
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ทรงมีปัญหาในด้านพระจริยวัตร 
แม้ทรงครองราชย์เมื่อพระชนมายุสามสิบกว่าพรรษาแล้ว 
แต่ก็ทรงเป็นมหาราชย์โดยที่ไม่สนพระทัยความงามของสตรี 
เมื่อไม่สนพระทัยความงามของสตรีก็เป็นเรื่องใหญ่ สังคมก็นินทาไปทั่ว
การที่ไม่โปรดนั้นเกี่ยวข้องกับการที่มีพระราชบริพารเป็นมหาดเล็กจำนวนมาก และคนสำคัญคือนาย
จ่ายง หรือเฟื้อ พึ่งบุญ อายุ 21 ปี เมื่อทรงเริ่มครองราชย์ 
ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศอย่างรวดเร็วภายใน 10 ปี จากนายจ่ายง 
เป็นจมื่น และจากนั้นเป็นพระยาประสิทธิศุภการ 
และดำรงตำแหน่งเจ้าพระยารามราฆพ ได้เป็นพลเอกเมื่ออายุ 31 ปี ความสนิทสนมที่ทรงมอบแก่นายจ่ายงนั้นเป็นที่นินทา เมื่อเล่นโขนเล่นละครมักให้นายจ่ายงเป็นพระเอก
และบริบทสำคัญอีกประการคือกรณีการสั่งเฆี่ยนหลังทหาร ในพ.ศ. 2452 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างทหารและมหาดเล็ก
โดยสรุป 
เมื่อรัชกาลที่หกขึ้นครองราชย์ความคาดหวังถึงความเป็นคนสมัยใหม่นั้นหมดไป 
เพราะมีปัญหาพระจริยวัตรหลายประการ แต่ต้องเข้าใจว่าถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน 
เวลารัฐบาลบริหารไม่ถูกก็คาดหวังได้ว่า อีกสี่ปีข้างหน้าจะเลือกได้ไหม 
แต่ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นนั้นไม่มี 
ฉะนั้นจึงทำให้คนหนุ่มรุ่นใหม่เห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบ 
เปลี่ยนระบอบการปกครอง
ร.ศ. 130 นั้นจึงเกิดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 
และคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้มีคณะเดียว 
หรือพูดใหม่คือมีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเยอะ แต่เป็นสมาคมลับ 
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนั้นมีอั้งยี่ หรือสโมสรจีนกรุงเทพฯ 
ซึ่งป็นสมาคมพันธมิตรของซุนยัดเซ็น และยังมีสมาคมลับอีกอย่างน้อย 1 สมาคม 
คือสมาคมลับ กศร. กุหลาบ มีสมาชิกราว 40 คน 
เหล่านี้คือสมาคมลับที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การหาคนเข้าร่วม สมาคมลับ รศ. 130 นั้นง่ายมาก 
แสดงถึงกระแสความไม่พอใจของรัฐบาลรัชกาลที่ 6 และ ร.ต. เนตร 
ก็คิดมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 แล้ว
อิทธิพลจากญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นมีอิทธิพลมากต่อความรับรู้ของคนรุ่นใหม่มาก คือ 
ญี่ปุ่นชนะสงครามรัสเซีย และเมื่อเผชิญกับตะวันตกนั้น สยามในรัชกาลที่ 5 
เลือกรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ญี่ปุ่นเลือกให้มีรัฐธรรมนูญ ใน 
ร.ศ. 130 จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าสยามมากด้วยระบบที่มีรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้แนวคิดของ ของ ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง  อธิบายถึงแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า
“การที่ให้กษัตริย์เป็นผู้กครองโดยมีอำนาจอยู่เหนือกฎหมายนั้น เอื้อให้กษัตริย์ทำการชั่วร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ทำได้”  “เรา
ชอบพูดว่า ร.ศ. 130 เป็นกบฏทหารซึ่งไม่เชิงว่าจะเป็นเช่นนั้น 
เพราะมีนายแพทย์เข้าร่วม มีนายทหารที่จบวิชากฎหมายเป็นนายทหารพระธรรมนูญ 
มีองค์ประกอบที่หลากหลาย”
การถูกจับกุม  
กบฏ ร.ศ. 130 จบลงโดยไม่ประสบความสำเร็จเพราะ ขุนยุทธกาจกำจาย หรือ 
รต. แต้ม คงอยู่ มาเข้าประชุมและเสนอรายงานต่อกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ 
ทำให้คณะทั้งหมดถูกกำจัด จากนั้นรต. แต้ม คงอยู่ 
ได้รางวัลไปเรียนวิชาทหารที่เยอรมัน 
กลับมารับราชการจนเลื่อนยศเป็นกระยากำแพงรามภักดี 
แต่ถูกปลดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากนั้นได้เข้าร่วมกับกบฎบวรเดช 
ถูกจับกุมแล้วผูกคอตายในส้วมภายในห้องขังโดยเขียนข้อความก่อนตายว่า “You shall live, I shall die but people will recall and cry”
คณะผู้ก่อนการ ร.ศ. 130 ถูกจับดำเนินคดี 91 คน ถูกถอดยศและจำคุก 23 คน และจำที่คุกมหันตโทษ
ประเด็นสุดท้ายคือ มีลักษณะอะไรบางอย่างที่น่าสนใจว่า 
เสนาบดีต่างประเทศของสยามได้แถลงถึงกรณี ร.ศ. 130 ว่า 
สาเหตุที่รัฐบาลจับกุมกลุ่มทหารไม่ใช่เพราะความคิดที่เรียกร้อง 
คอนสติติวชั่นเพราะรัชกาลที่ 6 มีน้ำพระทัยกว้าง 
และเข้าพระทัยเรื่องเดโมเครซี 
แต่ที่จับกุมเพราะทหารจะใช้วิธีรุนแรงและทำร้ายพระมหากษัตริย์
“การแถลงแบบนี้ทำให้เห็นว่าการใส่ร้ายป้ายสีมีมาแต่สมยนั้น” ผศ. 
สุธาชัยกล่าว และตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า 
 คือกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถบอกว่ารัชกาลที่ 6 นิยมระบบเดโมเครซี 
แต่สยามไม่พร้อม สรุปว่าเมื่อร.ศ. 130 ชนชั้นนำ ก็บอกว่าสยามไม่พร้อม 
ซึ่งก็ใช้เป็นข้ออ้างว่าประชาชนไม่พร้อมมาตลอด แต่แต่ 
2475เป็นต้นมาเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่ยืนยงคงคู่ประวัติศาสตร์ 80 
ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  
 
 
ทำไมยังกลับไปพูดเรื่องเดิม
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ. กล่าวว่า หลายประเทศเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเหตุการณ์นั้นก็จะจบไป มีเส้นแบ่งชัดเจน เช่น อินโดนีเซีย พม่า จีน สหรัฐฯ หลังปฏิวัติและตั้งรัฐบาลใหม่ จะไม่มีการกลับไปถามว่า ทำไมก่อนหน้านั้นจึงทำอย่างนั้น วิจารณ์ว่าไม่ได้เรื่อง หรือจะนำขึ้นศาล เพราะมันจบไปแล้ว มีเพียงประเทศไทยซึ่งอัศจรรย์มากที่โยงความคิดหลักโยงกลับไปต้นรัตนโกสินทร์ ได้
ความได้เปรียบของผู้นำสยาม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สมัย ร.3 ที่สยามเปิดประเทศแล้ว มีการค้า 
มีประเด็นเรื่องอาณาเขต 
แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาด้วยคือความคิดและเทคโนโลยีแบบใหม่ รวมๆ 
เรียกว่าภูมิปัญญาแบบใหม่ เข้ามาแล้ว และสังสรรค์กับความคิดเก่า ทั้งนี้ 
ถ้าเราชอบนิทานที่ว่า สยามไม่เคยเป็นอาณานิคม 
การไม่เป็นอาณานิคมนั้นก็ทำให้ภูมิปัญญา 
โลกทัศน์สยามเก่ากับความคิดสมัยใหม่ แลกเปลี่ยนถ่ายทอดกัน 
เปิดโอกาสให้ชนชั้นนำของสยามเลือกที่จะเชื่อได้ 
ธเนศ กล่าวว่า การรับแนวความคิดใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำสยามปฏิเสธ 
โดยเมื่อหมอบรัดเลย์เข้ามาขอเผยแพร่ศาสนาในวัดนั้น ร.4 
ไม่ได้ขับไล่หรือกีดกัน 
แต่ได้ขอว่าหลังพูดเรื่องไบเบิลแล้วให้สอนภาษาอังกฤษให้พระด้วย ทั้งนี้ 
ด้วยอิทธิพลจากโลกภายนอกนี้เอง ทำให้กลุ่มเจ้านาย ในปี ร.ศ.103 
เสนอให้เปลี่ยนระบอบการปกครอง โดยหากไม่เปลี่ยนรูปแบบการปกครอง 
สยามอาจกลายเป็นอาณานิคมได้ 
ขณะนั้น 
ชนชั้นนำก็ได้ปรับตัวและสร้างคำอธิบายใหม่เพื่อรองรับการปกครองของตัวเอง 
ขณะที่สามัญชนเสียเปรียบ เพราะไม่ได้ศึกษาจากตำรา เช่น เทียนวรรณ 
ที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง และถูกเบรคว่าไม่มีความรู้พอ โดยสมัยรัชกาลที่ 4 
และรัชกาลที่ 5 
ชนชั้นนำเห็นการเปลี่ยนแปลงที่อำนาจทางโลกกลายเป็นอำนาจนำแทนธรรมะ 
จึงมีการอธิบายการปกครองเป็นสิทธิขาดของกษัตริย์ ไม่ใช่เรื่องบารมี 
เป็นเรื่องหน้าที่และความเหมาะสม จนเมื่อรัชกาลที่ 6 
มีการเน้นเรื่องชาติสมมติ
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของฝ่ายเจ้าที่ทำให้กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น 
จนนำสู่ทางตัน ทำให้การเปลี่ยนการปกครองโดยสันติเป็นไปได้ยาก 
ทั้งที่หากอยู่ในสภาพสังคมเปิด แลกเปลี่ยนทางความคิด 
โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงจากภายในหรือรองรับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกจะทำได้ 
จึงเกิดคณะ ร.ศ.130 และคณะราษฎรขึ้น
ธเนศ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังถูกจับกุม คณะร.ศ.130 
ถูกเรียกว่าผู้ก่อการกำเริบ ไม่ใช่กบฏ 
โดยเหตุผลที่ฝ่ายเจ้าไม่เรียกว่าเป็นกบฏ 
เพราะไม่ต้องการยกฐานะให้มีบทบาทเทียบกับชนชั้นนำ 
นั่นคือยังเอาคติเก่ามาใช้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเมืองเป็นของกษัตริย์ 
ราษฎรเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงฐานะความชอบธรรมของกษัตริย์เท่านั้น 
และเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้ปมเงื่อนไม่คลี่คลายมากขึ้น 
ทำให้ต่อมาเกิดคณะราษฎรขึ้น 
ธเนศ สรุปว่า ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยใหม่ 
หนีไม่พ้นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ความคิด 
ซึ่งโลกทัศน์ของการเมืองแบบเก่าไม่มีความคิดของราษฎรของประชาชน 
เมื่อพูดไม่ได้ ก็ต่อรองไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ 
ทางออกของคนที่เริ่มตื่นตัวทางการเมืองจึงต้องกบฏทั้งนั้น
หมายเหตุ
1.รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสวนา 
อภิปราย “100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ. 130” ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ-สุธาชัย 
ยิ้มประเสริฐ- ณัฐพล ใจจริง-เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์-ฉลอง สุนทราวาณิชย์ 
จัดโดยหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ 
มูลนิธิโครงกาตำราสังคมศาสตร์ฯ และสมาคมจดหมายเหตุสยาม
2.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำ ราชภัฏสวนสุนันทา พูดเรื่องแนวคิดของคณะร.ศ.130 สามารถติดตามเนื้อหาการอภิปรายได้ที่ ณัฐพล ใจจริง: แนวคิดและอุดมการณ์ของขบวนการ ร.ศ.130
2.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำ ราชภัฏสวนสุนันทา พูดเรื่องแนวคิดของคณะร.ศ.130 สามารถติดตามเนื้อหาการอภิปรายได้ที่ ณัฐพล ใจจริง: แนวคิดและอุดมการณ์ของขบวนการ ร.ศ.130
3.ภาพโดย เสกสรร โรจนเมธากุล
 
