“ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์
ปฐมฤกษ์ของรัฐ ธรรมนูญของไทย
เริ่มระบอบแบบอา -รยประชาธิปไตย
เพื่อราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี
สำราญสำเริง บันเทิงเต็มที่
เพราะชาติเรามี เอกราชสมบูรณ์”
บทเพลง ๒๔ มิถุนายนนี้ สะท้อนถึงความสำคัญของเหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน 
พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย 
เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ โดยคณะราษฎร ที่นำโดย 
พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา 
ได้ทำการยึดอำนาจดำเนินการให้ก่อเกิดรัฐธรรมนูญมาเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาว
ไทย และนำมาสู่คำขวัญที่ว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ รัฐธรรมนูญ” 
และอันที่จริงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ยังมีฐานะเป็นวันชาติของไทยอีกด้วย 
ดังนั้น ปี พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ ๘๐ ปี แห่งกรณี ๒๔ มิถุนา 
จึงต้องถือเป็นปีมหามงคลสมัยของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
การปฏิวัติในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ 
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น 
การยอมรับอำนาจทางการเมืองของราษฎรสามัญว่า 
สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศได้โดยผ่านการเลือกตั้ง 
ให้ชาวไทยได้มีสิทธิเสรีภาพ และมีความเสมอภาคกันภายใต้กฏหมาย 
ไม่ใช่เจ้าอยู่สูงกว่าราษฎร ต่อมาก็คือ การใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด 
อันนำมาซึ่งการปกครองโดยกฎหมาย 
แทนที่การปกครองด้วยพระบรมราชโองการในแบบเดิม 
การใช้หลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสาม 
และการบริหารด้วยคณะรัฐมนตรีตามกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ 
ที่สำคัญคือการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 
ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดของการบริหารที่อำนาจอยู่ในมือของคนเดียว 
บริหารประเทศแบบไม่มีกรอบเวลา
คงต้องย้อนไปอธิบายให้ชัดเจนว่า การปฏิวัติ ๒๔๗๕ 
เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตอย่างรอบด้าน เพราะตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๒ 
เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก 
และนำมาซึ่งการตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย 
รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 
กรณีนี้กลายเป็นปัญหาของระบอบการปกครอง เพราะถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบปัจจุบัน
 ถ้ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหา 
ประชาชนยังมีโอกาสในการเปลี่ยนรัฐบาลโดยผ่านกลไกรัฐสภา 
หรือผ่านการเลือกตั้ง แต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โอกาสเช่นนั้นไม่มี 
ปัญหาของระบอบก็คือ ความผิดพลาดในการบริหารของรัฐบาล 
กลายเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้าอยู่หัวด้วย ดังนั้น 
จึงมีการอธิบายกันด้วยซ้ำว่า 
การปฏิวัติของคณะราษฎรเป็นการผ่อนเบาพระราชภาระ 
และเป็นการรักษาเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ 
และการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯพระราชทานอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนมาแล้ว
นั้น เป็นการมอบในเชิงสถาบัน จึงไม่สามารถรับคืนได้ 
ความความพยายามในการถวายคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ที่กระทำกัน 
จึงเป็นการหมิ่นพระเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้น วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ 
จึงถือเป็นวันสำคัญที่มีความหมายแก่ประวัติศาสตร์ประชาชนไทย 
และวันนี้ยิ่งสำคัญมากขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ รัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม 
ประกาศให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นวันชาติของประเทศไทย โดยครั้งแรกเรียกว่า 
“วันชาติและวันฉลองสนธิสัญญา” เพราะปี พ.ศ.๒๔๘๒ 
จะเป็นครั้งแรกที่ประเทศได้เอกราชสมบูรณ์ 
หลังจากที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาเสียเปรียบมาตั้งแต่สัญญาบาวริง 
พ.ศ.๒๓๙๘
จากนั้น ประเทศไทยก็มีการเฉลิมฉลองวันชาติเรื่อยมา จนกระทั่ง 
รัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยกเลิกวันที่ ๒๔ 
มิถุนายนเป็นวันชาติ และให้ใช้วันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันชาติแทน 
เรียกในปฏิทินว่า “วันชาติและวันเฉลิมพระชนม์พรรษา” แต่ปรากฏว่า วันที่ ๕ 
ธันวาคมนั้นเป็นวันสำคัญที่อุ้มเอาความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์ 
และต่อมาก็ได้มีการรณรงค์ให้เป็นวันพ่อของแผ่นดิน 
ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์จึงกลบลบความสำคัญของวันชาติไป 
และในปฏิทินทั่วไปก็เลิกเรียกวันชาติไปนานแล้ว 
ทำให้สังคมไทยในระยะหลังไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของวันชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่หลัง พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา 
เกิดการแพร่หลายของวาทกรรมฝ่ายนิยมเจ้า ที่อธิบายว่า การปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ 
เป็นการชิงสุกก่อนห่าม 
เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯก็จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว 
บ้างก็อธิบายว่า การปฏิวัติเป็นเรื่องของคนจำนวนน้อย 
ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย 
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการโยงประชาธิปไตยเข้ากับการพระราชทานของรัชกาลที่ ๗ 
แล้วโยงคณะราษฎรเข้ากับการรัฐประหารของทหาร 
จึงกลายเป็นว่าคณะราษฎรเป็นตัวการในการทำลายประชาธิปไตย 
ทำให้เกิดการรัฐประหารไม่จบสิ้น
คำอธิบายเหล่านี้ 
ล้วนเป็นวาทกรรมต้านประชาธิปไตยและพยายามทำลายคุณค่าและความหมายของการ
ปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ และเป็นการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า 
โครงร่างธรรมนูญที่รัชกาลที่ ๗ เตรียมพระราชทาน ก็เป็นธรรมนูญกษัตริย์นิยม 
ยังให้อำนาจตสูงสุดที่พระมหากษัตริย์ ไม่มีการประกันเรื่องสิทธิ 
และความเสมอภาคของราษฎร และยังมองข้ามหลักฐานข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๔
 มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ประชาชนชาวเมือง ชนชั้นกลาง พ่อค้า ครู ทนายความ 
และผู้มีการศึกษา แสดงการตอบสนองต่อการปฏิวัติในเชิงบวก 
ประชาชนต่างก็ร้องไชโย โห่ร้องแสดงความยินดีต้อนรับการปฏิวัติ 
และเมื่อกระแสการปฏิวัติแพร่ไปยังหัวเมือง พ่อค้า ข้าราชการ ครู 
และชาวเมืองในหัวเมืองก็ตอบรับการปฏิวัติในเชิงแสดงความยินดีเช่นกัน 
ระบอบใหม่จึงเป็นที่ต้อนรับอย่างกว้างขวาง 
สำหรับประชาชนระดับล่างในสมัยนั้น อาจไม่มีปฏิสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลง 
เพราะการขยายบทบาทของชนชั้นล่างจะเป็นส่วนหนึ่งของกระแส ๑๔ ตุลาคม 
ซึ่งมาทีหลัง แต่ก็มิได้หมายความว่า ชนชั้นล่างของสยามในขณะนั้น 
จะนิยมชมชื่นระบอบเก่า ส่วนการรัฐประหารที่เกิดขึ้นจำนวนมากนั้น 
ส่วนมากเป็นการสนับสนุนของฝ่ายนิยมเจ้า การรัฐประหารเหล่านี้ 
จึงโยงกับรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐ เสียยิ่งกว่า
เป็นที่น่าสังเกตว่า 
เจตนารมย์ประชาธิปไตยของคณะราษฎรซึ่งเคยลดกระแสลงในระยะก่อนหน้านี้ 
กลับขึ้นสู่กระแสสูงมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ 
ซึ่งระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาที่พัฒนาอย่างมาก กลับประสบความชะงักงัน 
กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำด้วยแนวคิดนิยมเจ้าสุดขั้ว 
ได้เข้าควบคุมการเมืองไทย 
และใช้กลไกศาลเข้าทำลายหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย 
พร้อมทั้งใช้ขบวนการมวลชนฝ่ายขวามาเสนอหลักการบิดเบือนประชาธิปไตย 
ขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องรณรงค์ให้มีการรื้อฟื้น
หลักการประชาธิปไตยของคณะราษฎร จึงมีการเคลื่อนไหวจัดงานเฉลิมฉลอง ๒๔ 
มิถุนายนกันทุกปี ในเงื่อนไขที่เป็นไปได้ และโดยเฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ 
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ 
นปช.จะเป็นแกนกลางในการจัดงานเฉลิมฉลอง ๘๐ ปีประชาธิปไตยเสียเอง 
และตามมหาวิทยาลัย ก็ได้มีการจัดงานวิชาการเฉลิมฉลอง ๘๐ ประชาธิปไตย 
จึงทำให้ ๒๔ มิถุนายน ปีนี้มีบรรยากาศที่คึกคักเป็นพิเศษ
คงต้องอธิบายด้วยว่า 
เจตนารมย์หนึ่งของคณะราษฎรในการสร้างระบอบการเมืองแบบใหม่หลัง พ.ศ.๒๔๗๕ 
แม้ว่าจะมีการแบ่งแยกอำนาจ เป็น นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ 
แต่ถือกันว่า รัฐสภามีอำนาจสูงสุด 
เพราะเป็นสถาบันอันมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 
รัฐสภาจึงเป็นตัวแทนอันชอบธรรมของประเทศ และศาลซึ่งไม่ได้ยึดโยงต่อประชาชน 
ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐสภา หลักการนี้จงจะต้องมีการรื้อฟื้นด้วย 
เพราะควบคุมอำนาจอยุติธรรมของศาล 
และจัดการที่ศาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนเกินเลย 
นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณากันต่อไป
ในที่นี่อยากเสนอว่า เมื่อจะเฉลิมฉลองกันแล้ว ควรที่จะเรียกร้อง ๒๔ 
มิถุนายน ในฐานะของวันชาติกลับคืนมา เราต้องถือกันว่า การทำลายวันชาติ ๒๔ 
มิถุนายนนั้น เป็นดอกผลของเผด็จการ ถ้ารื้อฟื้น ๒๔ มิถุนายนได้ 
ประเทศไทยก็จะได้มีวันชาติเช่นเดียวกับประเทศอื่นเสียที
“ไทยจะต้องเป็นไทย ด้วยร่วมใจเทอดไทย ชโย”
 
