กองทัพ
ต้องยุติบทบาททางการเมือง,ต้องดำเนินคดีแก่คนที่สั่งฆ่าประชาชน,ผลักดันรวม
ตัวและการเจรจาต่อรองของคนงาน ความยุติธรรมต้องเสมอกัน,หยุดใช้ ม. 112 
ปล่อยนักโทษการเมืองและให้เสรีภาพในทางวิชาการและให้การศึกษาอย่างเต็มที่
แก่ราษฎร 

และหลังจากนั้น ได้มีการอ่านหลัก 6 ประการใหม่ของคณาราษฎรที่ 2 ที่มีการปรับเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน ดังนี้
| 
หลักประการที่ ๑ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร   : หลักเอกราช 
เอกราช หมายถึง ความเป็นอิสระแก่ตน ไม่ขึ้นต่อผู้อื่น 
ในการอภิวัฒน์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ 
คณะราษฎรได้ประกาศหลักประการแรกในการปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตยว่า  
 “จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย   เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล 
ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง” 
 เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น   
ความเป็นเอกราชที่คณะราษฎรมุ่งหวังจะรักษาคงจะหมายถึงการที่ประเทศสยามต้อง
ไม่เป็นเมืองขึ้นต่อประเทศอื่นใด   เช่น ไม่สูญเสียดินแดนของประเทศ 
ไม่เป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของประเทศอื่น   ไม่เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต 
เป็นต้น   เนื่องจากสยามนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางดินแดนของจักรวรรดิต่างๆ   
ประกอบกับในเวลานั้นได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ไปทั่วโลก   
และรัฐบาลกษัตริย์ที่เคยใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยก็ไม่สามารถแก้ปัญหา
เศรษฐกิจได้   
ทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงที่ล้มละลายและอาจตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติได้   
ซึ่งหากสยามตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น   
การบริหารประเทศก็ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาตินั้น 
ไม่อาจทำเพื่อประโยชน์ของราษฎรสยามได้เลย มาถึงวันนี้ ๘๐ ปีผ่านไป สถานการณ์โลกดำเนินไปสู่การแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี มีกฎกติกาสากลที่จะคอยป้องกันมิให้ประเทศใดรุกรานประเทศอื่น อีกทั้งประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจที่มั่นคง ยังมีทุนสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก มิได้ประสบปัญหาถึงขนาดที่จะเอาตัวไม่รอด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นหลักประกันในความเป็นเอกราชของประเทศไทย แต่ในขณะที่ประเทศเป็นเอกราชนั้น ยังมีสิ่งซึ่งเป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยที่ตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมาถูกแทรกแซงอยู่เสมอ ไม่ได้มีเอกราชไปด้วย นั่นคือองค์กรที่มีหน้าที่ใช้อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตย และองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ เปรียบเสมือนผลไม้ที่เปลือกนอกสวยงามแต่มีเนื้อในที่เน่าเฟะ ระบอบประชาธิปไตยได้กำหนดอำนาจอธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งการใช้อำนาจเป็นสามส่วน ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจ อำนาจบริหารมีรัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจ และอำนาจตุลาการมีศาลเป็นผู้ใช้อำนาจ อำนาจทั้งสามนี้จะทำหน้าที่ของตัวเองและคอยถ่วงดุลมิให้อำนาจอื่นมีมากเกิน ไปตามที่กฎหมายกำหนด และเนื่องจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่อำนาจเป็นของราษฎร อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้เพื่อประโยชน์ของราษฏร แต่ในความเป็นจริงกลับมีการแทรกแซงและขัดขวางมิให้เป็นไปตามนั้น การแทรกแซงนี้เกิดโดยการที่กลุ่มคนที่คิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และต้องการมีอำนาจในสังคม เช่น ทหาร นายทุนนักธุรกิจ หรือผู้มีสถานะทางสังคมสูงส่ง เป็นต้น ได้บงการบุคลากรขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย และองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ให้ใช้อำนาจสนองความต้องการของพวกตน และบุคลากรผู้ไม่มีใจเป็นประชาธิปไตยก็ได้ศิโรราบยอมเป็นเครื่องมือของอำนาจ นอกระบบเหล่านั้น มีทั้งการดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่อำนาจนอกระบบ การไม่เข้าร่วมประชุมสภา หรือการถ่วงดุลการใช้อำนาจอื่นอย่างเกินขอบเขตที่จะกระทำได้ มีการอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายและการตีความกฎหมายเข้าข้างตนเองเพื่อสร้างความ ชอบธรรมแก่การกระทำเหล่านั้น นอกจากนี้อำนาจนอกระบบยังใช้วิธีการที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาขัดขวางการ ใช้อำนาจอธิปไตย เช่น การรัฐประหาร การชุมนุมประท้วงโดยผิดกฎหมายเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรผู้ใช้ อำนาจอธิปไตย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้อำนาจอธิปไตยขาดเอกราช ต้องไปรับใช้อำนาจนอกระบบ ไม่อาจสร้างประโยชน์สุขแก่ราษฏรได้ ด้วยเหตุนี้ คณะราษฎรที่สอง ต่อต้านอำนาจนอกระบบ จึงมีข้อเรียกร้องเพื่อให้เกิดเอกราชดังนี้ 
๑.         
บุคลากรขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ   
จักต้องหยุดทำตัวเป็นขี้ข้ารับใช้อำนาจนอกระบบ   
และใช้อำนาจของท่านโดยยึดหลักประชาธิปไตย 
ท่านเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ   ไม่มีอำนาจใดที่เหนือไปกว่านี้ 
๒.        
กต้องปลูกฝังค่านิยมในการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตยเป็นวิธีการ
ปกครองและแก้ไขปัญหาต่างๆ   ของประเทศ   
และกำจัดค่านิยมในการใช้วิธีการอื่นหรือการขัดขวางการใช้อำนาจอธิปไตยทุกรูป
แบบ 
๓.        กองทัพจักต้องยุติบทบาททางการเมือง เนื่องจากตลอด ๘๐ 
ปีที่ผ่านมา   
กองทัพเป็นเครื่องมือที่สำคัญของอำนาจนอกระบบในการทำลายความเป็นเอกราชของ
อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตย 
๔.        การถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจอธิปไตยจักต้องไม่มากเกินส่วนที่กฎหมายกำหนด   โดยการตีความกฎหมายต้องเป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง 
๕.        
สื่อจักต้องนำเสนอข่าวการกระทำที่เป็นการทำให้เอกราชของอำนาจอธิปไตยและ
องค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องเสื่อมเสียไป   โดยให้ข้อมูลละเอียดครบถ้วน 
และแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำเหล่านั้น 
ราษฎรทั้งหลายจงร่วมกันรักษาเอกราชของอำนาจอธิปไตยแห่งระบอบ
ประชาธิปไตย   
เพื่อให้เป็นอำนาจที่บริสุทธิ์ที่มุ่งใช้เพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎรเอง   
ให้ประเทศไทยได้มีเอกราชอย่างแท้จริง | 
| 
หลักประการที่ ๒ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร :   หลักความปลอดภัย 
“จงพึงระลึกไว้ว่าประเทศนี้เป็นของราษฎร   ไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างที่หลอกลวงกัน” 
เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์   ความยุติธรรมและประชาธิปไตย 
คือหลักความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเมืองชาวสยาม 
ราษฎรทั้งหลาย คนเรานั้นเกิดมาใยแตกต่างกัน?   
ทำไมคนเราถึงได้รับความคุ้มครองความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน?   
ทั้งๆที่คนเรานั้นเป็นมนุษย์เหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นชาติเดียวกัน   
อาจแตกต่างกันบ้างในด้านความร่ำรวย หรือชื่อเสียงเกียรติยศ   
แต่นั่นทำให้เขาได้รับความปลอดภัยแตกต่างกันหรือ? ราษฎรทั้งหลาย เราต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ อุดมการณ์ที่เราหวังว่าสักวันหนึ่งชีวิตของเราจะดีขึ้น ผิดหรือที่เราต้องการประชาธิปไตย ผิดหรือที่เราเกิดมาเป็นคนไทย และเราเป็นกบฎหรือที่เราเรียกร้องในสิ่งที่เราควรได้ เราทำสิ่งต่างๆเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เจริญงอกงาม แต่คนบางกลุ่มซึ่งได้รับผลต่างๆจากสิ่งที่เราทำ ทั้งๆที่เราทำประโยชน์ต่อพวกเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับฆ่าพวกเรา ฆ่าพวกเราดั่งผักปลา พวกเขาคือทรราชย์ของแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐต้องให้ความคุ้มครองต่อราษฎร แต่เขาเหล่านั้นกลับมองมาและฆ่าพวกเราดั่งไม่ใช่คนชาติเดียวกัน ราษฎรทั้งหลาย พี่น้องเรานั้นต่อสู้เพื่ออนาคตของประเทศที่จะเบ่งบานในวันข้างหน้า เราเรียกร้องสิทธิของเราที่ควรจะได้รับความความคุ้มครองมาตั้งแต่กำเนิด สิทธิที่ว่านั้นคือ สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองความปลอดภัย ความปลอดภัยที่ไม่ใช่ลูกปืน ไม่มีประเทศใดที่ผู้มีอำนาจจะสั่งฆ่าประชาชนแล้วยังดำรงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ เป็นเวลานานเช่นนี้ แม้กระทั่งพระเจ้าซาร์รัสเซียเองที่สั่งฆ่าประชาชนก็มิอาจจะดำรงอยู่ในอำนาจ ได้ แต่เพราะเหตุใดเล่า บุคคลที่สั่งฆ่าประชาชนทั้งในเหตุการณ์ 14 ตุลา 6ตุลา หรือเมษาเลือด ถึงยังดำรงอยู่ในอำนาจได้ 
  คณะราษฎรที่ 2   ไม่ได้มาที่นี่เพื่อแย่งอำนาจจากผู้ใด คณะราษฎรที่ 2
 มาที่นี้เพื่อเรียกร้อง   เรียกร้องความปลอดภัย 
ความปลอดภัยที่ราษฎรจักต้องได้   
ไม่ใช่คำหลอกลวงและการโฆษณาว่าราษฎรจักได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย   
จักได้รับการดูแลให้ชีวิตดีขึ้น   
แต่ชีวิตของราษฎรจะได้รับความปลอดภัยไม่ได้หากยังมีอำนาจนอกระบบที่คอยสั่ง
ฆ่าประชาชน 
   คณะราษฎรที่ 2 จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล   ดังนี้ 
1.                          ปกป้องประเทศโดยการปกป้องชีวิต   อิสรภาพและรัฐธรรมนูญของพลเมืองทุกท่าน ให้ปลอดภัย 
2.                          
ต้องมีหลักประกันที่ทำให้พลเมืองทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีและเป็นธรรมทุก
ด้าน   ไม่มีอภิสิทธิ์ให้กับคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มคนใดโดยเฉพาะ   
ไม่ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีฐานะชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมมากมายเพียงใด 
ไม่เว้นแม้แต่พวกเจ้าและโครงข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 
3.                          ต้องเคารพหลักการสากลที่ส่งเสริมนิติรัฐ 
  ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง   
ซึ่งนานาอารยประเทศยึดถือปฏิบัติทุกข้อ 
4.                          
จะต้องสร้างความเป็นธรรมแก่ราษฎรที่สูญเสียต่อการกระทำของผู้มีอำนาจนอกระบบ
ที่สั่งฆ่าประชาชน   
เพราะรัฐบาลไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนเท่าที่ควร 
5.                          
จักต้องมีการดำเนินคดีแก่คนที่สั่งฆ่าประชาชนตลอดจนทำลายอำนาจนอกระบบที่
เป็นสาเหตุของการที่ประชาชนไม่ได้รับความปลอดภัย 
ขอให้รัฐบาลรู้เถิดว่า   ท่านจงอย่ากลัว 
อย่ากลัวที่จะอยู่เคียงข้างประชาชน   อย่ากลัวที่จะทำลายอำนาจนอกระบบ 
เพราะประชาชนอยู่เคียงข้างท่านแล้ว   
แต่หากท่านหาได้ดำเนินการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ประชาชนผู้ที่ได้รับ
ความอยุติธรรมแล้วไซร้   รัฐบาลก็หามีความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ต่อไปไม่ | 
| 
หลักประการที่ ๓ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร   : หลักเศรษฐกิจ 
ราษฏรทั้งหลาย เมื่อรัฐบาลชุดนี้ได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลในสภา ราษฎรบางคนได้มีความหวังว่านโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ที่ได้ให้คำมั่นเอาไว้ก่อนเลือกตั้งจะช่วยให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ ราคาสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ ข้าวของราคาแพง ค่าแรงยังคงน้อย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ รัฐบาลอันมาจากการเลือกตั้งของราษฎรยังคงไม่ฟังเสียงของราษฎร แต่กลับยกพวกพ่อค้าวานิช นายทุนผู้มีอันจะกินให้มีสิทธิ์พิเศษมากกว่าราษฎร ปล่อยให้เกษตรกร และแรงงานถูกกดขี่ข่มเหงตามยถากรรม 
การที่แก้ไขไม่ได้   
ก็เพราะนโยบายเศรษฐกิจทั้งปวงนั้นมิได้เป็นไปเพื่อราษฎรแต่เป็นไปเพื่ออุ้ม
ชูเหล่าคหบดีนายจ้าง   และเพื่อประโยชน์แห่งชนชั้นนำผู้ถือหุ้น    
เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับปล่อยให้นายทุนทำนาบนหลังราษฎร 
จะเห็นได้ว่าน้ำมันซึ่งสมควรจะเป็นสมบัติสาธารณะอันราษฎรพึงมีสิทธิ์ที่จะ
ได้ใช้ในราคาถูกอีกทั้งยังเป็นต้นทุนของสินค้าทั้งปวงกลับถูกผูกขาดจนน้ำมัน
มีราคาแพงเกินจริง   
ทั้งบรรษัทที่กุมท่อส่งและโรงกลั่นก็ยังไปเข้ากับเชฟรอนอันเป็นบรรษัทต่าง
ชาติเสีย   
ไม่มีชนชาติใดที่ผลิตน้ำมันเองได้กว่ากึ่งหนึ่งจะต้องทนใช้น้ำมันราคาแพง
ฉะนี้   นอกจากอาร์เจนตินา   
ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้ผ่านร่างกฎหมายยึดคืนบรรษัทน้ำมันจากบรรษัทต่างชาติเสีย
แล้ว 
รัฐบาลให้คำมั่นอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า   
หลอกว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอย ๆ 
ก็เหลวไป   หาได้เป็นจริงดังคำสัญญาไม่    เมื่อปรับขึ้นค่าแรงนำร่องใน 7 
จังหวัดก็ปรากฎให้เป็นที่ประจักษ์ว่าสินค้าต่างพากันขึ้นราคาแพง   
เพราะต้นทุนสูงขึ้น แต่ผลิตได้เท่าเดิม ทั้งนี้มิใช่เพราะราษฎรนั้นโง่   
หรือเกียจคร้าน หากขาดโอกาส 
และรัฐบาลทุกสมัยก็หาได้มีเจตนาพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างจริงใจไม่  
เมื่อแรงงานด้อยทักษะฉะนี้แล้ว ค่าแรง 300   
บาททั่วประเทศจึงเป็นเรื่องอันฟุ้งฝัน 
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของคหบดีนายทุน   
ไม่ใช่ของราษฎรตามที่เขาหลอกลวง    
คณะราษฎรที่หนึ่งอันเป็นคณะราษฎรของแท้นั่นแหละ 
ได้ตั้งมั่นว่า “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ   
โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ   
ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”    สุดท้ายมีแต่พวกเจ้าที่ชุบมือเปิบ 
คอยอุปถัมภ์ค้ำจุนนายทุน   
ถือหุ้นบรรษัทใหญ่กวาดเอาทรัพย์สินเอาไว้หลายแสนล้านบาท  
หุ้นเหล่านี้ได้มาจากไหน   ก็ล้วนมาจากผลพวงของการอภิวัฒน์สยาม พุทธศักราช 
2475 ทั้งสิ้น     คณะราษฎรมุ่งหวังจะไม่ให้ราษฎรต้องอดอยาก ผ่านไปแล้ว 80 
ปีแรงงานสยามยังคงตกอยู่ใต้เงื้อมมือของนายทุนใต้เงาเจ้า  
รัฐบาลรีรอไม่ลงนามรับรองอนุสัญญา ILO   87/98 
ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศที่จะคุ้มครองส่งเสริมการรวมตัวกันเป็นสหภาพ
และสร้างอำนาจต่อรองให้กับราษฎร   ก็เพราะเกรงจะขัดแข้งขาคหบดีนายทุน    
แทนที่จะยึดเอาประโยชน์แห่งราษฎรเป็นที่ตั้ง   
รัฐบาลกลับฟังแต่เสียงของคหบดีนายทุนเรื่อยมา 
เหตุฉะนั้น ราษฎร   
นิสิตและนักศึกษาที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายดังกล่าวแล้ว   
จึ่งรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรที่สองขึ้น คณะราษฎรที่สองเห็นว่า   
การที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ ก็โดยที่จะต้องยุติการผูกขาดธุรกิจพลังงาน  
 คืนสมบัติธรรมชาติแก่ราษฎร  
เร่งฝึกอาชีพพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างจริงจังเพื่อให้นโยบายค่าแรง   300   
ทั่วประเทศสัมฤทธิ์ผลในเร็ววัน   โดยจะต้องมิใช่เพื่อประโยชน์แก่นายจ้าง   
แต่ต้องมุ่งเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นสำคัญ    ลงนามในอนุสัญญา ILO87/98 
เพื่อผลักดันให้แรงงานมีสหภาพที่เข้มแข็งและสามารถต่อร่องกับคหบดีนายทุนได้
อย่างทัดเทียม   
ขยายความคุ้มครองของประกันสังคมมิให้จำกัดแต่ในเพียงแรงงานในระบบแต่จะต้อง
คุ้มครองราษฎรที่ประกอบกิจการร้านค้า   ขับขี่ยวดยานรับจ้าง 
แลกรรมกรทั้งหลายให้มีหลักประกันอันมั่นคงไม่ต่างกัน    
อีกทั้งจะต้องเข้มงวดกวดขันมาตรการรับจำนำข้าวให้โปร่งใสไร้การคอรัปชั่น
เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างเต็มกำลัง 
ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรที่สองให้ทำกิจอันจะคงอยู่อย่าง
สถิตสมบูรณ์สถาพร   เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม 
เพื่อความบริบูรณ์ของปากท้องของพี่น้องเกษตรกร   แรงงาน 
ให้ราษฎรผู้กรำงานหนักตลอดชีวิตได้รับผลตอบแทนที่พึงได้เอง   
มิใช่เป็นข้าทาสผู้ทำงานรับใช้คหบดีนายทุนผู้อาศัยร่มบารมีเจ้าทำนาบนหลัง
ราษฎร   อันจะสืบสานเจตนารมณ์แห่งคณะราษฎรที่ได้เคยประกาศไว้ ณ   
ที่แห่งนี้ให้วิวัฒน์พัฒนา 
เพื่อความสุขประเสริฐจะได้บังเกิดแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า | 
| 
หลักประการที่ ๔ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร   :   หลักเสมอภาค 
เพราะเป็นที่ประจักษ์แจ้งและเป็นความจริงแท้ว่ามนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน 
 ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นนาย   และไม่มีมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อเป็นทาส 
 ในแผ่นดินนี้มีเพียงมนุษย์ที่ยืนอยู่บนผืนธรณีเดียวกัน   
ไม่มีอำนาจจากสรวงสรรค์ที่จะรังสรรค์ชอบความธรรมแห่งการกดขี่ด้วยชั้นชน    
มีเพียงคุณค่าแห่งความเป็นคนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์คือที่สุดแห่ง
อำนาจและความชอบธรรมทั้งปวง     
และเพราะความสำเร็จแห่งการอภิวัฒน์โดยคณะราษฎรชุดก่อนนั้นเอง  
 ที่ได้ทำลายการปกครองอันกดขี่   
ไม่ชอบธรรมและได้สถาปนารัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อมอบสิทธิและความ
เสมอภาคให้ทั่วถึงกันแก่ราษฎรทั้งหลาย 
อันเป็นที่มาแห่งหลักประการที่   ๔ ของเราคณะราษฎรที่ ๒ ว่าจะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอกัน 
สิทธินั้นคืออะไร  เรื่องนี้เราอาจตอบได้ว่า   สิทธิ คือ   
อำนาจหรือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและบังคับบัญชาให้ราษฎรทั้งหลายพึงมีสิทธิ
และใช้สิทธิได้โดยชอบ 
แต่สำหรับความเสมอภาคนั้นคืออะไร ?  ต่อคำถามนี้  
จะมีอะไรดีกว่าการถามราษฎรทั้งหลายก่อนว่าพวกเขามาอยู่รวมกันเป็นรัฐเพื่อ
อะไร   ถ้ามิใช่เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดี  
และต้องเป็นที่แน่นอนว่าชีวิตที่ดีและอุดมสมบูรณ์พูนสุขนั้นจะต้องไม่ตกเป็น
ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหมู่คณะใดหมู่คณะหนึ่งโดยอาศัยความทุกข์ยากตรากตรำ
ของราษฎรส่วนใหญ่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของบุคคลเหล่า
นั้น      เช่น  
ผู้ที่ปลูกข้าวทำนาพวกเขาก็ย่อมมีสิทธิในข้าวนานั้นยิ่งกว่าผู้ที่มิได้ออก
แรงไถหว่าน    หลักการนี้ก็เป็นหลักการของความยุติธรรมนี่เอง  
เพราะผู้ที่มิได้ออกแรงหว่านไถ   
ไฉนเลยเล่าจะมีสิทธิในนาข้าวที่ผู้อื่นปลูกได้   
โดยนัยนี้เองความเสมอภาคจึงเป็นฐานรากและเสาหลักแห่งความยุติธรรมทั้งปวงใน
หมู่ราษฎร    
หรืออาจกล่าวได้ว่าความเสมอภาคมิได้หมายถึงการที่ราษฎรทุกคนมีสิทธิเท่ากัน 
   
แต่หมายถึงราษฎรทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ความเสมอภาคนี้
ยังเป็นองค์ประกอบแห่งความสมบูรณ์ของหลักประการอื่นๆทั้งก่อนนี้และที่จะ
กล่าวถึงหลังจากนี้  
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความปลอดภัยที่มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่
ได้รับ   ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงและอาชญากรรม   
 ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าความปลอดภัย 
ความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจที่มีเพียงคนบางกลุ่มได้ประโยชน์  
ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่ล้วนอดอยากโดยเฉพาะเมื่อมันเกิดจากการทำนาบนหลังคน   
ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าความสุขสมบูรณ์ 
และเป็นที่แน่นอนว่าเสรีภาพที่มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิใช้ได้    ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสรีภาพ 
ดังนั้นเราคณะราษฎรที่   ๒ 
จักขอเรียกร้องให้รัฐไทยส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคให้สมดังเจตนารมณ์ของคณะ
ราษฎรผู้ทำการอภิวัฒน์ในกาลก่อน    โดยมีข้อเรียกร้องที่สำคัญ คือ 
๑. ราษฎรทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมเสมอกันต่อหน้ากฎหมาย  
การบังคับใช้กฎหมายในข้อเท็จจริงที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน    
ต้องได้รับคำสั่งและคำพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน   
๒. 
รัฐต้องส่งเสริมและพัฒนากระบวนการที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการใช้อำนาจ
ต่างๆของรัฐเพื่อจักการบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมกัน   เป็นต้นว่า 
ประชาชนจักต้องได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน อาทิ   
สิทธิประกัน ประชาชนไม่ว่ายากดี 
มีจนจักต้องได้รับการส่งเสริมที่เท่าเทียมกัน   
มิใช่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน   
และรัฐจักต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เข้าถึงง่าย ราคาถูก และรวดเร็ว   
และนอกจากนี้ในบริการอื่นๆของรัฐที่สำคัญ   
รัฐต้องคำนึงถึงการเข้าถึงอย่างเสมอภาคของประชาชน ด้วย นอกเหนือจากคุณภาพ 
๓. 
รัฐต้องส่งเสริมให้ประชากรชายขอบของรัฐได้เข้าถึงอำนาจรัฐได้อย่างเท่าเทียม
   เพื่อให้เขามีความเสมอภาคที่แท้จริงทางการเมือง เป็นต้นว่า   
รัฐจักต้องให้สิทธิพลเมืองกล่าวคือ 
สัญชาติไทยแก่คนชายขอบของรัฐอย่างเสมอภาค   เช่น ชาวกระเหรี่ยง โรฮิงยา 
เป็นต้น หรือ รัฐจักต้องบรรจุภาษามลายูเป็นภาษาราชการที่สอง   
ในจังหวัดที่มีประชากรมุสลิมที่ใช้ภาษามลายู จำนวนมาก | 
| 
หลักประการที่ ๕ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร   :   หลักเสรีภาพ 
จะต้องให้ราษฎรมีความเป็นอิสระ  เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก   ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น 
มนุษย์เกิดมาเสรี  
มีเพียงเจตจำนงของเขาเท่านั้นที่จะกักขังเขาไว้ในพันธนาการแห่งความเป็นทาส 
   
แต่นั่นย่อมหมายความว่าเมื่อเขาได้พยายามกอบกู้เจตจำนงแห่งอิสระกลับคืนมา  
  เขาย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเองเท่านั้น 
  สิทธิที่จะมีเสรีภาพนี้เป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นคุณค่าอันสูงสุด
อันมิอาจจะล่วงละเมิด   
การใช้กำลังบังคับและคำหลอกลวงโป้ปดของผู้ปกครองให้เชื่อฟังต่อให้มีมากสัก
เพียงใด    ก็ไม่เคยเพียงพอที่จะพรากเสรีภาพไปจากเขาได้ 
หนึ่งในสิ่งที่คณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์เมื่อ ๒๔๗๕ 
ได้มอบไว้แก่ราษฎรชาวไทย   คืออำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ราษฎรทั้งหลาย 
ตื่นขึ้นมาจากความฝันเฟี่องแลโป้ปดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์   
ที่ผู้ปกครองล้วนบังอาจสถาปนาตนเป็นเจ้าชีวิตของราษฎรทั้งหลาย   
สามารถชี้เป็นตายได้เพียงอาศัยความพึงพอใจของตน   
 ให้ราษฎรทั้งหลายกลายเป็นผู้ทรงสิทธิอำนาจที่จะลุกขึ้นมากำหนดชะตาชีวิตของ
ตนเองได้  โดยมิตกอยู่ภายใต้อาณัติครอบงำอย่างเก่าก่อน    อำนาจนี้เรียกว่า
 เสรีภาพ    
เสรีภาพ เป็นอำนาจที่เกิดจากจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์  
เสรีภาพจึงมีคุณค่าอันสูงสุด   มิอาจถูกจำกัดได้โดยอำนาจใด  
มีเพียงกฎหมายที่มาจากผู้แทนปวงชนเท่านั้นที่จะจำกัดอำนาจแห่งเสรีภาพนี้ได้
    ในปัจจุบันเสรีภาพของราษฎรชาวไทยถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก  
  ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ   
เสรีภาพในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นซึ่งควรจะเป็นเหมือนลมหายใจของระบอบ
ประชาธิปไตยกำลังถูกลิดรอนและทำให้ตกอยู่ภายใต้อาณัติครอบงำแห่งความหวาด
กลัวโดยการใช้อำนาจรัฐ    ดังนั้นเพื่อกอบกู้เจตนารมณ์แห่งการอภิวัฒน์เมื่อ
 ๒๔๗๕ กลับคืนมา   คณะราษฎรที่ ๒ 
จึงมีข้อเรียกร้องตามหลักเสรีภาพและอิสรภาพ ดังนี้ 
๑.         
ทุกฝ่ายไม่ว่ารัฐหรือราษฎรจักต้องหยุดการใช้บังคับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ
ภาพหรือกฎหมายอาญามาตรา   ๑๑๒ เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง 
๒.        การตีความกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒  
ไม่ว่าจะโดยพนักงานอัยการหรือศาลต้องวางอยู่บนพื้นฐานของหลักเสรีภาพในการ
แสดงความคิดเห็นตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้    
และต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยมิใช่อุดมการณ์ราชาธิปไตย 
๓.        รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหลายให้ได้รับอิสรภาพ | 
| 
หลักประการที่ ๖ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร   :   หลักการศึกษา 
ราษฎรทั้งหลาย 
เมื่อรัฐมนตรีคนนี้ได้ดำรงตำแหน่งต่อจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคน
ก่อนนั้น   ในชั้นต้น ราษฎรบางคนได้หวังกันว่า การศึกษาไทยจะดีขึ้น   
แต่การก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ 
รัฐมนตรีคนใหม่กลับสนับสนุนการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ   
ปล่อยให้มีการเก็บค่าเทอมเหมาจ่าย   
ข้าราชการและสภามหาวิทยาลัยใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต   
เกิดเผด็จการในมหาวิทยาลัย 
ยกพวกราษฎรร่ำรวยขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎรอื่น   
กดขี่ข่มเหงราษฎรที่ยากจน เปิดโครงการพิเศษที่มีค่าเทอมแสนแพงขึ้นมากกมาย  
 ปล่อยให้การศึกษาเป็นไปตามยถากรรม   
ดั่งที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางวิชาการและความฝืดเคืองในการหางานทำ   
ซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว   
การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ 
การที่แก้ไขไม่ได้   
ก็เพราะม.นอกระบบและค่าเทอมเหมาจ่ายมิได้เพื่อราษฎร   
มหาวิทยาลัยได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่า ไพร่ บ้าง ข้า บ้าง)   
เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร   
กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ค่าเทอมที่บีบคั้นเอามาจากราษฎรนั้น
   ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้หักเอาไว้ใช้ส่วนตัวปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน   
ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น   
ถึงคราวเสียเงินราชการหรือค่าเทอม ถ้าไม่มีเงิน   
มหาวิทยาลัยก็ไม่ให้ลงทะเบียนเรียนหรือไม่ให้จบการศึกษา 
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร   
มีเป็นต้นว่า หลอกว่าจะบำรุงการศึกษาอย่างโน้นอย่างนี้   
หอพักใหม่จะเสร็จตอนนั้นตอนนี้ แต่ครั้นคอย ๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่  
 มิหนำซ้ำ กล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียค่าเทอมให้มหาวิทยาลัยว่า  
 ราษฎรยังไม่มีค่าเทอมก็ให้ไปกู้ยืมมาจ่าย 
คำพูดของมหาวิทยาลัยเช่นนี้ใช้ไม่ได้   ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงนั้น 
ไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่มีค่าเทอมราคาแพง   
ไม่ได้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา   
ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้ใครทำนาบนหลังคน 
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า   มหาวิทยาลัยนี้เป็นของราษฎร   
ไม่ใช่ของอธิการบดีหรือสภามหาวิทยาลัยตามที่เขาหลอกลวง   
บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้มหาวิทยาลัยมีอิสรภาพพ้นมือจากเผด็จ
การทหาร   พวกผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยมีแต่ชุบมือเปิบ   
และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? 
ก็เอามาจากค่าเทอมของราษฎร   เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง 
บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง   ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา 
เพราะทำไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง   รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด   
นักเรียนเรียนเสร็จแล้วและทหารปลดกองหนุนแล้วไม่มีงานทำ 
จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม   การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย 
เหตุฉะนั้น ราษฎร   ข้าราชการทหารและพลเรือน   
ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของมหาวิทยาลัยดังกล่าวแล้ว   
จึ่งรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรที่ ๒ ขึ้น   
และได้ยึดอำนาจของสภามหาวิทยาลัยไว้ได้แล้ว คณะราษฎรที่๒เห็นว่า   
การที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้   
ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีพรบ.มหาวิทยาลัยที่มาจากประชาชน   
จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลาย ๆ ความคิด ดีกว่าความคิดเดียว   
ส่วนผู้เป็นรัฐมนตรีของกระทรวงศึกษาธิการนั้น   
คณะราษฎรที่๒ไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงตำแหน่ง ฉะนั้น   
จึ่งได้ขอให้รัฐมนตรีคนนี้ดำรงตำแหน่งต่อไป   
แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายมหาวิทยาลัยฉบับประชาชน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้   
นอกจากด้วยการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและประชาชน 
คณะราษฎรที่๒ได้แจ้งความประสงค์นี้ให้รัฐมนตรีทราบแล้ว   
เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ารัฐมนตรีตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกำหนด   
โดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ   
และก็เป็นการจำเป็นที่มหาวิทยาลัยจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย 
กล่าวคือ   พรบ.มหาวิทยาลัยต้องมาจากประชาชน ตามวิธีนี้ 
ราษฎรพึงหวังเถิดว่า   ราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ 
คนจะมีที่เรียน เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้ว-ตามสภาพ   
เมื่อเราได้ยึดเงินเดือนที่พวกผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยรวบรวมไว้จากการทำ
นาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงมหาวิทยาลัยขึ้นแล้ว   
การศึกษาจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น   
การพัฒนาการศึกษาซึ่งคณะราษฎรที่๒จะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการ   
อาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เป็นหลักใหญ่ ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ 
มีอยู่ว่า 
๑.   จะต้องรักษาเสรีภาพทั้งหลาย   เช่น เสรีภาพในทางวิชาการ ของมหาวิทยาลัยไว้ให้มั่นคง 
๒.   จะต้องรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย   ให้การประทุษร้ายต่อราษฎรต่างมหาวิทยาลัยกันลดน้อยลงให้มาก 
๓.   จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางสวัสดิการ   
โดยมหาวิทยาลัยจะจัดหาหอพัก ห้องสมุด รถรับส่ง และโรงอาหารให้เพียงพอ   
ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก 
๔.   จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน   (ไม่ใช่ราษฎรร่ำรวยมีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรยากจนเช่นที่เป็นอยู่) 
๕.   จะต้องให้อาจารย์ได้มีเสรีภาพ   มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น 
๖.   จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร 
ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรที่๒   
ให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรที่๒ 
ขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยพึง
ตั้งตนอยู่ในความสงบ   และตั้งหน้าเรียนหนังสือ อย่าทำการใด ๆ 
อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎรที่๒   การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรที่๒นี้ 
เท่ากับราษฎรช่วยการศึกษาชาติ และช่วยตัวราษฎร   บุตรหลานเหลนของตนเอง 
ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์   ราษฎรจะได้การศึกษาที่ดี 
ทุกคนจะต้องมีที่เรียน ไม่ต้องอดตาย   ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน 
หมดสมัยที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะทำนาบนหลังราษฎร   
สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือความสุขความเจริญอย่างประเสริฐ 
ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น 
ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า | 
ภาพบรรยากาศกิจกรรม:






 
