ชื่อบทความเดิม:   ข้อเท็จจริงและมายาคติในบทความ “ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย:   ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 2)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์   แผลงประพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
 หลังจากที่ดิฉันได้เขียนบทวิพากษ์บทความ “ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่1)" [1] ของสมชัย   จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์   จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ   คุณสมชัยได้เขียนบทโต้แย้งต่อบทวิพากษ์ของดิฉัน [2] และเผยแพร่บทความตอนที่ 2 [3]   ดิฉันขอขอบคุณคุณสมชัยที่สละเวลามาชี้แจงและให้ความรู้ในที่สาธารณะ   ดิฉันได้อ่านบทโต้แย้งและบทความตอนที่ 2 แล้ว   พบว่าทั้งบทโต้แย้งและบทความดังกล่าวยังมีความสับสนระหว่างข้อเท็จจริงและ  มายาคติ จึงเขียนบทวิพากษ์ฉบับทึ่ 2 เพื่อแลกเปลี่ยนกับคุณสมชัย   และเพื่อให้ผู้อ่านได้ร่วมวิเคราะห์ด้วยกัน 
 ข้อเท็จจริง 1. สถิติที่ได้มาตรฐานสากลคือสถิติที่ถูกนำไปใช้ในงานวิจัยและผลการวิจัยได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการในต่างประเทศ 
 หลังจากที่คุณสมชัยยอมรับว่าตัวเลข 0.43   ไม่ใช่ตัวเลขดัชนีจินีที่สหประชาชาติใช้ในรายงาน   คุณสมชัยแย้งว่าดัชนีจินีคำนวณได้ 2 แบบ คือฐานรายได้และฐานรายจ่าย   และนำดัชนีจินีที่คำนวณด้วยฐานรายจ่าย 7 ปีระหว่างปี 1992-2009   มาให้ดูว่าอยู่ระหว่าง 0.40-0.45 เพื่อสนับสนุนว่าตัวเลข 0.43   ได้“มาตรฐานสากล” ดิฉันเดาว่าคุณสมชัยหมายความว่าค่าเฉลี่ยของ 0.40 และ   0.45 ตกประมาณ 0.43 มีข้อสังเกตว่าข้อมูลหายไป 11 ปี 
 คุณสมชัยถามดิฉันว่า “ส่วนการที่ อ.กานดาสรุปว่าสหประชาชาติไม่เชื่อฐานข้อมูลธนาคารโลกนั้นไม่ทราบว่าสรุปจากหลักคิดอะไร” ดิฉันขอตอบว่าหลักการความน่าจะเป็น (Probability theory) ซึ่งเป็นหลักการสากลอันเป็นพื้นฐานของวิชาสถิติ (Statistics) และเศรษฐมิติ (Econometrics) 
 ด้วยหลักการความน่าจะเป็น ไม่มีสถิติที่ถูกต้อง 100% กล่าวคือ สถิติมีความผิดพลาดจากการวัด (Measurement error)   ความผิดพลาดนี้มีสาเหตุสารพัด เช่น ผู้เก็บสถิติเลินเล่อ   ผู้บันทึกสถิติเข้าฐานข้อมูลเลินเล่อ   กลุ่มสำรวจไม่ให้ข้อมูลจริงทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา ฯลฯ   ดังนั้นนักวิจัยต้องตรวจสอบสถิติจากฐานข้อมูลต่างๆทั้งก่อนและหลังนำไปใช้ 
 ดิฉัน  คิดว่าข้อโต้แย้งของคุณสมชัยตั้งอยู่บนความเข้าใจผิดว่าสถิติที่ผลิตโดย  องค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลกหรือสหประชาชาติคือสถิติที่ได้มาตรฐาน  สากล   ดิฉันขอชี้แจงว่าสถิติที่ผลิตโดยองค์กรระหว่างประเทศไม่ได้กลายเป็นสถิติ  มาตรฐานสากลโดยอัตโนมัติ   เพราะสถิติมีความผิดพลาดจากการวัดดังที่ดิฉันได้อธิบายไปแล้ว   กระบวนการสร้างสถิติที่ได้มาตรฐานสากลไม่จบลงที่การผลิต   ก่อนนักวิจัยนำสถิติไปใช้ต้องตรวจสอบว่าสถิติมี outlier   หรือไม่ นิยามของสถิติมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูลหรือไม่  ฯลฯ    เมื่อใช้สถิติแล้วผลงานวิจัยต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อเผยแพร่ในวารสาร  วิชาการต่างประเทศที่มีกองบรรณาธิการเป็นกลุ่มอาจารย์หรือนักวิจัยที่มีผล  งานยอมรับในวงกว้าง 
 สถิติ  เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง การผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีต่างชาติ   (ในที่นี้คือวิธีคำนวณดัชนีจินีและวิธีการที่สนับสนุนโดยสหประชาชาติและ  ธนาคารโลก) โดยใช้แรงงานและวัตถุดิบในประเทศ   (ในที่นี้คือสถาบันสถิติแห่งชาติและกลุ่มสำรวจ)   ไม่ใช่การรับประกันว่าสินค้ามีคุณภาพ   สินค้าที่ได้มาตรฐานสากลคือสินค้าที่ผลิตแล้วส่งออกไปตีตลาดโลกได้   ด้วยเหตุนี้องค์กรระหว่างประเทศที่ผลิตสถิติร่วมกับสำนักงานสถิติในแต่ละ  ชาติจึงทำรายงานเพื่อเสนอสถิติใหม่ให้นักวิจัยใช้   เมือผลงานวิจัยได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในต่างประเทศก็จบกระบวนการสร้าง  สถิติที่ได้มาตรฐานสากล 
 มี  สถิติด้านการพัฒนามากมายที่ไม่ได้ผลิตโดยองค์กรระหว่างประเทศแต่ได้มาตรฐาน  สากล หลายอย่างเกิดก่อนธนาคารโลกหรือสหประชาชาติ รวมทั้งสถิติเกี่ยวกับไทย[4] ธนาคารโลกและสหประชาชาติมีอายุเพียง 65   ปี แต่วารสารวิชาการไม่ว่าสาขาสถิติและเศรษฐศาสตร์มีอายุเป็นศตวรรษ   แม้แต่การก่อตั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็ยังมีอาจารย์  เศรษฐศาสตร์ร่วมวางรากฐานองค์กร   ผู้บริหารฝ่ายวิจัยและผู้บริหารระดับสูงบางคนเป็นอาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่มี  ตำแหน่งประจำในมหาวิทยาลัย 
 เพื่อยกตัวอย่างประกอบ ดิฉันขอยกเอารูปจากรายงาน Thailand   Human Development Report 2009 ที่ดิฉันประกอบในบทวิพากษ์ฉบับที่ 1   มาให้ดูอีกครั้ง ดิฉันเขียนชัดเจนในบทวิพากษ์ฉบับที่ 1   แล้วว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่อาจารย์เศรษฐศาสตร์ใช้   โปรดสังเกตว่าใต้รูปนี้อ้างอิงที่มาว่า Hal Hill แห่ง ANU   หรือมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australia National University) Hal   Hill เป็นศาสตราจารย์ที่มีผลงานในวารสารวิชาการจำนวนมาก [5] ดิฉันจึงไม่แปลกใจว่าสหประชาชาติใช้ข้อมูลจากเขาแทนที่จะใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลธนาคารโลก
 
รูปที่ดิฉันนำมาให้ดูอีกครั้งมีความสำคัญเท่ากับตาราง   A1.4   ซึ่งคุณสมชัยมีส่วนร่วมจัดทำร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและสหประชาชาติ   ดิฉันใช้ตาราง A1.4 เพื่อเช็คว่าสอดคล้องกับรูปนี้หรือไม่   ถ้าไม่ตรงกันดิฉันจะสงสัยว่ารายงานของสหประชาชาติฉบับนี้ไม่ได้มาตรฐานสากล  และต้องสอบถามผู้ผลิตรายงานที่สหประชาชาติว่าทำไมข้อมูลมี error มาก 
 ถ้า  สหประชาชาติใช้ดัชนีจินีในฐานข้อมูลจากธนาคารโลกแทนที่จะใช้สถิติในรูปนี้   ดัชนีจินีที่ขาดๆหายๆแม้จะคิดค่าเฉลี่ยได้แต่ค่าเฉลี่ยไม่มีความหมายทาง  สถิติเพราะมี error   มาก นอกจากนี้   การประเมินผลของการพัฒนาต้องประเมินด้วยการ“เปลี่ยนแปลง”ในระยะเวลาหลาย  ทศวรรษ   เราประเมินไม่ได้ด้วยค่าเฉลี่ยเพราะค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขเพียงตัวเดียว   บทความดังกล่าวก็นำเสนอว่าสัดส่วนคนจนลดลงโดยไม่ใช้ค่าเฉลี่ยไม่ใช่หรือ?   ถ้าข้อมูลขาดๆหายๆแล้วผู้เขียนหันไปใช้ค่าเฉลี่ยแทน   บทความดังกล่าวก็จะเสนอไม่ได้ว่าสัดส่วนคนจนลดลง 
 เราตอบไม่ได้ว่าสถิติที่ธนาคารโลกทีดิฉันนำมาให้ดูในบทวิพากษ์ฉบับที่ 1     นั้นเป็นดัชนีจินีที่คำนวณจากฐานรายจ่ายที่สำนักงานสถิติแห่งชาติไทยหรือไม่   เนื่องจากปีที่มีข้อมูลก็ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณสมชัยยกมาทุกปี ยังมี  error  นอกจากนี้ข้อมูลที่คุณสมชัยยกมามีเพียง 7 ปีในเวลา 18 ปี   ค่าเฉลี่ยก็ย่อมมี error มาก และไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ด้วยมิติเวลา   แต่อาจจะมีประโยชน์ในการศึกษาผ่ากลาง (Cross-section study)   มีประโยชน์จริงหรือไม่ก็ต้องให้มีคนเอาไปทำวิจัยแล้วเผยแพร่ในวารสารวิชาการ  ต่างประเทศก่อนจึงจะกลายเป็นมาตรฐานสากล 
 ข้อเท็จจริง 2.   ปัญหาหนี้เสียไม่จำกัดที่คนรายได้น้อย   คนรายได้สูงก็มีปัญหาหนี้เสียจนทำให้เกิดวิกฤตการเงินมาหลายครั้งในประวัติ  ศาสตร์เศรษฐกิจไทย 
 ตอนที่ 2   ของบทความอธิบายว่าสาเหตุหนึ่งของปัญหาช่องว่างรายได้คือ   “นายธนาคารที่ใช้ความใกล้ชิดกับนักการเมืองแล้วขอให้รัฐบาลนำเงินงบประมาณมา  ช่วยแก้ปัญหาของธนาคารในยามประสบความเดือดร้อน” ภายหลังเสนอว่า   “ควรมีการปรับเปลี่ยนค่านิยมเพื่อลดการบริโภคนิยมในประชากรที่รายได้น้อยและ  ไม่แน่นอนซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว” 
 ดิฉัน  คิดว่าแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อเสนอสองมาตรฐาน   เพราะไม่ได้เสนอด้วยว่า   “ควรมีการปรับเปลี่ยนค่านิยมเพื่อลดการบริโภคนิยมในประชากรทีมีรายได้สูงโดย  เฉพาะนายธนาคารซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาหนี้เสียจนเกิดวิกฤตการเงิน” 
 นอก  จากนี้การปรับเปลี่ยนค่านิยมไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจ   แต่เป็นนโยบายด้านวัฒนธรรม   เพราะหลักการเศรษฐศาสตร์มหภาคถือว่าค่านิยมหรือรสนิยมของคนในชุมชนเป็นสิ่ง  ที่รัฐบาลเปลี่ยนแปลงไม่ได้   เขาอาจจะเปลี่ยนรสนิยมเองแต่รัฐทำให้เขาเปลี่ยนไม่ได้   เศรษฐศาสตร์มหภาคให้อิสระผู้บริโภคตัดสินใจเลือกว่าจะบริโภคเท่าไรและทำงาน  เท่าไร ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์จุลภาค   ถ้ารัฐบาลอยากมีอิทธิพลกำหนดรายจ่ายของผู้บริโภคก็ต้องใช้ระบบภาษี   ถ้าจะแก้ปัญหาหนี้เสียทั้งคนรายได้สูงและคนรายได้ต่ำก็ต้องแก้กฎเกณฑ์การควบ  คุมธนาคารและสถาบันการเงิน   และลงโทษผู้บริหารสถาบันการเงินที่รัฐบาลนำภาษีประชาชนไปช่วย 
 ข้อเท็จจริง 3.   ในแบบจำลองด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth model)   ไม่มีผู้นำการพัฒนาหรือผู้ตามการพัฒนา ปัจจัยการผลิตเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน   ไม่มีใครนำและไม่มีใครตาม
 คุณ  สมชัยตอบความเห็นของดิฉันที่ว่ากองทัพไทยคือกลุ่มทุนที่ไม่พัฒนาเทคโนโลยี  ใดๆโดยเสนอว่ากองทัพก็คือ“ผู้นำการพัฒนา”แบบหนึ่งเหมือนกัน ตอนที่ 2   ของบทความดังกล่าวอธิบายถึงปัญหาที่มาจาก “ผู้นำการพัฒนา”   ได้แก่ปัญหากรรมสิทธิ์ทีดินและปัญหาการผูกขาด   แต่สุดท้ายก็ไม่นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินหรือเสนอให้  บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด   ดิฉันแปลกใจว่ากล่าวถึงปัญหาเหล่านี้ทำไมถ้าไม่เสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ตรง  ประเด็น
 ดิฉันแปลคำว่า “ผู้นำการพัฒนา”เป็นศัพท์เศรษฐศาสตร์ภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะแบบจำลองการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth   model) เป็น General equilibrium กล่าวคือ   ไม่มี”ผู้นำการพัฒนา”หรือ”ผู้ตามการพัฒนา”   ในแบบจำลองเหล่านี้แรงงานและกลุ่มทุนเป็นปัจจัยการผลิตที่ดำเนินควบคู่กันไป  พร้อมกันและตอบสนองนโยบายหรือปัจจัยภายนอกประเทศพร้อมๆกัน   แม้ว่าทุนจะเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่าแรงงานเพราะแรงเสียดทานในตลาดทุนน้อยกว่า  แรงเสียดทานในตลาดแรงงาน แต่ทุนก็ไม่ได้ทุนเคลื่อนไหวก่อนแรงงาน   ทุนเพียงแต่ตอบสนองต่อต้นทุนในปริมาณที่มากกว่าแรงงานตอบสนองต่อค่าแรงเท่า  นั้น   ส่วนการลงทุนก็มาจากการะดมเงินออมในประเทศผ่านระบบธนาคารและการกู้ยืมจาก  ต่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกัน   ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีก็มาจากการสนับสนุนการวิจัยทั้งจากผู้ผลิตและรัฐบาล   และต้องอาศัยแรงงานมีฝีมือในขณะเดียวกัน   ดังนั้นปัจจัยการผลิตทุกฝ่ายมีบทบาทในการพัฒนาพร้อมกัน 
 ข้อเท็จจริง 4. การนำเสนอนโยบายทางสังคมต้องควบคู่ไปกับนโยบายการคลัง 
 ตอนที่ 2   ของบทความดังกล่าวเสนอแนวทางแก้ปัญหาทางสังคมหลายอย่าง เช่น  “ทางด้านสังคม    สังคมไทยต้องให้การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยเฉพาะการศึกษา  ในระดับกลางและระดับสูง   และควรมีระบบแนะแนวการศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมที่กำลังเข้าสู่ระดับ  อุดมศึกษาเพื่อให้สามารถเลือกวิชาที่ตรงกับความต้องการของตลาดหรือที่ตัวเอง  สนใจอย่างแท้จริง” 
 ใน  ความเป็นจริง“สังคมไทย”ไม่สามารถให้การศึกษาขั้นพื้นฐานได้   การให้การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน้าที่ของ“รัฐบาล”   ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงการนำเสนอนโยบายการคลังไม่ได้   ประเด็นคือทำอย่างไรให้งบประมาณการศึกษามากขึ้น?   จะลดงบประมาณกระทรวงไหน?  หรือว่าจะปฎิรูประบบภาษีเพื่อจัดเก็บภาษีแบบใหม่?   บทความดังกล่าวไม่มีข้อเสนอทางการคลังเลย ทั้งตอนที่ 1 และตอนที่ 2   ของบทความดังกล่าวไม่มีคำว่า“ภาษี”แม้แต่คำเดียว 
 ข้อเท็จจริง 5. เอ็นจีโอส่วนมากไม่ใช่ NGO แต่เป็นผู้รับเหมา
 ตอนที่ 2     ของบทความดังกล่าวเสนอให้สนับสนุนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนแล้ววงเล็บว่าเอ็นจีโอ   (ขอไม่เรียกว่า NGO เพราะจะทำให้สับสน) ไม่เข้าใจว่าสนับสนุนอย่างไร?   ให้งบประมาณเอ็นจีโอมากขึ้น?   ดิฉันคิดว่าเราควรจำกัดบทบาทของเอ็นจีโอที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล
 เอ็นจีโอไทยส่วนมากคือผู้รับเหมา (Subcontractor)   ทำโครงการทางสังคมโดยที่ไม่ต้องผ่านการประมูล   แตกต่างจาก“องค์กรไม่ใช่รัฐบาล”หรือ Non-government organization (NGO)   ในต่างประเทศ เพราะรัฐบาลต่างประเทศไม่ใช่ลูกค้าของ NGO   เมื่อเอ็นจีโอไทยมีรายได้จากรัฐบาล   การตรวจสอบ(หรือไม่ตรวจสอบ)รัฐบาลกลายเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับรัฐบาล  เพื่อผลประโยชน์จากโครงการรับเหมา   ดังนั้นเอ็นจีโอจึงมีแรงจูงใจในการทุจริตสูงมาก   และยังส่งเสริมการทุจริตในด้านอื่นๆเพราะไม่มีแรงจูงใจในการตรวจสอบรัฐบาล
 ใน  เมื่อเอ็นจีโอส่วนมากคือผู้รับเหมา   เราก็น่าจะส่งเสริมให้มีการตรวจสอบเอ็นจีโออย่างโปร่งใส   เพราะความโปร่งใสเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันการทุจริต เช่น   ให้เอ็นจีโอใส่ซองประมูลโครงการแข่งกับผู้รับเหมาอื่นๆ   เปิดเผยรายได้ของกรรมการบริหารของเอ็นจีโอในส่วนที่มาจากภาษีประชาชนตราบใด  ที่ยังไม่ใช้ระบบใส่ซองประมูล ประเมินผลจากโครงการที่รับเหมาไปโดยคนนอก   ทางที่ดีที่สุดน่าจะยกเลิกการให้งบประมาณภาษีแก่เอ็นจีโอ   และให้เอ็นจีโอหาทุนมาดำเนินงานเองแบบ NGO ในต่างประเทศ เอ็นจีโอจะได้กลายเป็น“องค์กรไม่ใช่รัฐบาล”จริงๆ 
 เอ็น  จีโออาศัยงบประมาณจากภาษีประชาชนก็แสดงว่าเอ็นจีโอพึ่งตัวเองไม่ได้   ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เอ็นจีโอจะทำให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้
 บทสรุป
 ตอนที่ 2   ของบทความดังกล่าวนำเสนอสาเหตุของปัญหาช่องว่างรายได้   และดิฉันเห็นด้วยกับหลายสาเหตุที่ยกมา   แต่วิธีการแก้ปัญหาด้วยนโยบายเศรษฐกิจที่บทความดังกล่าวเสนอแนะไม่ใช่นโยบาย  ที่ตรงประเด็น ถ้าจะให้ตรงประเด็น   ปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินควรแก้ด้วยการปฎิรูปที่ดิน   ปัญหากลุ่มทุนผูกขาดควรแก้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด   ปัญหาหนี้เสียควรแก้ด้วยการปรับปรุงกฎเกณฑ์การควบคุมสถาบันการเงิน   ส่วนการแก้ไขด้วยนโยบายสังคมต้องดำเนินควบคู่ไปกับการปฎิรูประบบภาษี   เพราะรายจ่ายด้านสังคมเพิ่มภาระทางการคลัง
 การ  แก้ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทางการเมืองซึ่งน่าจะ  เริ่มจากการยอมรับผลการเลือกตั้ง   ปัญหาทุจริตมีรากฐานมาจากการไม่บังคับใช้กฎหมายไม่ใช่มาจากการเลือกตั้ง   ดังนั้นการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ไม่ได้แก้ปัญหาการทุจริตอยู่ดี   การที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกคนที่ปกป้องผลประโยชน์ของตนไม่ขัดกับหลักการ  ทางเศรษฐศาสตร์   เพราะหลักการทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าผู้บริโภคมีอิสระในการเลือกบริโภคและเลือก  ทำงาน รสนิยมก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้บริโภค   ส่วนผู้ผลิตก็มีอิสระในการเลือกผลิต   แต่รัฐบาลเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตได้ด้วยระบบภาษีและกฎเกณฑ์  การควบคุมอุตสาหกรรมต่างๆ 
 สุด  ท้ายนี้ดิฉันขอขอบคุณคุณสมชัยและคุณจิราภรณ์ที่เปิดประเด็นเรื่องช่องว่าง  รายได้ให้ได้วิเคราะห์และสละเวลามาแลกเปลี่ยนกันในที่สาธารณะ 
 อ้างอิง
 [1] ข้อเท็จจริงและมายาคติในบทความ”ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 1)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย”โดย กานดา นาคน้อย, ประชาไทออนไลน์, 20 กันยายน 2553: http://prachatai3.info/journal/2010/09/31191
  [3] ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 2)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ประชาไทออนไลน์, 25 กันยายน 2553: http://www.prachatai.com/journal/2010/09/31246
 [4] Hoffman, F. L. “Review: Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam,” Journal of the American Statistical Association 18(140), 545-548, December 1922. 
     
