26   ก.ย.53 เครือข่ายชุมชนภาคอีสาน 7 จังหวัดจัดเวที    เวทีประสบการณ์ชุมชนโมเดลปฏิรูปประเทศไทย   “นี่คือโอกาสสุดท้ายของประเทศไทย”โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 400 คนจาก 200   กว่าเครือข่าย ได้ข้อสรุปเป็นจดหมายเปิดผนึกพร้อมข้อเสนอการปฏิรูปแก่   นายอานันท์ ปันยารชุน น.พ.ประเวศ วะสี และนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ   มีรายละเอียดดังนี้ 
 จดหมายเปิดผนึก
 เวทีประสบการณ์ชุมชนโมเดลปฏิรูปประเทศไทย
 “นี่คือโอกาสสุดท้ายของประเทศไทย”
 ถึง
 นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูป
 นพ.ประเวศน์ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป
 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
 วันที่ 26 กันยายน 2553
 สถานการณ์  การต่อสู้ของชุมชน   เพื่อการรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ชุมชนพึ่งพิงนับวันจะมีความรุนแรงขึ้น    เป็นสิ่งที่สะท้อนทำให้เห็นว่าเป็นความล้มเหลวของการเมืองระบบตัวแทนและระบบ  ราชการ ในการช่วยปกป้องสิทธิชุมชน ตามรัฐธรรมนูญมาตา 66   และ 67   ที่ระบุชัดเจนว่าชุมชนมีสิทธิในการปกป้องดูแลรักษาและใช้ทรัพยากรอย่าง  ยั่งยืน แต่จากแผนการพัฒนาและปัญหาที่เกิดขึ้น   กลับตอกย้ำว่าชุมชนทั้งในเมืองและชนบททั่วประเทศถูกละเมิดสิทธิ   และผู้อยู่เบื้องหลังการทำลายวิถีวัฒนธรรมชุมชน คือ นักการเมือง   และทุนที่ทำธุรกิจเน้นการใช้ค้าทรัพยากรธรรมชาติแบบไม่รับผิดชอบต่อสังคมและ  สิ่งแวดล้อมแทบทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ชุมชนต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่ม   และทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
 จาก การ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเครือข่ายชุมชน   ได้มีกระบวนการพัฒนาและแก้ปัญหาภายในชุมชนอย่างสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรม  ชุมชน ประกอบด้วย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี   และจังหวัดสุรินทร์ มากกว่า 400 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากเครือข่ายกว่า 200 ชุมชนต้นแบบ
 บทสรุปจากการแลกเปลี่ยนที่ถือว่าเป็นทางรอดของประเทศไทย มีดังนี้ (1)  เรื่องความมั่นคงทางอาหาร   คือ การที่ชุมชนมีอาหารอย่างเพียงพอ ให้ความสำคัญกับการเกษตรปลอดสารเคมี   การมีส่วนร่วม รวมกลุ่มผลิต รวมกลุ่มขาย   การอนุรักษ์พันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ดั้งเดิมของท้องถิ่น   แทนการผูกขาดของบริษัท  (2) ปัญหาที่ดิน   ระบบนิเวศของพี่น้องชาวอีสาน ในมิติของชุมชน ห้วย หนอง คลองบึง ดินน้ำป่า   นั้น เป็น แหล่งอาหาร เป็นทรัพยากรของชุมชน เป็นสิ่งที่ชุมชนต้องเข้าถึงได้   ไม่ใช่เป็นของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง   ในขณะนี้เป็นปัญหาจากเรื่องกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม   และเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มเดียว รวมทั้งกลไกของรัฐ แก้ไขปัญหาที่ล่าช้า   ไม่จริงใจ ทำให้ชาวบ้านเห็นว่ารัฐไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน   ผูกขาดการพัฒนาและรวมศูนย์อำนาจที่กรุงเทพ ฯ  (3) การศึกษาทางเลือก ต้อง  สร้างคนให้เป็นคนมีคุณธรรมชั้นสูง ไม่หลอกหลวงประชาชน   โรงเรียนต้องพัฒนาคนให้เป็นคนดีของสังคม การศึกษาต้องใช้เพื่อชีวิตประจำวัน   สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้เรื่องศีลธรรม  (4) สุขภาพทางเลือก   ชุมชนยังมีระบบการดูแลสุขภาพกับหมอพื้นบ้านและใช้ความรู้เหล่านี้ในการรักษา   ต้องสนับสนุนสิทธิหมอพื้นบ้าน และสร้างเครือข่ายหมอพื้นบ้าน (5) การสื่อสารของชุมชน ความสำคัญคือการยกระดับให้สังคมและสื่อมวลชนเข้าใจเรื่องชุมชนโดยช่องทางสื่อชุมชนหลากหลายรูปแบบ  (6) การพัฒนากลุ่มเยาวชน   ปัจจุบันเยาวชนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมาก   ควรสนับสนุนให้มีพื้นที่สำหรับการแสดงออกของเยาวชน   สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ด้วยคุณธรรมจริยธรรมและการมีส่วนร่วมของคนทุกวัย 
 จาก  ประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาของคนอีสาน   จึงมีข้อเสนอต่อการปฏิรูปประเทศไทยโดยมีรูปธรรมที่ชุมชน   ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่โครงสร้างเพียงอย่างเดียว ดังข้อเสนอต่อไปนี้
 การแก้ปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนของชุมชน
 1.กรณี  ความเดือดร้อนเรื่องที่ดินจากข้อพิพาทระหว่างชุมชนกับรัฐ   มีการจับกุมดำเนินคดีตัดฟันต้นไม้ และการลงพื้นที่รังวัดแนวเขต   โดยชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม ของเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยาน กรมป่า ฯลฯ   ให้รัฐยุติการจับกุมและหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน   และช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน 
 ให้  มีนโยบายคุ้มครองพื้นที่การทำเกษตรโดยการรับรองสิทธิให้มีความมั่นคง   โดยให้ความสำคัญกับสิทธิชุมชนก่อนสิทธิของเอกชน   กรณีปัญหาที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน   แต่มีบุคคลเข้าไปใช้ประโยชน์หรือออกโฉนดทับพื้นที่สาธารณะ   ให้มีการตรวจสอบและยกเลิกทั้งประเทศ 
 2.กรณีการ  สำรวจพื้นที่ตามแผนการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดอุบลราชธานีของ  การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และมีกระบวนการสร้างความแตกแยกในชุมชนท้องถิ่น   โดยวิธีการต่างๆ เสนอให้รัฐยุติกระบวนการดังกล่าว   กรณีปัญหาเขื่อนปากมูลให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาตามข้อตกลงที่วางไว้   กรณีเขื่อนในลำน้ำโขงให้ยกเลิกทั้งหมดเพราะกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน  อย่างมหาศาล   การสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงให้ยกเลิกและให้ยึดหลักเคารพในสิทธิชุมชน   กล่าวคือ   ให้ยกเลิกสัมปทานของรัฐในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ซึ่งชุมชนใช้ประโยชน์ 
 3. ให้แก้ปัญหากรณีสัญชาติในพื้นที่ซึ่งมีความกลมกลืนทางวัฒนธรรมโดยเร่งด่วน เช่น กรณีคนไร้รัฐในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว
 ข้อเสนอระยะกลาง
 1.ให้ มี การส่งเสริมการเกษตรผสมผสานโดยใช้วิถีวัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง   เน้นเรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ คุ้มครองอาชีพที่หลากหลาย   โดยเฉพาะพันธุ์ข้าว   และจัดสรรให้มีปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะที่ดินทำกินอย่างเท่าเทียม   โดยประกาศพื้นที่นำร่องเป็นเครือข่ายฯ จังหวัด ป่าชุมชน   หรือชุมชนต้นแบบและสนับสนุนงบประมาณโดยตรงในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสริม  ความเข้มแข็งองค์กรชุมชน
 2.ให้  ใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักในการแก้ปัญหาที่ดิน   และปฏิรูปกฎหมายที่ดินที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการแก้ปัญหาคนจน เช่น   ยกระดับระเบียบโฉนดชุมชนเป็น พรบ.โฉนดชุมชน ฯลฯ   โดยต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง 
 3.กำหนด  เขตนิเวศวัฒนธรรมเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์วิถีวัฒนธรรมชุมชน   เพื่อการจัดการทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ   การเข้าถึงและใช้ประโยชน์ตามวิถีดั้งเดิมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
 4.ให้ ยก เลิกโครงการที่มีผลกระทบต่อสิทธิชุมชนชัดเจน เช่น โครงการเหมืองแร่โปแตช   และต้องจัดให้มีการจัดทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม   และสุขภาพประชาชน โดยการมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนอย่างเปิดเผยรอบด้าน
 5.ให้ มี การส่งเสริมสวนสมุนไพรชุมชนและรับรองหมอพื้นบ้าน   เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพชุมชนอย่างเอื้ออาทร   โดยประกาศเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งการเรียนรู้ รัฐต้องสนับสนุนด้านทรัพยากร   และงบประมาณตรงที่ชุมชน   ให้ออกใบประกอบโรคศิลป์กับหมอพื้นบ้านที่ชุมชนรับรอง
 6.ให้ มี การตั้งหน่วยงาน หรือกรมสื่อสารชุมชน   เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีพื้นที่ในการเผยแพร่สาธารณะ   การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการผลิตสื่อชุมชนในหลากหลายรูปแบบเช่น   เพลงพื้นบ้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น หนังสร้างสรรค์สังคม หรือเรื่องสั้นสารคดี   โดยการสนับสนุนให้มีการพัฒนาบุคลากรชุมชนอย่างเป็นระบบโดยงบประมาณของรัฐ  อย่างเพียงพอ
 7.ส่ง  เสริมสนับสนุนให้มีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ   โรงเรียนต้องสร้างคนให้เป็นคนมีคุณธรรมชั้นสูง ไม่หลอกหลวงประชาชน   ต้องสร้างคนมีคุณธรรมให้มากที่สุด   โรงเรียนต้องพัฒนาคนให้เป็นคนดีของสังคมก่อนที่จะเป็นคนเก่ง   การศึกษาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้เรื่องศีลธรรม   และส่งเสริมให้เยาวชนได้มีพื้นที่ในการสร้างตัวตน โดยใช้วัฒนธรรมชุมชน   ได้แสดงความสามารถ ได้ฝึกทักษะ ด้านต่างๆ เช่น ดนตรี กีฬาที่สร้างสรรค์
 8.ให้ มี การกระจายอำนาจสู่ประชาชนโดยตรง   ประชาชนต้องมีสิทธิในการกำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศ   โดยให้จัดสรรงบประมาณของรัฐในการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรชุมชนโดยตรง   ให้มีการจัดตั้งสภาประชาชนอยู่ในระบบประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับสภาผู้แทนราษฎร   วุฒิสภา
 การส รุป  บทเรียนชุมชนเพื่อหาทางออกประเทศไทยครั้งนี้เป็นรูปแบบที่ครอบคลุมรอบด้าน  ที่สุดซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ   และรัฐบาลนำข้อมูลไปใช้เพื่อการปฏิรูปได้ในทันที   โดยไม่มีความจำเป็นต้องทำเหมือนกันทั่วประเทศอย่างไม่ต้องรอผลจากการประชุม  ของกรรมการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น   คณะกรรมการฯควรฟังเสียงและข้อเสนอของคนจนเพื่อตอบโจทย์ในการปฏิรูปประเทศ   ไม่ใช่คนจนเป็นเพียงองค์ประกอบในการปฏิรูปประเทศไทย
                                                                ด้วย ความ  เคารพ                                                                 
 เครือข่ายชุมชนภาคอีสาน 7 จังหวัด
 วันที่ 26 กันยายน 2553
 ณ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง จังหวัดอุบลราชธานี(คปสม.อบ.)
 
