นักปรัชญาชายขอบ
สิ่ง ที่จริงกว่าคำขวัญที่ว่า “เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพประชาชน” นั่นคือ “เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของสื่อ” แต่เมื่อสื่อที่พยายามให้พื้นที่เสรีภาพต้องถูกละเมิดเสรีภาพ สื่อทั้งหลายทำอะไรกัน?
คำขวัญที่ว่า “เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพประชาชน” อาจไม่จริง เพราะที่จริงกว่าคือ “เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของสื่อ” เนื่องจาก
 ประการแรก   สื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อของรัฐหรือของเอกชนก็ล้วนแต่เป็นสื่อที่มี “เจ้าของ”   สื่อของรัฐตามหลักการแล้วประชาชนคือเจ้าของ  แต่โดยพฤตินัยรัฐบาลคือเจ้าของ  ฉะนั้น  สื่อของรัฐจึงถูกใช้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล   และมันก็ไม่มียุคไหนที่สื่อของรัฐจะถูกใช้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล   และกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างน่าเกลียดเท่ากับยุคนี้ 
 ส่วน สื่อของเอกชน  ถ้าเจ้าของสื่อพยายามรักษาอุดมการณ์และจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อ   ก็เป็นไปได้ว่าเสรีภาพของการเสนอและวิเคราะห์ข่าวสาร   หรือแสดงความคิดเห็นอื่นๆ จะดำเนินไปในทิศทางที่ปกป้องเสรีภาพของประชาชน   แต่ถึงอย่างไรสื่อก็เป็นธุรกิจที่ทำธุรกิจโฆษณากับทั้งธุรกิจภาคเอกชน   และงบโฆษณาของภาครัฐ เงื่อนไขทางธุรกิจก็อาจจำกัดเสรีภาพของสื่อได้   โดยเฉพาะในสงครามแห่ง “สี”   สื่อที่ต้องคำนึงถึงลูกค้าจากทุกสีอาจไม่กล้าพอที่จะเปิดพื้นที่ให้กับ   “ความจริง” หรือ “ความเห็น” ของสีใดสีหนึ่ง   หรือเปิดพื้นที่ให้ทั้งสองสีโต้แย้งกัน
 ข้อจำกัด อีกอย่างคือ สื่อเป็น “พื้นที่ความเห็น” ของคนเพียงไม่กี่คน   คือคอลัมนิสต์ไม่กี่คน   แม้พื้นที่เปิดนอกเหนือจากคอลัมนิสต์ก็เป็นพื้นที่ความเห็นของคนมีชื่อเสียง   หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนธรรมดาสามัญ โนเนม   หรือคนชั้นล่างแทบไม่ได้มีโอกาสใช้พื้นที่สื่อเหล่านี้เสนอความเห็นของตัว  เอง
 ที่แย่กว่านั้นคือ สื่อบางสื่อถึงขนาดมีกฎว่า  ห้ามเสนอข่าว  ความคิดเห็น บทความของบุคคลชื่อนั้นชื่อนี้  หรือของคนสีนั้นสีนี้   และที่แย่หนักเข้าไปอีกคือเวลาสื่อบางสื่อลงข้อคิดเห็น   หรือบทความวิพากษ์วิจารณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปแล้ว   พอมีบทความหรือข้อคิดเห็นอีกด้านที่อธิบายข้อเท็จจริงและเหตุผลของผู้ถูก  วิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความเสียหายไปแล้วนั้น สื่อ (ที่อ้างว่าเป็น   “สื่อคุณภาพ” ด้วยซ้ำ) ก็ไม่นำเสนออีกด้านเฉยเลย ซึ่งตัวอย่างพื้นๆ   เหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า “เสรีภาพสื่อ” ไม่อาจแทน “เสรีภาพประชาชน” ได้
 ประการที่สอง   ที่ว่าการปฏิรูปสื่อต้องให้สื่อตรวจสอบกันเองนั้น ก็มีข้อจำกัดมาก   เพราะวัฒนธรรม “แมลงวันย่อมไม่ตอมแมลงวัน” เป็นวัฒนธรรมที่แข็งของวงการสื่อ   ไม่ต่างจากวงการอื่นๆ   คนในวงการสื่อวิจารณ์คนอื่นได้หมดนอกจากคนในวงการตนเอง   ปัจจุบันนี้เห็นมีวิจารณ์กันบ้าง แต่วิจารณ์ด้วยเงื่อนไขแห่ง “สี”   ไม่ใช่วิจารณ์ด้วยเงื่อนไขของการปกป้อง/ไม่ปกป้องเสรีภาพประชาชน
 ที่ น่าเศร้าคือ  เวลาที่สื่อด้วยกันถูกคุกคามเสรีภาพ มีสื่อฉบับไหนบ้างที่  “ทำข่าว”  เชิงเจาะลึกในเรื่องดังกล่าว ที่เห็นกันอยู่คือเสนอข่าวแบบผ่านๆ   ไม่ขึ้นหน้าหนึ่งเหมือนข่าวดาราทำผู้หญิงท้องด้วยซ้ำ! 
 ผม แปลกใจมากว่า ทำไมเมื่อสื่อถูกคุกคามเสรีภาพ เช่น กรณี ผอ.ประชาไท   ถูกจับด้วยข้อกล่าวหาทำผิดกฎหมายหมิ่นฯ ทำไมสื่อที่ต่างก็ชูคำขวัญว่า   “เสรีภาพสื่อคือเสรีภาพประชาชน” ไม่ทำข่าวแบบเจาะลึก เช่น   ไปสัมภาษณ์ผู้ถูกจับกุม องค์กรสิทธิมนุษย์ชน ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ   ว่ามีความเห็นอย่างไรกับกฎหมายหมิ่นฯ เอาเนื้อหากฎหมายหมิ่นฯ   มาวิพากษ์ว่ามันเป็นกฎหมายละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่จะพูดความจริงของ  ประชาชนหรือไม่?
 หรือ ไปถามนักนิติปรัชญาว่า  กฎหมายเช่นนั้นเป็นกฎหมายที่ยุติธรรมหรือไม่?  ถ้านึกไม่ออกว่าจะไปถามใคร  ก็ไปถามคณะกรรมการปฏิรูประเทศ เช่น คุณอานันท์  ปันยารชุน คุณหมอประเวศ วะสี  นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  ก็ได้ว่า  สมควรยกเลิกกฎหมายหมิ่นหรือไม่?  เพราะคนเหล่านี้ต่างก็เคยเรียกร้อง  “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง”  มาเป็นสิบๆ ปี  แล้วการปฏิรูปประเทศถ้าไม่เปลี่ยน “โครงสร้างอำนาจ”   หรือกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพูดความจริงของประชาชน   ภาษีประชาชนที่เป็นค่าปฏิรูปฯ 60 ล้านบาท จะเสียเปล่าไหม?
 สื่อ อย่างประชาไทพยามเป็นอิสระจาก “ทุน” หรือไม่สังกัดนายทุนใดๆ   ที่จะมีอำนาจบงการทิศทางการทำหน้าที่สื่อ   และพยายามเปิดพื้นที่เสรีภาพสำหรับทุกความเห็นจริงๆ   นำเสนอข้อเท็จจริงบางเรื่องที่สื่อกระแสหลักไม่กล้าเสนอ ฯลฯ   ซึ่งความพยายามเหล่านี้คือความพยายามขยายพื้นที่เสรีภาพของประชาชน
 “การ ขยายพื้นที่เสรีภาพ” มันต่างจากการพยายาม “ให้ปัญญา”   ตรงที่อย่างหลังคุณรวบเสรีภาพไว้ที่ตัวคุณ   แล้วก็ใช้เสรีภาพในการนำเสนอความคิดของคุณอย่างเต็มที่   และเสนออย่างผู้อบรมสั่งสอนราวกับว่าเป็น “สื่อศาสดา”   ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “กลุ่มศาสนิกสื่อ” ที่เลื่อมใสศรัทธาในสื่อนั้นๆ   แต่การขยายพื้นที่เสรีภาพคือการขยายพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ใครก็  ได้เข้ามาใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ 
 แต่ความเสี่ยงที่ หนักหนาสาหัสของสื่อที่มุ่งขยายพื้นที่เสรีภาพคือ   การถูกลงดาบด้วยกฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า   ดาบดังกล่าวนี้มีไว้ใช้เพื่อฟาดฟันฝ่ายที่มีความเห็นต่างทางการเมือง   และข้อเท็จจริงก็คือว่าประชาไทเป็นพื้นที่เปิดสำหรับทุกสี   เพียงแต่ว่าสีแดงอาจเข้ามาใช้มากกว่า   สีเหลืองที่เข้ามาก็ด่าสีแดงได้เต็มที่ นี่คือ “เสรีภาพ”   แต่ในที่สุดแล้วคนที่มาใช้พื้นที่ตรงนี้ก็จะรู้เองว่าการใช้เหตุผลน่าสนใจ  กว่าการด่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็จะค่อยๆ พัฒนาไป   ไม่ใช่เถียงด้วยเหตุผลไม่ได้ ด่าสู้ไม่ได้ แล้วจะเรียกหาดาบมาฟาดฟันอีกฝ่าย   หรือผู้รับผิดชอบเว็บฯ
 แต่ ก็นั่นแหละครับ  ตราบที่ยังมีดาบอยู่ มันก็ต้องมีผู้ใช้ดาบอยู่วันยังค่ำ  คำถามคือ   ถ้าสังคมสังคมหนึ่งอนุญาตให้มีดาบเล่มหนึ่งที่ใครจะใช้มันฟาดฟันคนอื่นๆ   ได้เลย หากเขาเชื่อว่า ตีความว่า เห็นว่า บุคคลคนนั้น (ที่ทำมาหากิน   มีภาระรับผิดชอบจิปาถะ)   เหมือนเขานี่แหละไปพูดความจริงด้านที่ไม่บวกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สังคมนี้  นับถือ และมันก็เป็นไปได้สูงมากว่าดาบอันนี้จะถูกใช้ฟาดฟันศัตรูทางความคิด   ศัตรูทางการเมือง และ ฯลฯ สังคมเช่นนี้จะเป็นสังคมที่น่าอยู่ไหม?   การที่รัฐยื่นดาบให้ประชาชนทุกคนใช้ประหัตประหารเสรีภาพกันได้   มันคือการยื่นหลักประกันความสงบสุขของสังคมหรือ?
 หรือ หากมองลึกลงไปถึง “แก่นสาร” (essence) ความเป็นคนคือ  “การมีเสรีภาพ”  กฎหมายหมิ่นฯ เป็นกฎหมายที่ขัดแย้งกับ “ความเป็นคน”  ดังกล่าวนี้หรือไม่?  สื่อหากจะยังยืนยันคำขวัญ  “เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพประชาชน”   ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องความเป็นคนดังกล่าวนี้อย่างหนักแน่นเพียงใด? 
  
