โดย ปลายอ้อกอแขม
“ยางอาย” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นฉบับเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญ นำมาอ่านตัดสินคดีนายสมัคร สุนทรเวช ที่เอาตะหลิวเคาะกะทะส่งเสียงดังไปหน่อย มีผลให้นายสมัครหลุดจากตำแหน่งนายกของประเทศสาระขัณฑ์ ให้ความหมายว่า “เป็นยางชนิดหนึ่ง ใช้ทำอะไรไม่ได้ แต่จะมีอยู่ในตัวของมนุษย์บางจำพวก แต่บางจำพวกก็ไม่มี เหตุที่บางจำพวกไม่มีนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสส.ที่ด่าสิ่งที่คนอื่นๆทำว่าเป็นเรื่องเลวชั่ว แต่ภายหลังก็กลับมาทำในสิ่งๆนั้นเสียเอง ”
คำว่า “ไร้ยางอาย” หรือ “หมดยางอาย” พจนานุกรมไทยฉบับเดียวกันนี่แหละ ให้ความหมายว่า “ไม่มีความละอายต่อเทวาฟ้าดินใดๆทั้งสิ้น หน้าด้านถึงที่สุดเกินกว่าจะบรรยายได้ ตนเองผิดเห็นๆก็บอกว่าถูก ผู้อื่นถูกชัดๆมันก็บอกว่าผิด พูดดำให้เป็นขาว พูดขาวให้เป็นดำ บัดซบ”..ตอนท้ายๆ พจนานุกรม “สบถ”ออกมาเช่นนั้น
“ไร้ยางอาย” หรือ “หมดยางอาย” ถือเป็นผรุสวาจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุดสำหรับผู้ถูกด่า หากเป็นคนธรรมดา ถูกด่าว่า “เอ็งนี่ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี” หรือ “เอ็ง..หมดยางอายแล้วซิ” เช่นนี้แล้ว ผมและเพื่อนพ้องต่างก็เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าหลังจากคำด่านี้สิ้นสุดลงไม่เกิน 3 วินาที ไม่ใครก็ใคร ..ต้องมี “บาดแผล”จากอวัยวะข้างขวาที่ใช้เดินของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
สมัยพรรคประชาธิปัตย์อันประกอบไปด้วยท่านนายกฯอภิสิทธิ์และผองเพื่อน ยังตามไล่เห่าอดีตนายกฯทักษิณอยู่ซึ่งนั่งอยู่บนเครื่องบินอยู่นั้น อดีตนายกฯไม่ค่อยได้ตอบโต้อะไรเท่าไหร่ เพราะเสียงเห่าหอนที่ดังโหยหวนตลอดเวลานั้น อดีตนายกฯรู้ดีว่าเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากความอดอยาก หิวโหยเกินบรรยาย ..นานๆทีก็โยนปลากระป๋องยี่ห้อ “ชาวดอย”จากเครื่องบินเพื่อให้คาบเอาไปให้รถไฟทับสักครั้งหนึ่ง
ประชาธิปัตย์ไล่เห่าไล่งับอดีตนายกฯตลอด 6 ปีที่ผ่านมา นับจำนวนดูแล้วปีละกว่า 700 ครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้อดีตนายกฯหวั่นไหว เพราะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า “ประเทศไทยพัฒนาไปไกลเกินกว่าจะมานั่งทะเลาะกัน” จึงทำให้เสียงเห่าหอนเริ่มแหบโหยจะตายมิตายแหล่ เดชะบุญที่ฟอสซิลไทรันโนเซารัสซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตะกวดในปัจจุบันปรากฏกาย..19 กันยา 49
วันนั้นด่าทักษิณว่าทุนนิยมสามานย์ ประชานิยม โคตรโกงหรือโกงทั้งโคตร แต่วันนี้เอาสิ่งที่ทักษิณทำไว้มาทำชนิดหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..เฮ้ย อะไรวะ!
วันนั้นด่าสมัครว่าเลว ชั่ว ออกมาตรการมาใช้ ทำให้ประชาชนขี้เกียจสันหลังยาว แต่วันนี้เอาสิ่งที่สมัครทำไว้มาทำต่อชนิดหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..เฮ้ย อะไรเนี่ยะ !
วันนั้นด่าสมชายว่าเลว ชั่ว เป็นนอมินีทักษิณ ตั้งคนชั่วมาเป็น รมต.สาระพัด แต่วันนี้กลับทำยิ่งกว่าสมชาย คือตั้งพวกพันธมิตรที่ทำลายชาติจนย่อยยับมาเป็นใหญ่ในรัฐบาล..เฮ้ย ทำได้ไง !
“ด่าคนอื่นเหย็งๆว่าชั่วช้าสามานย์ วันนี้กับมาทำตามเขาต้อยๆๆ อย่างนี้ ..เรียกว่าอะไร”
ถ้าจะลำดับนับเรื่องเอาแค่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลเมื่อไม่นานนี้ ก็มองเห็นแล้วว่าขนาดไหน ความทุเรศทุรังที่สร้างขึ้นทำให้เป็นรอยด่างในประวัติศาสตร์ เราจะบอกชาวโลกเขาได้อย่างไรว่าประเทศเราทำไมพิกลพิการขนาดนี้ เราจะบอกลูกบอกหลานเราได้อย่างไรว่าบรรพบุรุษรุ่นเราทำระยำอะไรไว้กับประเทศตัวเอง..ไม่น่าเลย
ตอนแรกๆ ผมรู้สึกอายแทน แต่พอนึกถึงคำเตือนของเพื่อนคนหนึ่งที่เคยบอกไว้ว่า “เอ็งอย่าไปอายแทนใครเชียวนะ ปล่อยให้มันอายด้วยตัวของมันเอง เพราะถ้าเอ็งไปอายแทนมัน มันก็จะไม่อาย” ..ผมก็เลยเลิกอายแทน
แต่ถึงผมจะไม่อายแทนพรรคนี้แล้ว ผมก็เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจเหมือนนายสุเทพว่าพรรคนี้มันก็ไม่คิดอายหรอก เพราะ “ต่อมความอาย” มันหดหายกันไปหมดแล้ว ตั้งแต่หัวยันหาง ..เข้าใจว่าพอย่างเท้าเข้าพรรคนี้ยางอายก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ
เมื่อเช้า เดินผ่านหน้าโรงเรียนทึดทืออนุสรณ์ ขณะครูกำลังอบรมแถวนักเรียนตอนก่อนเคารพธงชาติ ได้ยินเสียงครูถามนักเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายว่า “ยางพารามีมากในภาคใต้ แล้วยางอะไรไม่มีในพรรคประชาธิปัตย์ ตอบพร้อมๆกันซิ”
เสียงนักเรียนตอบเป็นเสียงคอรัสว่า “ ยางอาย เฮ้...!!!”