โดย จักรดาว บุณยดิษฐ์27/11/2552
“2มาตรฐาน” จะเป็นวาทกรรมทางการเมืองที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความ “อยุติธรรม” ในสังคมเราอีกครั้งหนึ่งจาก “อำนาจรัฐ” ที่มักจะเป็น “กับดัก” ของผู้ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง
                รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ  ประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่า  จะเป็นรัฐบาลของประชาชนทั่วประเทศ  แต่แล้วธาตุแท้ก็เปิดให้เห็นแก่นของขั้วหัวใจว่า  เขาเป็นรัฐบาลสีเหลือง  และเริ่มเพิ่มความเหลืองขึ้นทีละเล็กทีละน้อย  จนขณะนี้เป็นรัฐบาลเหลืองเข้ม-เข้ม
                เขาได้แปรสภาพจาก “แนวร่วม” ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย   ในการโค่นล้มศัตรูทางการเมืองอย่างรัฐบาลทักษิณและนอมินี  พอครองอำนาจนานวันเข้า  รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็น “แก่นแกน” ของการบดขยี้ขบวนการเสื้อแดงและพลพรรคทักษิณ  โดยมีคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อเขียวเป็น “แนวร่วม”
                ฉะนั้น  วินาทีนี้  ขั้วความขัดแย้งในสังคมที่ก่อวิกฤติทางการเมืองแจ่มชัดยิ่ง  ขั้วแรกคือขั้วรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กับขั้วคุณทักษิณ  การเมืองของเราจึงวางฐานอยู่บนการต่อสู้ที่เข้มข้น-รุนแรง
                รัฐบาลมาร์คจึงไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ   แต่เป็นรัฐบาลของคนเสื้อเหลืองและกลุ่มอำมาตยาธิปไตย  เห็นคนเสื้อแดง คนรากหญ้า พรรคเพื่อไทยและรากเหง้าของคุณทักษิณเป็น “ศัตรู”
                เครือข่ายทักษิณ  ต้องการโค่นล้มรัฐบาลมาร์ค  ภายใต้ความเชื่อและเรียกร้องความเป็นธรรม  ประกาศตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม  ทว่าก็ซ่อนปมผลประโยชน์ทั้งทางอำนาจทางการเมืองและอำนาจของกระบวนการยุติธรรมด้วยการปลด “โซ่ตรวน” ทั้งทางคดีและเงินตรา
                “ความปรองดอง” หรือ “ความสมานฉันท์” มันจึงเป็นเพียงประติมากรรม “น้ำลาย” เป็นเพียงกลยุทธ์ในการเอาชนะศัตรูทางการเมืองเท่านั้น
                “สงคราม” เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมแล้ว และจะเห็นความรุนแรงที่ปรากฎและที่ซ่อนเร้น รอวันปะทุ-ระเบิด นำสู่ความสูญเสียชีวิต-เลือดและน้ำตา
                สิ่งที่เจ็บช้ำน้ำใจและปวดร้าวก็คือ  ทั้งสองขั้วอำนาจที่ต่อกรกัน  ต่างก็อ้างสถาบันสูงสุดอันเป็นที่รักยิ่งของมวลมหาประชาชน  นำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” นำมาเป็นอาวุธที่สาดใส่อีกขั้วอำนาจหนึ่ง ด้วยความไม่ระมัดระวังและใส่ใจ-รักษาและเทิดทูลจริง-จริง  
                เฉพาะอย่างยิ่ง  บุคคลที่เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  จับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐ  มีอุดมการณ์ที่ตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตย  ไม่เลื่อมใส-ศรัทธาสถาบันใด-ใด  มาวันนี้ทิ้งปืนเข้าสู่แวดวงทางการเมืองทั้งในระบบรัฐสภาและการเมืองข้างถนน  กลับมาบอกว่า ตัวเองเทิดทูล-จงรักภักดี สุดจิตสุดใจ แล้วอีกฝ่ายหนึ่ง-ไม่ว่าจะแดงหรือเหลืองก็ตาม “ไม่จงรักภักดี” จนเกิดคำถามว่า พวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ???
                อำนาจพิเศษและบริสุทธิ์ของสถาบันอันเป็นที่รัก  นับเป็น “ยูโทเปีย” ของเราชาวไทย ที่เข้าแก้ไขปัญหาทั้งทางการเมือง ในเหตุการณ์สำคัญๆให้สงบลงอย่างนุ่มนวล และถอดปมความอยุติธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ให้เดินหน้ามุ่งสู่ความสุขที่ยั่งยืน เป็นตัวของตัวเองอย่างสง่างาม รู้จักรับและทิ้งด้วยการคัดสรรแนวทางแห่งความสุขสู่มวลชน
                ฉะนั้น  อย่าให้อาจมของนักการเมืองหรือคู่ต่อสู้ทางอำนาจ  ระรานก้าวเข้ามาจนสถาบันพิเศษนี้ต้องแปดเปื้อน-ดีกว่ากระมัง
                กล่าวสำหรับคุณอภิสิทธิ์และคุณทักษิณ  พร้อมกับพลพรรคของทั้งสองฝ่าย  ใช้เวลาว่างๆสงบๆทำจิตให้โปร่งใส  เปิดทางให้กับปัญญาแล้วทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง  ท่านจะค้นพบสัจธรรมที่จะนำทางให้ทั้งส่วนตัวและสังคม
                “รากเหง้า” แห่งปัญหาและจำต้องแก้ไขให้ “ลดทอน” ลงเรื่อยๆ คือความยุติธรรมในสังคม...
                ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณนิพนธ์  พัวพงศกร  ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ที่ชี้ว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  น่าจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
                เนื่องจากความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ  มีอยู่ในระดับสูงมาก  นโยบายของรัฐเปิดช่องให้มีการแสวงหา  “ผลกำไรส่วนเกิน” ในรูปแบบต่างๆ มีการผูกขาดด้วยการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงสร้างของรัฐ
                ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง  จึงมีโอกาสเรื้อรังต่อไป  เพราะการปฏิรูปทางการเมืองที่เน้นเฉพาะการเปลี่ยนแปลงกฏ กติกา การเลือกตั้ง  การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนิติบัญญัติ  บริหารและตุลาการ  จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองต่างๆได้  ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชนกลุ่มต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไข
                ครับ  โจทย์ใหญ่ของเราก็คือ  จะต้องมีการลงมือปฏิรูปหรืออาจจะปฏิวัติทางเศรษฐกิจ  เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลี่อมล้ำทางเศรษฐกิจ  ที่ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน “ถ่าง-ห่าง” กันอย่างลิบลับ  
                รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ป่าวประกาศเต็มๆรูหู แบบกรอกเช้า  สาย บ่าย เย็น ทั้งก่อนอาหารและหลังอาหารวันละ 4 เวลา ว่า จะสร้างเศรษฐกิจให้ไทยเข้มแข็ง  แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูนโยบายหรือมาตรการที่ออกมารองรับเงินกู้ 8 แสนล้านบาทแล้ว  มันไม่ใช่  มันเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น  เป็นโคตรประชานิยม  หาเสียงล่วงหน้าเพื่อฐานทางการลงคะแนนเท่านั้น  และก็เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการเอาชนะอีกขั้วอำนาจหนึ่ง  ขาดความจริงใจในการรังสรรนโยบายสาธารณะ
                ซึ่งคุณบัณฑูร  ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทยเห็นว่า  โครงการไทยเข้มแข็งที่ออกมาเป็นมาตรการชั่วคราวทั้งนั้น
                “โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น การคมนาคม   การศึกษา   กฏหมาย”
                หรือจะให้รวบรัดที่สุดก็คือ  รัฐบาลนี้ไม่ได้นำแนวทางปฏิรูประบบเศรษฐกิจ  ไม่ได้มองไปที่รากเหง้า  แต่ผลิตมาตรการมาอย่างฉาบฉวย
                ขณะที่มีการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจ  จะมีกระแสข่าวถึงการยึดอำนาจรัฐประหารจากผู้นำในกองทัพที่มีอาวุธออกมาเป็นระยะๆเช่นกัน  เพื่อว่าจะ “ล้างไพ่” ใหม่
                ในวิธีการอย่างนี้  ยังไม่รู้ว่า  จะเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง  หรือยิ่งเป็นการสร้างปมปัญหาขึ้นมาอีก  บทเรียนในอดีตของวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เฉพาะอย่างยิ่งในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มันได้กดหัวจักรของความเจริญและระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอุดมการณ์ของสังคมโลกให้ “จมดิ่ง” ลงไป-ลงไป   เพราะการจะใช้วิธีการยึดอำนาจมาสร้างประชาธิปไตยนั้น ผมว่าดูจะเป็นเรื่องที่ “ไร้เดียงสา” ยิ่งนัก
                และความไร้เดียงสานี้ไม่ได้อยู่ที่พื้นฐานความรู้ใด-ใด  แต่อยู่ที่จิตวิญญาณและความโปร่งใสในอำนาจ-ในผลประโยชน์ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ
                ผมเห็นด้วยและอยากเห็นจริงๆอย่างเร่าร้อนในลักษณ์ของ “ว่าด้วยการปฏิบัติ” หาใช่เพียงเล่ห์เพทุบายทางการเมืองในสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์สร้างเป็นเงื่อนไขหากจะมีการยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนตัดสินไว้ 3 ประการ
                1.อยากเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง (แต่นโยบายที่ออกมามันระยะสั้น- ฉาบฉวยและขาดความจริงใจ  มันจะยั่งยืนได้อย่างไร)
                2.อยากเห็นกติกาในการเลือกตั้งใหม่ (เป็นถึงนักการเมืองดาวสภา  เป็นถึงผู้บริหารสูงสุด มองสั้นมากแค่ กติกาเลือกตั้ง)
                3.อยากเห็นทุกฝ่ายเลิกขัดขวางการทำงานการเมืองของอีกฝ่ายหนึ่ง (แล้วตอนเป็นฝ่ายค้านไปสุมหัวกับใครเล่า  ตอนเป็นรัฐบาลก็ใช้กลไกรัฐเพื่อประชาชนหรือเพื่ออะไร)
ฉะนั้น เงื่อนไขทั้ง 3 ข้อ ไม่ได้เป็นประเด็นที่คุณอภิสิทธิ์มีความจริงใจจะทำให้เกิดขึ้นจริง เพียงพูดสร้างเกมเท่านั้น หรือว่าไม่จริง-เด็กแสบ
 
