เดิมพันทางการเมืองครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทย ของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มเบื่อหน่ายสถานการณ์แบบนี้ หรือแม้แต่กระทั่งบรรดากลุ่มคนเสื้อแดง จึงต้องถือว่าไม่ง่ายแน่ๆ เมื่อเจอบุคลิกแบบนายอภิสิทธิ์ขนาดไม่สนใจสัญญาณใดๆ ได้ ต้องถือว่านายอภิสิทธิ์พร้อมรบทางการเมืองอย่างเต็มที่
หากจะมองหาความสมานฉันท์ในบ้านเมืองนี้ มองยังไงก็ยังมองไม่ออก แต่หากจะมองหาปัญหา บอกได้เลยว่า มีให้เห็นร่องรอยเพียบไปหมดนี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ภายใต้การทำหน้าที่รัฐบาลบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะไม่วุ่นได้อย่างไร ในเมื่อทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่รัฐบาลดำเนินการในเวลานี้ ล้วนใช้การเมืองนำหน้าแทบทั้งสิ้นจะแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ก็ใช้การเมืองนำหน้าคงต้องชมกันตรงๆว่า ไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหน มุ่งมั่นกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร. เท่ากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเพราะกล้าที่จะประกาศจุด
ยืนอย่างชัดเจนว่า คนที่ต้องการให้เป็นให้ได้นั้น คือ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เท่านั้น จะไม่เอาคนอื่นใดอย่างเด็ดขาดเป็นการกล้าที่จะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนโดยไม่หวั่นต่อสัญญาณทางการเมือง หรือสัญญาณพิเศษใดๆ ทั้งสิ้นยอมแม้กระทั่งว่านายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ จะลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เป็นไร แต่ยืนยันว่า ไม่เอา พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย หรือใครทั้งสิ้นหาก พล.ต.อ.ปทีปไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ต้องได้ ก็ปล่อยให้มันคาราคาซังไปเรื่อยๆ
แบบนี้แหละ เป็นความมุ่งมั่นและยืนหยัดที่น่าทึ่งของนายอภิสิทธิ์ จริงๆดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจ กับความพยายามหรือความมุ่งมั่นที่จะต้องไปปฏิบัติภารกิจที่เชียงใหม่ให้ได้ ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้จะมีการรวมกลุ่มต่อต้านสักแค่ไหนก็ไม่สน... จะต้องไปให้ได้ต่อให้ต้องใช้งบประมาณมากขนาดไหน ใช้กำลังตำรวจและทหารมากเพียงใด รวมทั้งต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ไว้ทั้งควบคุมสถานการณ์ หรือแม้แต่ใช้เพื่อกรณีจำเป็นต้องเดินทางหลบออกจากพื้นที่อย่างกระทันหันแต่
นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องไปให้ได้ใครจะมองว่าเป็นการยั่วยุ หรือแม้แต่กระทั่งเป็นการจงใจแสดงให้เห็นถึงการตามราวีประท้วงขับไล่ของคนเสื้อแดง ของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ก็ไม่สนใจ สุดแท้แต่ว่าใครจะมอง... นายอภิสิทธิ์ยืนกรานเพียงว่าต้องไปให้ได้ เพราะอาจจะคิดว่านั่นคือชัยชนะทางการเมืองที่จะตามมา เนื่องจากหากสามารถไปที่จังหวัดใดก็ได้ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน นั่นก็แปลว่าการต่อต้านของกลุ่มคนเสื้อแดงสิ้นฤทธิเดชลงแล้วแน่นอนว่าหากนาย
อภิสิทธิ์ คิดเช่นนี้จริงๆ ก็แปลว่า สิ่งที่ปรารถนาคือการสยบกลุ่มคนเสื้อแดงนั่นเองวันนี้นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจได้ เพราะการรวมตัวต่อต้านไม่ต้อนรับนายกรัฐมนตรี ไม่มีนักประชาธิปไตยที่ไหนใช้วิธีการแบบนี้ ซึ่งไม่เป็นผลดี และไม่เป็นประชาธิปไตย จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทุกฝ่าย แต่นายอภิสิทธิ์ อาจจะลืมไปว่า ในวันที่ม็อบพันธมิตรฯ รวมตัวต่อต้านนายกรัฐมนตรี ถึง 3 คน ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทร
เวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ใช้วิธีการเช่นเดียวกันนี้ ที่เรียกว่าแผนดาวกระจายก็มาจากพันธมิตรฯ นี่แหละเพียงแต่นายอภิสิทธิ์ ที่พร่ำบอกว่ายึดมั่นในประชาธิปไตย วันนั้นกลับไม่ได้มีการออกมาบอกแม้แต่สักแอะ ว่าวิธีการของม็อบพันธมิตรฯ ไม่เป็นประชาธิปไตย และสร้างความเสียหายโดยวิธีการเดียวกัน เมื่อคนเสื้อแดงเห็นพันธมิตรฯ ทำได้ ก็เลยทำบ้าง ไฉนนายอภิสิทธิ์ จึงกลับเกิดมีมุมมองที่แตกต่างกันขึ้นมา... เหมือนเสียงครหาที่ว่า “ม็อบมีเส้น” กับ “ม็อบ
ไม่มีเส้น”กระนั้นหรือยิ่งเรื่องของกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา จนถึงวันนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ยังคงยืนหยัดมั่นคงในการที่จะกระเตงนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อไปอย่างเหนียวแน่นทั้งๆ ที่สื่อกระแสหลักทั้งหมดของประเทศนี้ นักวิชาการที่เป็นกลาง รวมกระทั่งบรรดานักการทูต และคนในกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็พากันมองตรงกัน และวิพากษ์วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่านายกษิต คือ จุดอ่อน....!!และนายกษิตนี่แหละ
ที่ทำให้ไทยดำเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผิดพลาดแต่นายอภิสิทธิ์ก็ยืนยันว่าไม่มีการปลด ไม่มีการปรับ และไม่มีการเปลี่ยนนายกษิตออกจากรัฐบาลอย่างแน่นอนเพราะทอดตาทั่วทั้งพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ หาใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เท่ากับนายกษิต ไม่มีอีกแล้วฉะนั้นไม่ว่าอย่างไร ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี ตราบนั้นนายกษิตจะต้องเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคู่บุญนายอภิสิทธิ์ไป
ตลอดก็ขนาดกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ระบุว่าอาจจะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเกิดขึ้นก็ได้นายอภิสิทธิ์ ยังไม่สะดุ้งสะเทือน มั่นใจในผลงานชนิดเต็มร้อยประกาศสวนทันทีว่า ไม่รู้สึกกังวล เพราะถือว่ามีหน้าที่ทำงาน และก็ได้พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแล้ว ดังนั้น ก็จะเดินหน้าทำงานต่อไป โดยไม่เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนขั้วหรือใครจะมาขีดเส้นตายว่า จะเป็นรัฐบาลที่อยู่ไม่ถึงปีใหม่นั้น ก็ไม่มีทางทำให้นายอภิสิทธิ์ หวั่นไหวแม้แต่น้อยนี่คือบุคลิกที่
น่าทึ่งของนายอภิสิทธิ์ เพียงแต่หลายๆ คนอาจจะมองว่า จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่บุคลิกของ “เด็กดื้อ” แต่หากมองกันด้วยใจเป็นธรรม สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจและเดินหน้ากระทำอยู่ในเวลานี้ มันไม่ใช่เด็กดื้อแล้ว... ระดับของเด็กดื้อไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีดีกรีมากขนาดนี้แต่นี่คือความเชื่อมั่นที่สูงมากเป็นพิเศษดังนั้น ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดรวมพลกันแสดงพลังในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ หากยังประเมินนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นเพียงเด็กดื้อแล้ว ระวังคนเสื้อแดง
เองจะเป็นฝ่ายเสียท่าเพราะไม่ว่าอย่างไร พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้น คนเสื้อแดงโดนแน่ๆ รวมทั้งดีไม่ดีกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ก็จะโดนไปด้วยเพราะมีบรรดาสาวก หรือบรรดาองครักษ์ออกมาโยนหินถามทางกันแล้วว่า หากจำเป็นต้องนำกฎหมายมาบังคับควบคุมการชุมนุม การต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ต้องทำการชุมนุมที่จะไม่มีการควบคุมนั้น จะมีได้เพียงเฉพาะกลุ่มที่มีเส้นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นกลุ่มอื่นๆ ห้ามลองของกับนายกฯ อภิสิทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่งเรื่องทุจริต
ต่างๆ ที่รัฐบาลถูกวิพาก์วิจารณ์อย่างหนัก นายอภิสิทธิ์ยิ่งเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สมควรแก่การให้ราคาใดๆ เลย ใครจะบอกว่าโครงการชุมชนพอเพียงทุจริตมโหฬารหรือโครงการไทยเข้มแข็ง มีการร่วมไหลอย่างมากมาย มีนักการเมืองซีกรัฐบาลจ้องกัดแทะกันอุตลุด ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เห็นการรับเงินหรือการโกงกินต่อหน้าต่อตาแล้ว ไม่มีวันที่จะเชื่ออย่างเด็ดขาดทุกข้อกล่าวหาถูกมองว่าเป็นการกล่าวหาทางการเมือง เป็นการจ้องโค่นล้มรัฐบาล หรือต้องการให้
เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเท่านั้นฉะนั้นเดิมพันทางการเมืองครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทย ของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มเบื่อหน่ายสถานการณ์แบบนี้ หรือแม้แต่กระทั่งบรรดากลุ่มคนเสื้อแดง จึงต้องถือว่าไม่ง่ายแน่ๆ เมื่อเจอบุคลิกแบบนายอภิสิทธิ์ขนาดไม่สนใจสัญญาณใดๆได้ ต้องถือว่านายอภิสิทธิ์พร้อมรบทางการเมืองอย่างเต็มที่และวันนี้นายอภิสิทธิ์ถือเป็น “นักการเมืองเขี้ยวลากดิน” ระดับแถวหน้าแล้ว