บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิกฤตที่ยิ่งกว่าที่สุดในโลก

ที่มา มติชน

โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่



เหตุการณ์ความสับสน ปั่นป่วน วุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เกิด "วิกฤตศรัทธา" กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมวลชนออกมาต่อต้าน ขับไล่จน พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 และเมื่อจัดการเลือกตั้งปรากฏว่า 3 พรรคการเมืองฝ่ายค้านประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน พร้อมใจกันบอยคอต ไม่ส่งสมาชิกลงแข่งขันเลือกตั้ง ต่อเนื่องมาจนถึงปลายเดือนเมษายน 2549

"เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก"

เป็นพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล ประจวบคีรีขันธ์

หลังจากมีพระราชดำรัสกับผู้พิพากษาศาลฎีกาและก่อนนั้น (วันเดียวกัน) ก็มีพระราชดำรัสกับคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ได้มีคำวินิจฉัย และคำพิพากษาของศาลปกครอง ศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมาในคดีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 2 เมษายน 2549 ที่สำคัญคือ ให้การเลือกตั้ง ส.ส.เป็นโมฆะ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

จากนั้นมา ความยุ่งเหยิงทางการเมืองก็มิได้เบาบางลง ทั้งๆ ที่วันเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2549

ที่สำคัญ นายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการได้นำหนังสือตราครุฑลับเฉพาะ ด่วนที่สุด อัญเชิญพระราชกระแสประกอบพระราชกฤษฎีกาเพื่อเรียนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง พระราชกระแสที่ปรากฏในหนังสือมี 2 ข้อ ดังนี้

1.เหตุผลที่ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกานั้นก็เพราะมีพระราชประสงค์จะเห็นประเทศชาติกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็วและ

2.ทรงมีพระราชประสงค์ให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในคราวต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรมอย่างแท้จริง

จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการสนองพระราชกระแสโดยด่วน - นี่เป็นบันทึกข้อความของราชเลขาธิการ

แต่แล้วในวันที่ 19 กันยายน 2549 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณที่รักษาการก็ถูกรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ก่อนถึงวันเลือกตั้งไม่ถึง 1 เดือน อย่างนี้จะถือว่าขัดต่อพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์หรือไม่ ?!?

จาก 19 กันยายน 2549 มาถึงวันนี้ วันที่ใกล้จะสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2552 และกำลังจะเข้าสู่ศักราชใหม่ 2553 เป็นเวลา 3 ปีเศษ ความโกลาหลของบ้าน เมือง ความขัดแย้ง แตกแยกของนักการเมืองและคนไทยกลับทวีขึ้น ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่จ้องจะห้ำหั่นกัน เหตุการณ์จลาจลนองเลือดเข้าสู่ขั้น "กลียุค" จากน้ำมือของมวลชนกระทำต่อมวลชนและตำรวจ-ทหารใช้อาวุธและกฎหมายกระทำกับมวลชนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มีคนตายและเจ็บจำนวนมาก

ทำเนียบรัฐบาลถูกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้าไปยึดนาน 3-4 เดือน สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิถูกปิดนานนับสัปดาห์ เสียหายเป็นเงินมหาศาล โดยที่การดำเนินคดีของตำรวจยังอืดอาดล่าช้าคล้ายกับเจตนาจะถ่วงรั้งเอาไว้ให้นานที่สุดเพื่อจะช่วยเหลือพวกเดียวกัน ทำให้เป็นข้อโจมตีจากอีกฝ่ายว่าเมื่อบ้านเมืองนี้ไม่มีความเป็นธรรม อย่าหวังเลยที่จะเกิดความปรองดองและความสงบสุข

แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการขาดความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยซึ่งกระทบต่อการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ที่ตกต่ำกลายเป็น "บ้านป่าเมืองเถื่อน" เหนืออื่นใด ความย่อยยับของประเทศที่มิอาจประเมินค่าเป็นทรัพย์สินเงินทองได้ ก็คือ

การที่นักการเมือง/พรรคการเมืองและมวลชนที่ต่างสีเสื้อใส่ร้าย ป้ายสี ด่าทอ สาดโคลนกันไปมาตลอดเวลาแล้วก็ใช้ความรุนแรงสารพัดรูปแบบเข้าประหัตประหาร ราวกับไม่ใช่คนไทยด้วยกัน

ยังพยากรณ์ไม่ได้ว่าการนัดชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-2 ธันวาคมนี้ เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ และจะนำพาประเทศไทยและคนไทยถลำลึกไปสู่ห้วงเหวแห่งความหายนะล่มจมอีกแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ

สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ได้เลยห้วงเวลาของวิกฤตที่สุดในโลกมานานแล้วและวิกฤตมากเกินกว่าจะที่ใครจะคาดคิด!

ถามว่าใครจะแก้ "วิกฤตที่ยิ่งกว่าที่สุดในโลก" ดูแล้วก็ไม่เห็นมีใครจะแก้ไขได้ นักการเมืองและพรรคการเมืองเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาล้างผลาญกันเอง อ้างแต่หลักกฎหมายหรือหลักนิติศาสตร์และอ้างว่ามีอำนาจเต็มที่จะจัดการเพราะเป็นรัฐบาลโดยแกล้งมองข้ามหลักรัฐศาสตร์ที่ต้องใช้ "การเมือง" เข้ามาผสมผสาน อีกทั้งลืมไปว่าการเป็นรัฐบาลที่ดีนั้น มีหน้าที่แก้ไขปัญหาบ้านเมือง ความทุกข์ยาก เดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศให้กินดีอยู่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ใช่มัวแต่จะคอยหักโค่นอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมัวเมาในอำนาจ จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟอยู่ในเวลานี้

ข้าราชการประจำโดยเฉพาะทหาร ตำรวจ ก็ตกเป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองเพื่อให้พรรคพวกของตนเป็นฝ่ายชนะ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าประเทศจะก้าวข้ามวิกฤตที่ยิ่งกว่าที่สุดในโลกไปได้อย่างไร ?

ผู้ปกครองประเทศที่หลงในอำนาจไม่ว่าจะพูดอะไรหรือกระทำการใดในแต่ละวัน มิได้คำนึงเลยว่า ในขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ในพระอาการประชวร ยังไม่ได้เสด็จออกจากจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อกลับพระราชวัง พระองค์จะทรงเป็นทุกข์ขนาดไหนเมื่อเห็นคนไทยทะเลาะและทุบตีทำร้ายกันกลางบ้านกลางเมือง ไม่รู้จักเลิกรากันเสียที

"เราต้องให้พรทุกฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ให้กำลังทำได้ดี แต่วันนี้ ไม่พูดให้ทำอะไร ทะเลาะกันไม่เอา ไม่ทะเลาะ ให้ทำอะไรที่ดูดี และอย่าคิดเกิน อย่าเลยเถิด แต่ถ้าทุกคนทำงานเหมาะสม บ้านเมืองไปได้ ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่มีการหัวชนฝา......"

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ที่อัญเชิญมานี้ ควรที่ผู้มีอำนาจทั้งนักการเมือง ผู้นำเหล่าทัพและตำรวจ ตลอด จนทุกฝักทุกฝ่ายควรกลับไปอ่านแล้วประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะน้อมนำไปปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้คนไทยเลิกทะเลาะกันแล้วปิดฉาก "สงครามกลางเมือง" กันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่บ้านเมืองจะหายนะล่มจมและคนไทยต้องฆ่ากันให้เจ็บและตายไปมากกว่านี้

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker