ครั้งที่แล้ว ผมได้พูดถึงว่าหากมองจากสังคม อะไรคือปัญหาของสื่อที่น่าจะปฏิรูป
 ในครั้งนี้ ผมขอเสนอว่า หากสังคม (ไม่ใช่รัฐ) สามารถกำกับการปฏิรูปสื่อได้
 เส้นทางปฏิรูปสื่อควรเป็นอย่างไร
 1/  รัฐต้องโปร่งใสมากขึ้น  โปร่งใสหมายความว่าเปิดตัวเองให้คนอื่นๆ  สามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง  เพื่อเขาจะได้สามารถตรวจสอบรัฐได้ในทุกแง่   ไม่เฉพาะแต่แง่โกงเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงแง่โง่,   แง่หาประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่ใส่ใจต่อประโยชน์ของส่วนรวม, ฯลฯ
 นอก จากต้องแก้กฎหมายและระเบียบราชการ   ที่จะเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐได้สะดวกขึ้นกว่าที่มีอยู่ใน   พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของรัฐในปัจจุบันแล้ว   รัฐและหน่วยงานของรัฐก็ต้องกระตือรือร้นในการให้ข้อมูลเองด้วย   ไม่ต้องตามจี้กันไปทุกเรื่อง เคยมีความคิดกันว่า   เอกสารราชการส่วนใหญ่ควรเอาลงในเว็บไซต์ของหน่วยงาน   เพราะถึงอย่างไรในปัจจุบัน ก็เตรียมเอกสารเหล่านี้ในระบบดิจิตอลหมดแล้ว   ไม่ได้เพิ่มแรงงานอะไรขึ้นมา   ที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าถึงได้ด้วยปลายนิ้วอยู่แล้ว
 แน่ นอนว่า พ.ร.บ.ข่าวสารข้อมูลของรัฐก็ควรปรับ ปรุงแก้ไข   เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ต้องการข้อมูลที่ถูกปิดกั้นโดยหน่วยงานของรัฐ   หรือรัฐร่วมกับเอกชน ในเวลาอันรวดเร็วพอสมควร
 สื่อ มีหน้าที่ต้องฉายแสงไปให้ประชาชนได้เห็นหลังบ้านของรัฐอย่าง โจ่งแจ้ง  การจ้องมองและเห็นคืออำนาจ   ในยุคสมัยที่รัฐมีความสามารถในการจ้องมองและเห็นประชาชนแต่ละคนได้มากขึ้น
 ประชาชนก็ต้องมีความสามารถไม่น้อยไปกว่ากันที่จะจ้องมองและเห็นรัฐได้ไม่น้อยกว่ากันบ้าง
 2/ จำเป็นต้องทบทวน พ.ร.บ.ความผิดทางคอมพิวเตอร์กันใหม่
 จุด มุ่งหมายหลักของกฎหมายประเภทนี้ คือทำให้ทุกคนปลอดภัยจากการขโมย,  ละเมิด  และถูกรังแก เพราะอินเตอร์เน็ตสร้างตลาดชนิดใหม่   ซึ่งนับวันก็มีการแลกเปลี่ยนสินค้า, บริการ, ข้อมูลข่าวสาร,   และความคิดในปริมาณมากขึ้นทุกที จนกระทั่งในอนาคตอันใกล้   ตลาดออนไลน์จะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของการแลกเปลี่ยนดังกล่าว   รัฐนับตั้งแต่โบราณมามีหน้าที่ปกป้องให้ตลาดปลอดภัยและเป็นธรรม   รัฐก็ต้องทำอย่างนั้นกับตลาดออนไลน์เหมือนกัน
 แต่ ความคิดที่มีกฎหมายเพื่อปกป้องระบอบปกครอง   และระบบสังคม-วัฒนธรรมในตลาดประเภทนี้   เป็นความคิดที่ไม่อาจทำได้ในความเป็นจริง   เพราะมีวิธีการร้อยแปดที่จะเล็ดลอดเข้าสู่พื้นที่ไซเบอร์   (อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติแล้วพื้นที่นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นพื้นที่เปิด)
 คง ถึงเวลาเสียทีที่ต้องคิดถึงการปกป้องคุณค่าของระบอบการปกครองก็ตาม   ของระบบสังคม-วัฒนธรรมก็ตาม ด้วยสติปัญญาแทนการใช้อำนาจ   ถึงอย่างไรก็ไม่มีเทคโนโลยีอะไร   หรืออำนาจอะไรที่จะสามารถปิดกั้นการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลและความคิดเห็น  กันอย่างเสรีได้เสียแล้ว   แทนที่จะเสียกำลังทรัพย์และกำลังคนไปนั่งคอยจับผิดผู้คน   ใช้เงินและทรัพย์นั้นไปในทางที่จะทำให้การถกเถียงอภิปรายกันบนพื้นที่นี้   เป็นไปด้วยเหตุผลและข้อมูลที่เป็นจริงดีกว่า
 สิ่งที่มีคุณค่าจริง ย่อมยืนยงได้ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง ไม่ใช่อำนาจดิบ
 อำนาจ ที่รัฐได้ไปจาก พ.ร.บ.ที่ใช้อยู่ในขณะนี้   รัฐใช้มันอย่างที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้เลย   เป็นอันตรายต่อการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลอย่างยิ่ง   กฎหมายใหม่เพื่อการปฏิรูปสื่อจึงต้องลดอำนาจรัฐลง   และสร้างกระบวนการที่อำนาจรัฐในการใช้ดุลพินิจ   ต้องถูกตรวจสอบหรือยับยั้งได้ตลอดเวลา
 3/  หนังสือพิมพ์ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของตนมานาน   กว่าสังคมจะยอมรับว่าเสรีภาพของหนังสือพิมพ์มีความสำคัญ   สื่อทางเลือกซึ่งเป็นสื่อชนิดใหม่ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น   ก็ควรได้เสรีภาพของตัว โดยไม่ต้องใช้เวลาต่อสู้ยาวนานอย่างนั้น   ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์, วิทยุชุมชน, โทรทัศน์ชุมชน, หรือสื่อประเภทอื่น   ต้องได้รับหลักประกันเรื่องเสรีภาพเหมือนกัน ต้องเข้าใจว่า   เราอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่สื่อจะมีขนาดเล็กลง   และครอบคลุมตอบสนองต่อผู้คนในวงแคบกว่าเดิม   แต่ทุกคนกลับเข้าถึงสื่อได้ง่ายกว่า
 หาก คิดถึงเสรีภาพของสื่อเฉพาะแต่สื่อขนาดใหญ่ เช่น   หนังสือพิมพ์และทีวีในทุกวันนี้   เสรีภาพนั้นก็อาจไม่เป็นหลักประกันเสรีภาพในการรับรู้ของผู้คนมากนัก   เพราะจะมีคนใช้สื่อประเภทนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ
 4/ ถึง แม้ปัจจุบัน  อำนาจรัฐตามกฎหมายที่จะใช้ในการควบคุมสื่ออาจลดน้อยลง   แต่สื่อซึ่งกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว   กลับอ่อนไหวต่อการคุกคามและกำกับของรัฐ   (ที่จริงคือนักการเมืองที่ใช้อำนาจรัฐ) ได้มากกว่าเดิม   เพราะรัฐกุมงบฯโฆษณาก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นของกระทรวงทบวงกรมและรัฐวิสาหกิจ   (รวมบริษัทมหาชนที่รัฐถือหุ้นใหญ่ด้วย)   จึงอาจลงหรือถอนโฆษณาเพื่อกำกับสื่อได้ด้วย
 การเข้าถึงแหล่งข่าว ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รัฐเลือกจะเปิดหรือปิดแก่สื่อได้ และย่อมกระทบต่อการแข่งขันทางธุรกิจของสื่ออย่างแน่นอน
 จนถึงที่สุด มาตรการนอกกฎหมาย เช่น การคุกคามด้วยการออกหนังสือขอความร่วมมือ ไปจนถึงปาระเบิดข่มขู่ ก็เป็นสิ่งที่รัฐยังใช้อยู่
 เรา ควรกลับมาคิดถึงกระบวนการที่จะควบคุมรัฐ   มิให้ใช้มาตรการในกฎหมายและนอกกฎหมายเหล่านี้ในการควบคุมสื่อ เช่น   จะทำอย่างไร รัฐจึงจะไม่อาจใช้อำนาจการวางโฆษณาเป็นเครื่องมือควบคุมสื่อได้   เป็นต้น
 การเข้าถึงแหล่งข่าวควรถือว่าเป็นสิทธิ เสมอภาคแก่สื่อทุกชนิด  อย่างน้อยก็ในบรรดาหน่วยงานของรัฐทั้งหมด   จะไม่มีสื่อใดถูกกีดกันจากการให้ข่าวที่เป็นทางการของหน่วยงาน
 การ คุกคามสื่อในทางลับจะเกิดขึ้นไม่ได้  หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในด้านนี้   ต้องเอาจริงเอาจังกับอาชญากรรมประเภทนี้อย่างไม่ไว้หน้า  หากสื่อฟ้องร้องถึง  ผู้บังคับบัญชา   รัฐต้องดูแลว่าผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นพร้อมจะสืบสวนสอบสวน   เพื่อลงโทษบุคคลที่คุกคามสื่อ
 5/  ควรมีหน่วยงานในภาคสังคม ที่มีความเป็นกลางจริง   ในการเฝ้าติดตามตรวจสอบสื่อ และรายงานผลให้สังคมได้รับรู้อยู่เป็นประจำ   ต้องหาทางให้หน่วยงานนี้ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ   โดยไม่ต้องอยู่ในอาณัติของผู้ให้ทุนจนไม่สามารถให้ความเห็นที่เป็นกลางได้  จริง ในขณะเดียวกันก็ควรสร้างหน่วยงานให้มีสมรรถภาพในการเฝ้าติดตาม   และประเมินได้ดีด้วย
 หน่วยงานประเภทนี้ สามารถให้ความรู้ด้านสื่อแก่ประชาชนได้มาก
 ในขณะเดียวกัน ก็เท่ากับช่วยทำให้สังคมมีความสามารถในการอ่านสื่อ "ออก" (media literacy)
 6/ ประเด็น สุดท้ายเท่าที่ผมจะนึกออกก็คือ  การศึกษาวิชาสื่อ (ในชื่อ เช่น  นิเทศศาสตร์, สื่อสารมวลชน  หรือวารสารศาสตร์) ในระดับมหาวิทยาลัย  ควรได้รับการทบทวนปรับปรุงเสียที   วิชานี้สอนกันในมหาวิทยาลัยมาหลายสิบปีแล้ว และผลิตนักทำสื่อประเภทต่างๆ   ป้อนตลาดแรงงานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น   จึงควรมีส่วนรับผิดชอบต่อคุณภาพของสื่อที่อาจไม่ได้ดีขึ้นในหลายด้านด้วย
 ประเด็น ที่น่าทบทวนมีมาก เช่น  ยังควรรักษาหลักสูตรปริญญาตรีไว้ต่อไปหรือไม่   เพราะคนทำสื่อน่าจะมีวุฒิภาวะสูงกว่าความรู้ด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว   หากเปิดสอนแต่ระดับหลังปริญญาตรีอย่างเดียวจะดีกว่าหรือไม่   มหาวิทยาลัยควรมีภาระหน้าที่ด้านการผลิตคนด้านนี้ หรือผลิตความรู้ด้านนี้   โดยปล่อยให้สื่อผลิตคนของตนเอง หรือสื่ออาจร่วมมือกันในการผลิตคน (เช่น   สมาคมสื่อทำหลักสูตรของตนเอง และฝึกเอง เป็นต้น)   โดยมหาวิทยาลัยหาทางเชื่อมต่อความรู้ที่ตนสร้างขึ้นได้กับสื่อที่ทำงานอยู่  จริง
 ผมเชื่อว่า คนที่มีความรู้ด้านสื่อกว่าผม คงสามารถคิดถึงเส้นทางปฏิรูปได้อีกมาก โดยมีสังคมเป็นผู้นำการปฏิรูป ไม่ใช่รัฐเป็นผู้นำ
  
