

ใครอนุญาตให้ฆ่า Fabio Polenghi ?

ความตายของ"ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ" รัฐบาลไทยไม่มีคำตอบ !!!
โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ
เหตุการณ์ การสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553    ที่ผ่านมาได้สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมาย   ในจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้ง 91   ราย นั้น มีนักข่าวต่างประเทศอยู่ด้วย  2      คน และ มีกรณีที่สื่อมวลชนได้รับ บาดเจ็บมากถึง  10   ราย   โดยในจำนวนนี้บางรายอาจต้องเสียสมรรถภาพทางร่างกายไปตลอดชีวิต   นอกจากนี้แล้ว   ยังมีกรณีการเซ็นเซอร์และปราบปรามสื่ออีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   ตั้งแต่หลังช่วงปี ค.ศ.  90 
    
ภายหลังเหตุการณ์สงบแล้ว   ต่างฝ่ายต่างป้ายความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้กระทำความเสียหาย   ให้เกิดขึ้น   ซึ่งตราบจนบัดนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่จะต้อง  เป็นผู้รับผิดชอบในการสูญเสียครั้งนี้   หนึ่งในองค์กรที่เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีผลการสอบสวนปรากฏออกสู่สาธารณ  ชนไปทั่วโลกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็คือ   องค์กรของผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Reporter   without Borders หรือ Reporters sans frontières   โดยจัดทำเป็นรายงานการสอบสวน(investigation report)ในชื่อว่า THAILAND   LICENCE TO KILL
    
องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้สัมภาษณ์และวิเคราะห์ในกรณีสื่อมวลชนได้รับการคุกคาม ดังต่อไปนี้
      
1. การเสียชีวิตของนักข่าวอิสระชาวอิตาเลียน นาย Fabio Polenghi
     
 2. การเสียชีวิตของผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ
      
3. กรณีการบาดเจ็บของ นาย Nelson Rand ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ France24
      
4. กรณีการปิดกั้นเว็บไซต์ประชาไท
     
 5. กรณีวางเพลิงสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3
      
6. การสัมภาษณ์นางสาว Agnès Dherbeys ช่างภาพหนังสือพิมพ์ The New York Times ในขณะเกิดเหตุ
      
7. กรณีนายสุบิน นวมจันทร์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์มติชนได้รับบาดเจ็บ
      
8. กรณีนาย Chandler Vandergrift นักข่าวอิสระชาวแคนาดาได้รับบาดเจ็บสาหัส
      
9. คำบอกเล่าของสื่อมวลชนชาวต่างประเทศที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ
      
10. กรณีนายไชยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพอาวุโสของหนังสือพิมพ์ The Nation ได้รับบาดเจ็บสาหัส
    
 องค์กร  ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนตั้งคำถามว่าจำนวนสื่อมวลชนที่ได้รับบาดเจ็บและเสีย  ชีวิตนั้น เป็นผลมาจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ทั้งนี้   มีนักข่าวมากมายที่ทำงานเสนอข่าวในบริเวณที่ชุมนุม   และมีจำนวนหนึ่งที่อาจขาดการอบรมด้านการทำงานในพื้นที่อันตรายหรือไม่   ได้ใช้อุปกรณ์การป้องกันภัย   ที่พอเพียงรวมถึงการขาดการอบรมในด้านการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อ  พลเมืองของทหารที่ ทำหน้าที่ควบคุมและสลายการชุมนุม   หรือว่าเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากความตั้งใจ คุกคามสื่อมวลชน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนชาวต่างประเทศโดยตรง
      
ผู้ สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวชาวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่ ว่า  ในช่วงวันสุดท้ายของการชุมนุมนั้นทหารได้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน   และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักข่าว นั่นแสดงให้เห็นว่า   ทหารไม่ได้เคารพกติกาของการปฏิบัติ( Rules of Engagement ) แต่อย่างใด
    
ซึ่งในประเด็นนี้ ดร.ธานี ตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวว่า ทหาร  ได้รับคำสั่งให้เคารพ ข้อปฎิบัติเฉพาะ   แต่เมื่อมีการยิงทหารไร้อาวุธในวันที่ 16 เมษายน นั้น   ทหารก็ได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตนเองจากชายชุดดำ   ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับผู้ชุมนุม นปช. แต่เขาได้ย้ำว่า กองทัพไม่ได้   รับการอนุญาตให้ยิงประชาชนแต่อย่างใด
    
 
ประเด็น สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนคือการเซ็นเซอร์  สื่อที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมือง รวมถึงการปิดปากตัวเอง   (Self-Censorship) ของสื่อบางส่วนด้วย ในกรณีนี้   ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)   ยังได้มีคำสั่งให้ปิดกั้นสื่อมากมาย รวมทั้งประชาไทด้วย ทั้งนี้   ดร.ธานีได้ยืนยันกับองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนว่า   รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสรีภาพสื่อเป็นอย่างยิ่ง   แต่ได้เพิ่มเติมว่าสถานการณ์ฉุกเฉินบังคับให้สื่อต้องมีความรับผิดชอบในการ  ทำงาน
    
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น   โดยมีเป้าหมายจะสะท้อนเสียงของกรณีตัวอย่าง 10 ราย   ที่สื่อมวลชนได้รับการคุกคาม หรืออันตรายทั้งจากฝ่ายแรก ได้แก่ ทหาร   หน่วยกำลังพิเศษ และทหารรับจ้าง   และฝ่ายที่สองคือผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งเป็นสมาชิกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ  ต้านเผด็จการแห่งชาติ   โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเลือกที่จะเป็นสื่อกลางและกระบอกเสียงให้แก่สื่อมวล  ชนในครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้ว   ยังได้สัมภาษณ์ตัวแทนจากรัฐบาลไทยและทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.   ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย   ซึ่งบางกรณีตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการคุกคามสื่อมวลชน   ทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างชัดเจน
    
ผู้  สื่อข่าวไร้พรมแดนย้ำให้เห็นความสำคัญของการสอบสวนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นใน  ช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้อย่างโปร่งใส   และเสนอให้มีการขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ   เนื่องจากหากไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระแล้วไซร้   เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ
    
ผู้   สื่อข่าวไร้พรมแดนเรียกร้องให้มีการเพิ่มทั้งทรัพยากรและอำนาจแก่คณะกรรมการ  สอบสวนข้อเท็จจริง   เพื่อให้คณะทำงานดังกล่าวมีความอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง และ   ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน  แห่งสหประชาชาติ   ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบัน คี   มุน ให้ความร่วมมือกับประเทศไทย โดยการให้องค์กรต่างๆ   ของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมกับการสอบสวนในครั้งนี้   โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและข้อมูลแก่คณะทำ  งานอย่างโปร่งใสและเป็นอิสระ
    
จะ เห็น  ได้ว่ารายงานการสอบสวนฉบับนี้เป็นการรายงานของมืออาชีพที่แท้จริงที่เราทุก  คนและฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะหามาอ่าน   เพราะแสดงให้เห็นว่าการคุกคามสื่อนั้นมีมาจากทั้งสองด้าน   คือทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุม   ซึ่งแกนนำรัฐบาลหรือแกนนำผู้ชุมนุมจะทราบหรือไม่ก็ตาม   แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วจริง   ที่สำคัญก็คือกองทัพไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าประชาชน(Licence to Kill)   แต่อย่างใด
     
แต่การสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตนั้นเกิด ขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจะต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน เพียงแต่ฝ่ายรัฐบาลอย่าเพิ่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมดังเช่น กรณี 6 ตุลาออกมาเสียก่อนก็แล้วกัน อย่างไรก็ดีถึงแม้จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาก็ตาม การ นิรโทษกรรมนี้ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะยกเว้นเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่าง ประเทศ(หากจะมีผู้หยิบยกและให้สัตยาบันต่อไปในภายหน้า)แต่อย่างใด
( จาก เว๊บไซต์ www.pub-law.net )
 
