กรรมการ คณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปหมอประเวศ เผยอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำแผนปฏิรูประบบภาษีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ โดยภาษีตัวแรกที่อยู่ระหว่างการศึกษาขณะนี้คือภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 7% เป็น 10%
25 ส.ค. 53 - นายนิพนธ์ พัวพงศกร   ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ในฐานะกรรมการ   คณะกรรมการสมัชชาปฎิรูป(คสป.) ที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน   เปิดเผยว่า   คณะกรรมการฯอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำแผนปฏิรูประบบภาษีเพื่อให้เกิดความ  เป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ ได้แก่ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)   ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิต ภาษีทรัพย์สินและที่ดิน   ภาษีการซื้อขายหุ้น โดยภาษีตัวแรกที่อยู่ระหว่างการศึกษาขณะนี้คือ   ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับโยบายการจัดระบบสวัสดิการสังคม   ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   นายกรัฐมนตรีให้นโยบายชัดเจนที่จะให้เกิดขึ้นให้ได้ในอนาคต
"ในเมื่อ สวัสดิการสังคมเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ   ภาษีแวตก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่เช่นกัน ทั้ง 2   ส่วนนี้น่าจะมารวมกันได้   ภายใต้แนวคิดว่าเมื่อคุณต้องการให้รัฐบาลดูแลสวัสดิมากขึ้น   ก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนอัตราการเรียกเก็บแวตที่จะเพิ่มขึ้นนั้น   น่าจะเป็น 3% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 7%  รวมเป็น 10%   โดยในอัตรานี้ก็ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายปัจจุบันอยู่แล้ว   เพียงแต่รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือจึงได้ปรับลดลงมา"   นายนิพนธ์กล่าวและว่าการศึกษาเรื่องการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มและ  สวัสดิการสังคมดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจะแล้วเสร็จ   และเสนอรัฐบาลพิจารณาต่อไปได้
นายนิพนธ์กล่าวว่า   สำหรับภาษีตัวที่เหลือจะมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำใน  การจัดเก็บภาษี และการขยายฐานการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น   โดยในส่วนของคนที่ไม่เคยเสียภาษีมาก่อน   จะมีการวางกติกาให้เข้ามาอยู่ในระบบการเสียภาษี   เพื่อขยายฐานการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น เช่น   ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก(เอสเอ็มอี) พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงเกษตรกร   ส่วนวิธีการที่จะทำให้คนกลุ่มนี้เข้ามาสู่ระบบภาษีคือการกำหนดให้ทุกคนต้อง  ยื่นแบบการเสียภาษีตั้งแต่วันแรกที่ได้รับบัตรประชาชน   ส่วนจะมีรายได้เพียงพอที่จะต้องถูกประเมินภาษีหรือไม่   ค่อยมาว่ากันอีกขั้นตอนหนึ่ง
นายนิพนธ์กล่าวว่าในเรื่องการให้สิทธิ ประโยชน์ด้านส่งเสริมการลงทุน(บีโอ ไอ)ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน   โดยมีแนวคิดว่าการให้สิทธิทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุน   ไม่ควรจะให้เป็นการทั่วไป แต่จะต้องมีการเฉพาะเจาะจงเงื่อนไขสำคัญ เช่น   การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา(อาร์แอนด์ดี) เป็นต้น   เมื่อได้รับสิทธิประโยชน์ไปแล้วต้องถูกประเมินด้วยว่า   ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขขอรับส่งเสริมหรือไม่   ขณะที่บริษัททั่วไปซึ่งปัจจุบันถูกจัดเก็บในอัตรา 30%   อาจจะเสนอให้ปรับลดอัตราภาษีลงแบบขั้นบันได โดยมีเป้าหมายให้เหลือที่อัตรา   20%แทน
"ในกระบวนการจัดทำกฎหมายทุกประเภทคณะกรรมการฯจะมองเรื่องผล ประโยชน์ที่ ประเทศจะได้รับเป็นหลัก    และถ้ากฎหมายฉบับใดจัดทำแล้วเสร็จก็จะมีการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเป็นช่วงๆ   แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่" นายนิพนธ์ระบุ
รายงาน ข่าวแจ้งว่า   ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทสไทย(ธปท.)เคยมีข้อเสนอแนะในลักษณะเช่นเดียวกัน   โดยเห็นว่าการใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ อาจจำเป็นต้องมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้น   ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงยืนยันว่า   รัฐบาลยังไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ที่มาข่าว:
"สมัชชาปฎิรูป"ชงเก็บแวต10%ลดเหลื่อมล้ำปท. ดึง"เอสเอ็มอี-พ่อค้า-เกษตร"สู่ระบบภาษี (มติชน, 25-8-2553)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1282751189&grpid=03&catid=
 
