ที่มา เดลินิวส์
ถามว่า “ยี้” กับ “ขี้เหร่” มีความหมายเหมือนกันหรือไม่
คำตอบคือ ไม่เหมือนกัน แต่คล้ายกัน นั่นคือ “ยี้” หมายถึง “รับไม่ได้” ส่วน “ขี้เหร่” หมายถึง “ดูไม่ได้” ท้ายของทั้งสองคำมีคำว่า “ไม่ได้” ตามติดด้วยกันทั้งนั้น
พูดถึง รัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1” หรือ รัฐบาลใดก็ตาม เราจะเห็นรัฐมนตรีที่ดี และรัฐมนตรีที่ “ขี้เหร่” ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะร้องว่า “ยี้” แทบทั้งสิ้น
“ยี้” และ “ขี้เหร่” เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลายสาเหตุรวมกัน ดังนี้
เริ่มตั้งแต่ ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีหรือเจ้ากระทรวง ไม่เหมาะ ที่จะเข้าไปดูแลรับผิดชอบ ในกระทรวงซึ่งได้รับมอบหมาย
บางคน ไม่มีประสบการณ์ตรงกับงาน อย่างเช่นเคยทำธุรกิจเพาะเห็ดขายดันทะเล่อทะล่าไปดูงานเกี่ยวกับสื่อเป็นต้น เรียนมาตรงแต่ไม่เคยทำงานในด้านที่เรียนมาเลย ก็ถือว่าไม่มีประสบการณ์ได้เช่นกัน
บางคน โผล่มาจากดินมาจากป่าไหนก็ไม่รู้ ดันได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี บ้างเคยมีชื่อเสียงไม่ดีมาก่อน ถูกฟ้องร้อง ถูกตราหน้าว่ายอดคดโกง แต่ได้เป็นรัฐมนตรีก็เพราะ เงิน หรือ เส้นสาย อย่างนี้ล้วน “ยี้” เรียกว่า “พี่” แทบทั้งสิ้น
ที่หนักมาก ๆ คือ พวกที่ มีบุคลิกภาพ มีมารยาทไม่งาม พูดจาเกรี้ยวกราด ทำตัวกร่าง หรือเคยเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อน อย่างนี้ก็เรียกว่า “ขี้เหร่” สมควรถูกร้องว่า “ยี้”
ถามว่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวรู้ดีว่า ถ้าได้เป็นรัฐมนตรีจะถูกร้องว่า “ยี้” แล้ว ไฉนเลย ยัง หน้าทน เข้ามาเป็น
คำตอบคือ ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ หอมหวาน ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก เป็น แค่วันเดียวก็ยังดีกว่าไม่เคยเป็น บางคนมีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เกิด เมื่อเติบใหญ่ เมื่อโอกาส เปิดให้ แล้วทำไมจะไม่รับอนาคตจะเป็นอย่างไร ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง ที่เห็นบ่อย ๆ คือ รักษาสิทธิของความเป็นคู่ผัวตัวเมียของอดีตนักการเมืองคนดัง หรือความ เป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคเอาไว้ ไม่เป็นไม่ได้ อกจะแตกตายกันทั้งครอบครัว
“รมต.ยี้ รมต.ขี้เหร่” มีข้อดีอยู่เหมือน กัน นั่นคือผู้คน ไม่ค่อยคาดหวังอะไรมาก ทำดีแค่นิดหนึ่ง คนก็ชมแล้วและประการสำคัญ คนดีคนเก่งไม่ค่อยจะฟังผู้อื่น เชื่อมั่นในตัวเองจนบางทีพาประเทศชาติเข้ารกเข้าพงก็มีอยู่เหมือนกัน ข้อเสียมีเพียงประการเดียว คือ เมื่อไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อถูกดูถูกอาจหมดกำลังใจเอาง่าย ๆ ได้
รมต.ที่เข้าข่าย “ยี้” หรือ “ขี้เหร่” จะ สามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าทำตัวได้ดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องขยันเป็น 3 เท่า 5 เท่า มากกว่า พวกที่ได้รับการยอมรับตั้งแต่แรก
ประการที่สอง ต้อง เริ่มอ่าน เริ่มฟัง เริ่มศึกษา ในสิ่งที่ตัวไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญให้โดยเร็ว จะได้ไม่พลาด
ประการที่สาม ต้องมี ที่ปรึกษา เก่ง ๆ และเป็น ที่ปรึกษาซึ่งหวังดีต่อ รมต. ผู้นั้นจริง ๆ หลาย ๆ ครั้ง ความไม่รู้ทำให้ หลงเชื่อเหล่าที่ปรึกษาที่ไม่ดี จาก “ยี้น้อย” กลายเป็น “ยี้ใหญ่” ได้โดยฉับพลัน
ประการที่สี่ ต้องเป็นคน อ่อนน้อมถ่อมตนไม่คุยโวโอ้อวดว่าข้าแน่ อย่าทำอะไรให้ประชาชนเขาหมั่นไส้และอย่าทำอะไรให้ ข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือ ไม่รู้ก็ยอมรับว่าไม่รู้ และ ฟังผู้อื่นให้มาก ๆ พูดให้น้อยเข้าไว้เพราะ ยิ่งพูดมาก ยิ่งทำให้คนอื่นเขารู้ว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ๆ
ประการที่ห้า รู้ให้ชัด รู้ให้แจ้ง แล้วค่อยให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชนต้องทำตัวให้ดูว่าน่ารัก น่าสงสารและน่าให้ความร่วมมือ
และ ประการสุดท้าย เข้าใจ หยิบเอาเรื่องมีความสำคัญเป็น ลำดับแรก ๆ มาทำก่อน และทำให้สำเร็จ อย่าทำมากจนเปรอะ แล้วไม่ได้ดีสักอย่างหนึ่ง
ขอ เอาใจช่วย รัฐมนตรีที่ถูกร้องว่า “ยี้” และผู้คนตั้งฉายาให้ว่า “ขี้เหร่”
ถ้าท่านตั้งใจทำงานด้วยความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองจริง ๆ กุศลผลบุญจะปรากฏให้ประชาชนเห็นเอง เชื่อผมเถอะ.
อนุภพ