บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

มึน “บุญจง” แจกเงินพร้อมใบสมัคร

ที่มา ไทยรัฐ

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุถึงทิศทางในการปรับ ครม.ว่า กำลังดูข้อมูลทั้งหมด และจะมีจุดยืนที่ชัดเจน หลังเดินทางกลับจากประชุมอิโคโนมิคฟอรั่ม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้ว 2-3 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 30 ม.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แจกเงินสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้กับชาวบ้านใน จ.นครราชสีมา พร้อมแนบนามบัตรและใบสมัคร สมาชิกพรรคภูมิใจไทยไปด้วยว่า กรณีนายบุญจงยังไม่ชัดเจน สิ่งที่ฝ่ายค้านพูดยังห่างจากข้อเท็จจริงที่นายบุญจงออกมายืนยัน แต่เมื่อมีการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบ ก็เป็นการดีที่สุด เพราะเป็นองค์กรอิสระที่เป็นกลาง ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายค้านระบุว่า นอกจากนายบุญจงจะมอบเงินพร้อมนามบัตรแล้ว ยังมีการแจกใบสมัครพรรคภูมิใจไทยแนบไปด้วย เพื่อ เป็นการจูงใจให้สมัครเป็นสมาชิกพรรค นายสุเทพตอบว่า เพิ่งทราบเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้นายบุญจงไม่เคยอธิบายเรื่องใบสมัคร เพิ่งได้ยินเรื่องนี้

ปัดใช้งบรัฐสร้างความนิยมให้ตัวเอง

เมื่อถามว่าการมอบเงินให้ชาวบ้านของนายบุญจง เป็นการนำงบประมาณของรัฐไปสร้างความนิยมให้ตัวเอง หรือไม่ นายสุเทพตอบว่า ไม่น่าเป็นเช่นนั้น ส่วนตัวเห็นว่า กระบวนการซื้อของไปแจกให้ประชาชนควรยกเลิก ถ้าจะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนกรณีต่างๆ ควรช่วยเหลือเป็นเงิน จะได้นำเงินไปซื้อหาสิ่งที่เป็นความ จำเป็น และไม่เกิดการรั่วไหล อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือเป็นเงิน ก็ต้องมีผู้นำไปมอบหรือโอนเงินให้ จะนำมาเป็น ข้อกล่าวหาว่า สร้างความนิยมให้ตัวเองคงไม่ได้ เมื่อถามว่าต่อไปรัฐบาลจะเปลี่ยนการช่วยเหลือให้เป็นเงินแทนสิ่งของใช่หรือไม่ นายสุเทพตอบว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของตนและเพื่อน ส.ส. คงต้องนำมาหารือกับรัฐบาลก่อน

“สรอรรถ” ดอดถกการเมือง “สุเทพ”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บ่ายวันเดียวกัน นายสรอรรถ กลิ่นประทุม และนายบุญลือ ประเสริฐโสภา แกนนำกลุ่มภาคกลาง พรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางเข้าพบหารือกับนายสุเทพ ที่ทำเนียบฯ ทั้งนี้นายบุญลือกล่าวหลังเข้าพบว่า นายสรอรรถและตนได้มาหารือเรื่องงาน ส่วนตัวกับนายสุเทพ นอกจากนี้ ยังได้หารือเรื่องงานทางการเมือง โดยได้แจ้งให้ทราบว่าทางกลุ่มภาคกลางของเรา มีรัฐมนตรีในสังกัดอยู่ด้วยคือนายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรฯ ซึ่งก็ไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยด้วย หากมีอะไรก็ให้ประสานงานกันมาได้ ทางกลุ่มเรามี ส.ส. ที่ตามไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยแล้ว 2 คน และยังมีสมาชิกกลุ่มที่ยังอยู่ในพรรคฝ่ายค้านอีก 3-4 คน รวมทั้งยังมีอดีต ส.ส.ลพบุรีและราชบุรี ที่เตรียมเข้ามาอยู่ด้วยกันอีก เมื่อถามว่ามีการพูดคุยถึงเรื่องกระแสการปรับ ครม. ด้วยหรือไม่ นายบุญลือตอบว่า ไม่ได้คุยเรื่องนี้ และนาย สุเทพก็ไม่ได้แจ้งเรื่องการปรับ ครม. ภายหลังนายกฯเดินทาง กลับจากดาวอส แต่ถ้าจะมีการปรับจริงก็ต้องมาคุยกัน

“บุญจง” ปลอบใจท้อแต่อย่าถอย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า บ่ายวันเดียวกัน นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ได้เป็นประธานประชุมคณะกรรมการตรวจสอบสถานบริการ ของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางป้องกันอุบัติภัยในสถานบริการ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับ จากนั้นได้กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช.จะตรวจสอบเรื่องการแจกเงินสงเคราะห์ให้กับประชาชนใน อ.โชคชัย พร้อมแนบนามบัตร ที่บ้านพักใน จ.นครราชสีมา โดยทันทีที่ผู้สื่อข่าวถาม นายบุญจงได้ลุกจากเก้าอี้ และยกมือไหว้ขอบคุณผู้สื่อข่าว โดยกล่าวแต่เพียงว่า ขณะนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการตามกฎหมายแล้ว ตนมีหน้าที่เพียงแค่รอชี้แจงกับ ป.ป.ช. เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยระบุว่ามีการแจกใบสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทยด้วยจริงหรือไม่ นายบุญจงตอบว่า ไม่จริง เมื่อถามว่าเท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยใช้เอกสารเท็จหรือไม่ นายบุญจงตอบว่า ไม่ทราบ จากนั้นเดินเข้าห้องทำงานทันที ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันเดียวกันได้มีการนำแผ่นสติกเกอร์ ข้อความว่า “ท้อได้แต่อย่าถอย” มาติดที่หน้าประตูห้องของนายบุญจงด้วย

เชื่อ “บุญจง” ชี้แจงข้อกล่าวหาได้

ที่โรงแรมสิริภิญโญ นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย กล่าวภายหลังการประชุมพรรคว่า การประชุมพรรควันนี้ มีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือถึงการประชุมวิสามัญใหญ่พรรค ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อทำการเลือกหัวหน้า รองหัวหน้า เลขาธิการและกรรมการบริหารพรรค โดยจะมีสมาชิกพรรคทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมกว่า 1 หมื่นคน นอกจากนี้ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้นายบุญจงชี้แจงเหตุการณ์ ซึ่งทุกคนไม่ได้วิตกในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด แม้

ฝ่ายค้านหรือ ส.ว.จะยื่นเรื่องแจ้งข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. และ กกต. แต่ก็เชื่อว่านายบุญจงสามารถชี้แจงได้ “บังเอิญว่านายบุญจงเป็น ส.ส.ในพื้นที่ สิ่งที่นายบุญจงทำนั้น เป็นกิจกรรมที่ต้องพบกับประชาชนอยู่แล้ว หน่วยงานที่รับผิดชอบก็เชิญนายบุญจง ในฐานะที่เป็นตัวแทนรัฐบาล ส่วนข่าวที่ออกมาว่าแนบนามบัตรนั้น ข้อเท็จจริงคือ ส.ส.ที่มอบทุกคน เมื่อพบกับชาวบ้านก็ให้ เบอร์โทรศัพท์ไว้ เผื่อมีปัญหาประชาชนก็ติดต่อได้” นายศุภชัยกล่าว

“ชวรัตน์” ยกเป็นอุทาหรณ์เตือน ส.ส.

เมื่อถามว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งสัญญาณอะไรมาหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า ไม่มีสัญญาณอะไร เมื่อถามต่อว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีต กก.บห.ไทยรักไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน เป็นห่วงหรือให้คำปรึกษาหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า นายเนวินไม่ได้แสดงความห่วงใยอะไร นายเนวินเป็นแค่คนให้คำปรึกษาเท่านั้น เมื่อถามว่า ข้อกล่าวหานายบุญจงจะส่งผลให้พรรคถูกยุบหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า จากการหารือกันมั่นใจว่า กระทำของนายบุญจงไม่น่าที่จะผิดกฎหมายของ กกต. เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีความผิดถึงขั้นที่ต้องยุบพรรค ทั้งนี้นายชวรัตน์ ได้กำชับให้สมาชิกและ ส.ส.ของพรรค ดูกรณีนายบุญจงมาเป็นอุทาหรณ์ว่า ต่อไปจะดำเนินการอะไร ให้ดูกฎหมายอย่างละเอียด และอย่าทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อข้อกฎหมาย

พท.ไล่บี้ “พีระพันธุ์-โสภณ-เกื้อกูล”

ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคมและนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ที่ลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี งบประมาณ 2552 เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรค 2 ที่ระบุว่า ห้ามรัฐมนตรีลงมติใดๆ ใน เรื่องที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสีย โดยนายสุรพงษ์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นคงเกิดจากที่รัฐมนตรีใหม่ 3 ท่านรู้เท่าไม่ ถึงการณ์ อ่านรัฐธรรมนูญไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะนายพีระ-พันธุ์ที่แสดงความคิดนุ่มนิ่ม อ่อนหัด ขนาดเป็นมือกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ กลับชี้แจงว่าเครื่องกดบัตรในที่ประชุมสภาฯเสีย เป็นการปฏิเสธความผิดแบบเด็กๆ แบบนี้ตายอย่างเขียด และที่ผ่านมานายกฯพร่ำพูดถึงกฎ 9 ข้อ มีข้อหนึ่งที่ระบุให้รัฐมนตรีต้องมีความรับผิด ชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ดังนั้น ขอให้รัฐมนตรี 3 คน ได้คิดทบทวนในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ก่อนแสดงความรับผิดชอบโดยลาออกจากตำแหน่ง

ยุให้ปรับ “วิฑูรย์-บุญจง” พ้นตำแหน่ง

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ขอให้นายกฯอย่ากลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อกลับจากต่างประเทศจะต้องปรับรัฐมนตรี 3 คน ออกจากตำแหน่งทันที รวมถึงต้องปรับนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯ กรณีปลากระป๋องเน่า นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กรณีแจกเงินสดในโครงการช่วยเหลือคนจน ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมแนบนามบัตรของตัวเอง ให้ออกจากตำแหน่งด้วย วันนี้เวรกรรมมีจริง พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ ชอบอ้างว่ารู้กฎหมายยึดมั่นรัฐธรรมนูญ จึงต้องรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น และเชื่อว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ไม่ได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม หากนายกฯยังไม่ดำเนินการอะไร หรือรัฐมนตรีที่มีปัญหายังไม่ลาออก ก็จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้จะเป็นการพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง ถ้าศาลไม่เอียงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะกลับประเทศไทยมาสู้คดีแน่นอน

พท.ยื่นหลักฐานเพิ่มมัด “บุญจง”

บ่ายวันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายคารม พลทะกลาง คณะทำงานกฎหมาย พรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ ไต่สวนนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา กรณีนำงบประมาณของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มาแจกชาวบ้าน ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา โดยมิชอบ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า หลักฐานที่นำมายื่นเพิ่ม เติมเป็นซีดีการแจกเงินให้ชาวบ้าน มีภาพชัดเจนว่านายบุญจงแจกเงิน ผ่าห่ม และมีภาพภริยานายบุญจงที่ไม่มี หน้าที่เกี่ยวข้อง ยืนช่วยกันแจกเงินด้วย นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่พร้อมเป็นพยานให้การในคดีนี้ด้วย แต่ยังไม่ สามารถเปิดเผยตัวได้ หลักฐานทั้งหมดเอาผิดนายบุญจงได้แน่นอน เป็นการกระทำที่เรียกว่าประชานิยมแบบอภิ-สิทธิ์ เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมือง เอาเงินหลวงไปแจก เพื่อหวังผลการเลือกตั้ง ขณะนี้พรรคเพื่อไทยกำลังทำหนังสือขอรายชื่อประชาชน 200 คน ที่ได้รับแจกเงินในวันดังกล่าวจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าส่วนใหญ่ผู้ได้รับแจกเงินเป็นหัวคะแนนนายบุญจง ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ฐานเสียง หัวคะแนน แทนที่จะแจกให้กับประชาชนที่ลำบากจริงๆ

ปธ.วุฒิสภาออกรับแทน ครม.ไม่ผิด

ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน จะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีที่ลงมติรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 ที่อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 177 เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียว่า เป็นคนละเรื่องกัน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันโดยตรง อย่างมีคนเอาหนังสติ๊กไปยิงไก่ แล้วเกิดไก่วิ่งไปชนหม้อแกงหกจนไม่สามารถกินได้ อย่างนี้จะไปโทษคนยิงไก่ได้อย่างไร แต่หาก ส.ส.ยื่นเรื่องมา ตนก็ต้องตรวจสอบความถูกต้อง ทั้งเรื่องรายชื่อและข้อหา แล้วส่ง ไปให้ ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยชี้ขาด จะได้เป็นบรรทัดฐานต่อไป ที่ผ่านมาเคยมีรัฐมนตรีลงมติในลักษณะเดียวกันนี้ เมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายเข้ามา ส.ส.มีหน้าที่ผ่านกฎหมาย ถ้าไม่ทำหน้าที่หรือไม่เข้าประชุม จะถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ เมื่อถามว่ามองคำว่า มีส่วนได้เสียอย่างไร นายประสพสุขตอบว่า การได้เสียในเรื่องนี้หมายความว่างบประมาณที่ลงไปอยู่ในโครงการแล้ว ส.ส.มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่งบประมาณกว่าแสนล้านบาทที่จะนำไปใช้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างนี้ ก็ต้องดูว่าโดยตรงหรือไม่ เมื่อถามว่าถ้างบประมาณลงไปในส่วนของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงยุติธรรมถือว่าเข้าข่ายหรือไม่ นายประสพสุขตอบว่า ไม่น่าจะแยกกันได้ เพราะรวมอยู่ในงบก้อนเดียวกัน

“เรืองไกร” เชื่อเข้าข่ายขัดมาตรา 177

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เท่าที่ดูน่าจะเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 177 วรรค 3 ซึ่ง ส.ส.สามารถใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 เพื่อยื่นต่อ ป.ป.ช. หรือยื่นตามมาตรา 275 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากศาลรับคำร้องรัฐมนตรีก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้ไม่ว่า ส.ส. รัฐมนตรี หรือ ส.ว. จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นในการใช้กรอบอำนาจ อย่าปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในเรื่องจริยธรรมต้องอยู่สูงกว่ากฎหมาย และบังเอิญว่าเป็น ครม. ที่มีคนมองว่ามีมาตรฐานทางจริยธรรมสูง เมื่อถามถึงกรณีที่ กกต.บางคน ระบุว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบกรณีของ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่แจกเงินพร้อมนามบัตร นายเรืองไกรตอบว่า ขณะนี้ กกต.แต่ละคนยังเห็นไม่สอดคล้องกัน แต่อยู่ที่การตีความ คำว่า “โดยทางตรงหรือทางอ้อม”

“สุรพงษ์” ยื่นเอกสาร “มาร์ค-เนวิน”

วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อ ไทย เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กอดกันและตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ กกต. โดยนายสุรพงษ์กล่าวว่า วันนี้ได้นำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภามาส่งให้คณะอนุกรรมการใช้ประกอบการพิจารณา เนื่องจากเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีการระบุให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องดำเนินนโยบายเดิม 4 ประการของรัฐบาลชุดก่อน และวันนี้เรื่องนโยบายประชานิยม กับการต่อมาตรการ 6 เดือนรัฐบาลก็ได้ทำแล้วตามที่นายเนวินเสนอให้ทำ จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่า สิ่งต่างๆที่สัญญาว่าจะเป็นรัฐบาลร่วมกันตามข้อตกลงนั้น ได้ดำเนินการตามข้อตกลงทั้งหมดแล้ว จึงได้นำหลักฐานมาส่งให้คณะอนุกรรมการใช้ประกอบการพิจารณาดังกล่าว

รอส่งหลักฐานฮั้วเลือกตั้งซ่อมอีก

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ถ้าหากหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ความเป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะอยู่ ไปได้อย่างไร ทั้งนี้อยากฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ท่านเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ดังนั้น ต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ อย่าคิดสั้นฆ่าตัวเองทางการเมืองจะดีกว่า

นายสุรพงษ์กล่าวถึงกรณีที่ กกต.สั่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. สรรหา ขอให้ตรวจสอบกรณีพรรคการเมืองฮั้วสมัครลงเลือกตั้งว่า กรณีนี้ได้เคยยื่นขอให้ กกต.ตั้งอนุกรรมการสอบเช่นกัน เชื่อว่าทาง กกต.คงจะสั่งให้รวมพิจารณาเป็นสำนวนเดียวกันได้ และจะเรียกมาชี้แจง ในเร็ววันนี้จะได้นำหลักฐานเอกสารต่างๆที่มีอยู่นำส่งให้ทางอนุกรรมการใช้ประกอบการพิจารณาต่อไป

กลุ่มประชาฯปลุกผีพรรคราษฎร

ส่วนความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้มอบหมายให้ทีมกฎหมายยื่นฟ้องนางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท กรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ได้ลงสมัคร ส.ส.มหาสารคาม ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาว่า แอบอ้างชื่อตนไปใช้ในการหาเสียง จนเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อและเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค ขณะเดียวกัน กลุ่มของ พล.ต.อ.ประชา ที่จับมือกับกลุ่มปากน้ำของนายวัฒนา อัศวเหม ก็ได้รื้อฟื้นพรรคราษฎร ขึ้นมารองรับกลุ่มของตัวเองแล้วเช่นกัน เพราะมั่นใจว่าในที่สุดพรรคเพื่อแผ่นดินจะถูกยุบพรรคในที่สุด โดยให้ ส.ส.กลุ่มวาดะห์ 3 คน ได้แก่นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ส.ส.สัดส่วน นายนัจมุจดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส และนางฟารีดา สุไลมาน

ส.ส.สุรินทร์ ได้ย้ายไปสังกัดพรรคราษฎรแล้ว นายอารีเพ็ญกล่าวว่า เป็นห่วงว่าปัญหาในพรรคเพื่อแผ่นดิน อาจจะส่งผลให้ไม่สามารถเข้าสังกัดได้ทันภายใน 60 วัน จึงเห็นว่าควรมาสังกัดกับพรรคราษฎรก่อน เพราะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นกลาง ไม่ได้อยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตรงกับแนวทางที่ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับขั้วการเมือง

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker