ที่มา Thai E-News
โดย คุณ ปูนนก
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
31 ธันวาคม 2551
ผมใช้เวลานานทีเดียว ในการรวบรวมความรู้สึกเพื่อเขียนบทความชิ้นนี้ ..... วันที่ 30 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผมไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา กับพี่น้องคนเสื้อแดงในเวลานั้น แต่ก็ได้ติดตามข่าวสารทางเสียง และภาพอย่างใกล้ชิดโดยผ่านทางสื่อทางเลือก ก็คือ อินเตอร์เน็ต นี่เอง
จากภาพข่าวที่เห็น ซึ่งต่อเนื่องมาจากวันที่ 28 ธ.ค. ณ ท้องสนามหลวง เป็นภาพข่าวที่ให้ความรู้สึกอันลึกซึ้ง ที่ไม่สามารถจะบรรยายได้ และไม่สามารถหาได้จากสื่อหลักทางทีวีอย่างสิ้นเชิง .....
การมาชุมนุมกันของพี่น้องชาวเสื้อแดงนับแสน ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น เพื่อเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของพวกเขา ที่ถูกนักการเมืองโฉดขโมยเอาไป เป็นภาพที่ยังความตื้นตัน และปลาบปลื้มใจ สำหรับนักสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างยิ่ง....
พวกเขามาจากต่างท้องที่ ต่างภูมิภาค .....พวกเขามาจากต่างสถานภาพ .....พวกเขามาจากคนต่างสถานะ .....พวกเขามาจากคนที่ต่างวัยวุฒิ ......พวกเขามาจากคนที่ต่างฐานะทางสังคม ........แต่พวกเขา มี 2 สิ่งที่เหมือนกันคือ “หัวใจที่รักและเรียกร้องในเสรีประชาธิปไตย, และหัวใจสีแดง ที่สวมทับด้วยเสื้อสีแดง”
ภาพการผลักดันกัีนด้วยมวลชนเสื้อแดงมือเปล่าฝ่ายหนึ่ง กับตำรวจปราบจลาจล ที่ใส่ชุดป้องก้ันพร้อมโล่ที่หน้าประตูทางเข้ารัฐสภา แม้จะดูว่า เป็นการปะทะกันของตำรวจกับประชาชนที่มาชุมนุม แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นการปะทะกันที่ “น่ารัก” มาก และมันเทียบกันไม่ได้เลย เมื่อเอาไปเปรียบกับ พธม. ซึ่งถือปืนไล่ยิ่งตำรวจ ....ขับรถทับตำรวจ .....เอาด้ามธงแทงตำรวจ ..... ขณะที่ประชาชนเสื้อแดง ผลักและดันด้วยมือเปล่า ๆ กับตำรวจถือโล่ ...... และเมื่อประลองกำลังจนรู้แพ้รู้ชนะกันแล้ว ประชาชนก็เอาน้ำดื่ม .... ไอศครีมแบ่งป้ันให้ตำรวจ โดยลอดไปทางช่องประตูให้แก่กันและกัน
พอถึงเวลา ก็ประลองกำลังดันกันอีก เป็นอยู่อย่างนี้ 6 – 7 รอบ แต่ทั้่งสองฝ่าย ก็มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน หาได้มีอาการโกรธขี้งกันแต่อย่างใดไม่ เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าเท่านั้น
นี่ต่างหากครับ คือการชุมนุมประท้วงอย่างสงบสันติ ปราศจากอาวุธ ที่แท้จริง ซึ่งต่างพฤติกรรมของการชุมนุมอนาธิปไตย ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ของ พธม. อย่างสิ้นเชิง
ภาพสองภาพของเหตุการณ์การชุมนุมเหมือนกัน สถานที่เดียวกัน แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเิชิงเช่นนี้้ ไม่ต้องใช้การพินิจพิเ้คราะห์อะไรให้มาก ก็สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัดอยู่แล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นประชาชนผู้รัก และเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง
การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน ที่ถูกแย่งชิงไปนั้น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย พึงสามารถกระทำได้ และประชาชนชาวเสื้อแดงก็ได้กระทำตามสิทธิ์นั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่กลับดูเหมือนว่า เมื่อเทียบกับ พธม. แล้ว ประชาชนชาวเสื้อแดง เป็นเสมือนกับพลเมืองชั้นสองของประเทศนี้ ..... ความยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายจากผู้รักษากฎหมาย หรือความยุติธรรมในการตัดสินคดีความ หรือความยุติธรรมในการปกครอง ประชาชนชาวเสื้อแดง กลับได้รับน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับ พธม.
ทุก ๆ ก้าวย่างของการชุมนุมของคนเสื้อแดง เต็มไปด้วยอุปสรรคการขัดขวางทุกวิถีทาง ทั้งจากรัฐบาล, ทหาร, ตำรวจ, ตุลาการ และภาคส่วนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นการชุมนุมของประชาชนชาวรากหญ้าโดยแท้ เป็นการมาร่วมชุมนุมกันด้วยจิตใจ และจิตวิญญาณของความรัก ที่จะเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของความเป็นคนไทย เพื่อที่จะให้ได้รับความเท่าเทียม กับคนส่วนอื่นในประเทศนี้บ้างเท่านั้น
และหลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ปล้นสิทธิ์ของประชาชนไป ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 อย่างไร้ยางอาย ด้วยการยุบพรรคพลังประชาชน และในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทุกองคาพยพของรัฐบาล และการปกครองในประัเทศนี้ ต่างก็ประสานเสียงไปในทางเดียวกันว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 ที่ได้พยายามยัดเยียดให้กับประชาชนในครั้งนี้ คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว โดยไม่สนใจเลยว่า ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนนั้น คือสิ่งใด
การเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา 3 ครั้งล่าสุด ประชาชนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาต้องการสิ่งใด แต่พวกเผด็จการที่ปกครองประเทศนี้มาอย่างยาวนาน กลับไม่สนใจเสียงของประชาชน แต่ต้องการยึดครองอำนาจของตนเองเอาไว้มากกว่า
ประชาชนเหมือนน้ำ “น้ำนั้นสามารถทำให้เรือลอยก็ได้ หรือจมเรือก็ได้”
ช่วงเวลาประมาณเดือนเศษที่ผ่านมา และมาชัดเจนเมื่อ 2 – 3 วันนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้่ว “ประชาชนชาวเสื้อแดง ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นพลเมืองที่มีสิทธิ์สมบูรณ์ของประเทศนี้” แต่พวกเขากลายเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ของประเทศนี้อย่างสิ้นเชิง เป็นพลเมืองชั้นสองที่ “ไม่มีเส้น” ไม่ได้รับสิทธิ์ที่เท่าเทียมกับอภิสิทธิ์ชนอีกกลุ่มหนึ่ง อย่าง พธม.
นับจากห้วงเวลานี้เป็นต้นไป ประชาชนชาวเสื้อแดงได้รับรู้แล้วว่า พวกเราจะ “ไม่มีใครอีกแล้ว”
ไม่มีใครที่จะคอยอุ้มชู ยามพวกเราล้มลง .....
ไม่มีใครที่คอยปกป้อง ยามพวกเราพลั้งพลาด .....
ไม่มีใครที่จะคอยช่วยเหลือ ยามพวกเราต้องการ.....
ไม่่มีใครที่จะคอยซับน้ำตาให้แ่ก่พวกเรา ยามร่ำไห้....
ไม่มีใครที่เช็ดเลือดทำแผลให้แ่ก่พวกเรา ยามที่เลือดต้องหลั่งริน ...... และ
ไม่มี .....ไม่มีใครจริง ๆ ........
ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราประชาชนชาวเสื้อแดง ผู้ที่รักและเรียกร้องประชาธิปไตย ที่จะมีอยู่เพียงแค่ “กันและกัน” เท่านั้น
ประชาชนชาวเสื้อแดงที่มีหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่จะคอย “ดูแล” กันและกัน
พวกเราเท่านั้น ที่จะคอย “อุ้มชู” กันและกัน
พวกเราเท่านั้นที่จะคอย “ช่วยเหลือ” กันและกัน
พวกเราเท่านั้นที่จะคอย “ซับน้ำตา” ให้แก่กันและกัน และ
พวกเราเท่านั้นที่จะคอย “เช็ดเลือดทำแผล” ให้แก่กันและกัน
สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีใครอีกแล้วจริง ๆ ที่จะเห็นใจ และเข้าใจพี่น้องชาวเสื้อแดงคนรากหญ้าอย่างพวกเรา นอกจากพวกเราด้วยกันเอง
เวลานี้พี่น้องชาวเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จะต้องจับมือกันและกันเอาไว้ให้มั่น เพราะเป็นเวลาที่จะมีเพียงเราเท่านั้น ที่จะร่วมกันยืนหยัดขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์ ที่กำลังสยายอำนาจเข้ากดขี่ และปกครองพวกเรา โดยไม่สนใจว่า อันที่จริงแล้ว ประชาชนชาวเสื้อแดงต่างหากคือ “ประชาชนส่วนใหญ่” ของประเทศนื้ หาใช่อภิสิทธิ์ชนอย่างอมาตย์ไม่
และเราทุกคน จะจับมือร่วมกัน เดินไปด้วยกัน จนกว่าจะได้รับชัยชนะ คือ ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ กลับคืนมาสู่ประเทศนี้อีกครั้ง