บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บทเพลงแห่งชีวิต "หลวงพี่กี้ร์" จากนักร้องอมฮอลล์ สู่แกนนำฮาร์ดคอร์

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



คอลัมน์ จุดเปลี่ยน

แม้หายหน้าค่าตาไปจากสังคมไทยกว่า 1 ปี 6 เดือน หลังหลบหนีออกนอกประเทศ

นับตั้งแต่เกิดเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

แต่ข่าวคราวของ "อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง" หรือ "กี้ร์" ไม่เคยห่างหายไปจากสารบบการเมืองไทย

ด้วยเพราะเขาเป็นหนึ่งใน "ตัวจี๊ด" สายฮาร์ดคอร์ที่หลบหนีออกไปได้ ท่ามกลางการปูพรมค้นหา

ด้วยเพราะประเทศที่เขาเลือกไปกบดาน เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหากับไทย

เมื่อปลายปีก่อน "อริสมันต์" เดินทางกลับมาตุภูมิ
และเข้ามอบตัวในหลายต่อหลายคดี ก่อนหันหน้าเข้าวัด-บวชพระ
หลังได้รับการประกันตัวออกมา
โดยมีฉายาใหม่ว่า "ฐิตะมันโต" แปลว่า "ผู้ตั้งมั่นอยู่ในความสำเร็จ"

ในห้วงนี้เอง "หลวงพี่กี้ร์" ได้ใช้เวลาใต้ร่มกาสาวพัสตร์ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา
นับตั้งแต่เป็นพนักงานบริษัทไม้ สู่การเป็นนักร้องอันโด่งดัง นักการเมือง กระโดดเป็นผู้นำม็อบ

"ถ้าจะเปรียบชีวิตของอาตมากับบทเพลง คงหนีไม่พ้นเพลง "ใจไม่ด้านพอ"
โดยเฉพาะคำขึ้นต้นที่บอกว่า "หลอกกันพอหรือยัง"
เหมือนกับว่า 78 ปีของประชาธิปไตย มันหลอกกันพอหรือยัง
การต่อสู้ที่ต่อสู้มาก็คือท่อนที่ร้องว่า
"เสียทุกอย่างมามากแล้วช่างมัน เสียน้ำตาก็เท่านั้นช่างใจ
ใครจะรู้ใครจะเห็น ข้างในนั้นเป็นเช่นไร มันแหลกลาญ"

"พระกี้ร์" เล่าย้อนอดีตว่า
หลังเรียนจบได้เข้าทำงานที่บริษัทค้าไม้แห่งหนึ่งในตำแหน่งพนักงานทั่วไป
แต่จับพลัดจับผลูเดินทางไปส่งไม้ที่ประเทศออสเตรเลีย แทนพนักงานคนเก่าที่ลาออกไป

ในระหว่างนี้ได้เจอ "หมอดูข้างถนน" ทักว่าชีวิตจะได้เป็น 5 อย่างคือ
1.นักร้อง
2.เอ็นเตอร์เทนเนอร์ (ผู้ให้ความบันเทิง)
3.นักแสดง
4.นักมายากล และ
5.นักการเมือง

ครั้งแรกที่ได้ยิน รู้สึกว่าเหลวไหลมาก
เพราะบริษัทต้นสังกัดกำลังจะย้ายไปประเทศอินโดนีเซีย
ทำให้ลูกจ้างอย่างเขาแทบเอาตัวไม่รอดแล้ว

แต่พอกลับประเทศไทย เจ้าตัวได้เข้าบนบานต่อพระพรหม

คำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เห็นจะใช้ได้ดีกับ "อริสมันต์" เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์


นักร้องรุ่นใหญ่อย่าง "อิทธิ พลางกูร" ได้ชักชวน-ชักนำเขาเข้าสู่เส้นทางสายดนตรี





ออกอัลบั้มชุดแรกชื่อ "ความหมายของผู้ชายคนหนึ่ง"
ในสังกัดของ "อาร์.เอส. โปรโมชั่น" ในเดือนมีนาคม 2532

ด้วยสไตล์การร้องที่ไม่เหมือนใคร ทำเสียงกลั้วอยู่ในลำคอ
เหมือนคนออกเสียงไม่ชัด จนได้ฉายาว่า "อมฮอลล์"
พร้อมผลักให้ "กี้ร์" กลายเป็น "นักร้องดัง" สมคำทาย-ทัก "พ่อหมอ"

"ที่มาของอมฮอลล์เนี่ย ได้มาเพราะเวลาร้องเพลงมันเหนื่อย
สมัยก่อนต้องเล่นจริง ไม่มีลิปซิ้ง เราก็เลยอมฮอลล์ รสเมนทอล
เพื่อให้สดชื่นและร้องต่อได้" หลวงพี่ไขที่มาของ "เสียง" ในตำนาน

หลังได้เป็น "นักร้อง" สมใจอยาก
แต่ลึกๆ ในใจ "อริสมันต์" รู้ดีว่าเขาต้องการใช้ความ "ดัง" และ "เรตติ้ง"
ในฐานะศิลปินที่เป็นที่รู้จักของประชาชน กรุยทางเข้าสู่อาชีพในฝัน นั่นคือ "นักการเมือง"

แล้วโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรก
ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต "นักร้อง" ผู้นี้

"ตอนไปร่วมชุมนุม เราก็ปลอมตัวไป แต่งตัวเป็นคนธรรมดา
ปกติผมต้องทำแบบเสยๆ
แต่วันนั้นทำผมหน้าม้า แล้วก็ใส่แว่นดำอันหนึ่ง ไปนั่งฟังไฮด์ปาร์ก
ทีนี้คนเริ่มจำได้ ก็ขยายวงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนที่เวทีรู้ว่าอริสมันต์มา"

นั่นคือที่มาที่ทำให้เขาได้ขึ้นเวทีการเมืองครั้งแรกในชีวิต
ตามเสียงเรียกร้องของมวลชน
และกลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้โคจรมาพบกับ "จตุพร พรหมพันธุ์" แกนนำนักศึกษา (ในขณะนั้น)

"เราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตรงนั้น จตุพรบอกว่าไหนๆ ก็มาแล้ว เป็นผ้าขาว
ให้ชี้ชัดไปเลยว่าการปฏิวัติเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง"

อย่างไรก็ตาม การ "เปิดหน้ารบ" ของ "อริสมันต์" ทำให้งานหลักได้รับผลกระทบ
เมื่อรายการของ "ต้นสังกัด" ถูกแบนไปหลายครั้ง

"บริษัทชี้แจงว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอุดมการณ์ส่วนตัวของศิลปิน
หากจะไม่โปรโมตเพลงของอริสมันต์ ก็จะจัดการให้ได้
แต่ถ้าจะต้องแบนบริษัททั้งหมด ก็จะเกิดผลกระทบความเสียหายเยอะ
สุดท้ายเราบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวถึงเวลาชื่อเสียงมันก็จะกลับมาเอง"

กระทั่งสถานการณ์เริ่ม "สุกงอม" ที่สุดในวันที่ 19 พฤษภาคม 2535
"อริสมันต์" ได้หลบหนีจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
ภายใต้รัฐบาลของ "พล.อ.สุจินดา คราประยูร" ไปกบดานที่ประเทศสหรัฐอเมริกานานถึง 9 เดือน





"พอกลับมาไทยอีกครั้ง มาทัวร์คอนเสิร์ตในต่างจังหวัด
จำได้ว่ามีบดินทร์ ดุ๊ก (อดีตนักแสดงชื่อดัง) ไปด้วย ก็มีเรื่องเกิดขึ้นที่ จ.ราชบุรี
มีการโยนระเบิดโยนใส่หลังเวที ตอนนั้นระเบิดมันตกห่างจากเราประมาณ 6 เมตร
แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์ เพราะแทนที่ระเบิดจะวิ่งไปข้างหน้ากลับไหลตกไปทางด้านซ้าย
ทำให้คนควบคุมไฟเวที 2 คนเสียชีวิตคาที่
พอวันต่อมาพบศพชายคนหนึ่งเสียชีวิตริมแม่น้ำแม่กลอง
เขาสันนิษฐานว่าคนนี้เป็นคนทำ คดีมันก็ปิดไป
ตอนนั้นมันผิดหวังและเสียใจมาก เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
เลยไปบวชที่วัดบวรนิเวศฯให้กับคนที่เสียชีวิต"

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว "อริสมันต์" ได้รับการชักชวนจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
หัวหน้าพรรคพลังธรรม ให้ลงสมัคร ส.ส.กทม.

"ตอนนั้นคิดว่ายังไม่ถึงเวลาของเรานะ วางแผนว่าจะเล่นการเมืองตอนอายุ 40 ปี
ตอนนั้นยังเป็นนักร้องอยู่ด้วย ยังอยู่ในสัญญา กำลังจะโปรโมตอัลบั้มอีก 2-3 ชุด
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณดึงเราเข้ามา เพราะมองว่าการเมืองต่อไปต้องเป็นการเมืองของคนรุ่นใหม่"

ในที่สุด "นักร้อง" จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่สภาด้วยวัยเพียง 27 ปี ไม่นานหลังจากนั้น
เขาเพิ่งได้เรียนรู้ชีวิตในปลักโคลนการเมืองอย่างแท้จริง

"พรรคเราเป็นพรรคที่สุดโต่ง เลยเกิดปัญหาภายในพรรคเยอะแยะ ข้อสำคัญคือ
เรามีความแตกต่าง ระหว่างความเป็นคนของเรา ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเขาถือศีล
มองว่าชีวิตแบบคนปกติทั่วไปไม่ดี แต่ของเขาดี เวลาจะร่วมประชุมกับเขาที
มันจึงไม่ค่อยได้รับเกียรติเท่าที่ควร บางครั้งประชุมอยู่ สะกิดให้เราออก เราก็เอ๊ะ! ทำไมอ่ะ
หรือนี่เทวดากำลังประชุม เชิญมนุษย์ออกไปก่อน
โอ้โห... ตอนนั้นพรรคแตกเลยนะ เขาเชิญผิดคนด้วย
ตอนนั้นเราก็ตัดสินใจแล้วว่าสำหรับการลงการเมืองไม่ได้แล้ว เลยหยุดไปพักหนึ่ง
และหันไปทำธุรกิจก่อสร้างแทน"

กระทั่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ" ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้น "อริสมันต์"
เป็นหนึ่งในหลายคนที่ได้รับเทียบเชิญให้ร่วมงาน (อีกครั้ง)

"ท่านก็พูดกับผมคำหนึ่งว่าเอ้า ผมไปไหน คุณไปด้วย ตั้งแต่วันนั้นมา
ก็ไปด้วยกันตลอด จากพลังธรรมก็ติดสอยห้อยตามกันไป"

"อริสมันต์" เชื่อว่าเหตุที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เลือกเขา
เป็นเหตุผลเดียวกับที่ "คุณพจมาน ณ ป้อมเพชร์" อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกกับเขา

"คุณหญิงอ้อบอกว่า อริสมันต์เป็นคนทำอะไรจริงจังมาก
และมีความซื่อสัตย์ ตั้งใจ มุ่งมั่นสูง ซึ่งคำพูดของวันนั้นพอมาถึงวันนี้
ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นอย่างนั้นมากเกินไป จริงจังเกินไปหรือเปล่า"

หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 "อริสมันต์" ขึ้นเวทีการเมืองอีกครั้ง

"ตอนแรกก็เคลื่อนไหวแบบธรรมดา ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที อภิปรายบ้างเล็กน้อย
ส่วนใหญ่ช่วยข้างหลังมากกว่า เพราะรัฐธรรมนูญปี 2540 ถือว่าเป็นสมบัติของเรา
เพราะได้มาจากชุมนุมเรียกร้องตั้งแต่ปี 2535 เมื่อมีการฉีกทิ้ง เราก็ต้องมาต่อสู้
แต่พอเคลื่อนไหวธรรมดาก็โดนจับ
และมีนายทหารโทร.มาห้ามไม่ให้ขึ้นเวทีอีก
แต่หลังๆ จากที่ขอร้อง กลายเป็นข่มขู่ ครอบครัวเราก็เครียดมาก
แต่ถ้าถามถึงการเคลื่อนไหวแบบฮาร์ดคอร์เพิ่งมาเป็นหลังเหตุการณ์
ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา เมื่อปี 2552"

"อริสมันต์" ยอมรับว่า ชีวิตเขาต้องเผชิญเรื่องราวมากมาย
เพราะ "การเมือง" หากวันนี้เขาไม่เลือกเส้นทางสายนี้
ป่านนี้อาจจะเป็นเศรษฐี และสามารถใช้เวลากับลูกๆ ได้อย่างเต็มที่

"เราต้องหลบซ่อนตัวเองตามแนวชายแดน
ต้องไปประเทศนี้ที ประเทศโน้นที ประเทศโน้นบอกว่า
ทางการไทยรู้แล้วว่าคุณอยู่นี่ ไม่ค่อยสะดวกนะ
ย้ายกลับไปตรงนั้นก่อน เดินทางแบบเร่ร่อนอยู่พอสมควร"

กับความพลิกผันของชะตาชีวิตจาก "นักร้อง"
ที่มีแฟนคลับรักมากมาย มาเป็นแกนนำม็อบที่มีคนชังไม่น้อย?

"ถามว่าระหว่างคนรักกับคนเกลียด เราคิดว่าคนรักมากกว่า
แต่คนที่รับไม่ได้ ก็มี บางครั้งคนที่เป็นเสื้อเหลืองยังฟังเพลงของอริสมันต์อยู่เยอะ
เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกัน วันนี้เราเป็นเพศบรรพชิตแล้ว
อยากจะให้ทุกคนได้เข้าใจว่าเรากลับมาครั้งนี้ ไม่มีอาฆาตกับใคร
ตั้งใจหลักเลยคือให้อภัย
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราชนะและยิ่งใหญ่ได้คือการให้อภัย" หลวงพี่กี้ร์ทิ้งท้าย


หน้า 8 มติชนรายวัน ฉบับวันที่5ก.พ.55



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328413872&grpid=01&catid=&subcatid=

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker