จะพูดกันไปแล้ว สถานการณ์บ้านเมือง ต้องฉิบหายเพราะ วิกฤติการเมือง ในครั้งนี้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผมต้องส่งต้นฉบับล่วงหน้า ขณะที่กำลังอ่านข้อเขียนของผมอยู่นี้ ไม่แน่ว่าจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นหรือยัง
เพราะเลยจุดความพอดี ที่จะแก้วิกฤติชาติกันในระบอบประชาธิปไตยที่สากลโลกเขาปฏิบัติกัน แต่ทว่าเมืองไทยเวลานี้ กำลังใกล้จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทุกที ไม่มีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันของสังคม
กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายไปแล้ว
ถึงขั้นนั้นการจะรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม หรือ การจะตัดสินความชอบธรรม ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงต้องขึ้นอยู่กับใครจะมีกำลังอำนาจมากกว่าใคร
ต้องใช้กำลังเข้าตัดสิน
และถ้าจะว่าไปแล้ว สงครามการเมือง โศกนาฏกรรมของระบอบประชาธิปไตย ในประเทศไทยครั้งนี้ ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่ทรงอำนาจ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำทางความคิด ปัญญาชน นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย ก็รู้เห็นเป็นใจ ลงมือร่วมกันกระทำทั้งที่ลับและที่แจ้ง
นำมาซึ่งความล่มจมและสิ้นชาติ
หรือประเทศไทยจะต้องแยกแผ่นดิน เป็นเหนือ กลาง อีสาน และใต้กันอย่างชัดเจน ลัทธิภาคนิยม เห็นกันชัดเจนไปแล้ว อย่าให้ต้องถึงขั้นคนที่จะขึ้นมาปกครองประเทศก็ต้องแบ่งภาคกันด้วย
สังคมประชาธิปไตยบ้านเรา กลายเป็นความบ้าคลั่ง
ระบบการเมืองต่อไปนี้แม้แต่จะมองหน้ากันก็ไม่สนิทใจ จะถกแถลงถึงประเด็นการเมืองก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ สถาบันการเมืองกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไปฉิบ น้ำเน่าจะมาไล่น้ำดีหมด
นักการเมืองกลายเป็นตัวประหลาด
ระบบเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพและความเชื่อมั่น ลงทุนไปแล้วไม่มีหลักประกันความแน่นอน สามวันดีสี่วันไข้ รัฐบาลอายุสั้นเอาคนเป็นหมื่นมายึดทำเนียบก็หมดน้ำยา เป็นเศรษฐกิจแบบเช้าชามเย็นชาม
หน้าโง่ที่ไหนจะกล้าลงทุน
ระบบสังคมเลือกข้างแบ่งขั้ว ไม่ยอมรับฟังและเคารพกฎกติกาส่วนรวม เป็นสังคมต่างคนต่างอยู่ แม้แต่สังคมครอบครัวก็ใกล้จะล่มสลาย ใครมือยาวสาวได้สาวเอา เป็นสังคมแห่งความหดหู่ท้อแท้ เห็นแก่ตัว
แล้วมาตกผลึกที่การสิ้นชาติในที่สุด
ความเป็นชาติไม่ใช่แค่มีแผ่นดินคุ้มกะลาหัวเท่านั้น แต่ คนในชาติต้องเป็นปึกแผ่น มีความรักความสามัคคี มีสัญลักษณ์ ที่จะแสดงถึงเอกภาพและภราดรภาพ
ในการที่จะรักษาชาติเอาไว้ด้วย.
“หมัดเหล็ก”