โดย Porsche
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ร้ายกว่ารัฐประหาร
โดย : กาหลิบ
หากเขาสั่งรัฐประหารอีกครั้ง ซึ่งอาจจะในเร็ววันนี้
ท่านที่เป็นนักประชาธิปไตยปรองดองทั้งหลายจะยังเดินหน้าปรองดองกับเขาต่อไปไหม?
ขอถามไว้ดังๆ ตรงนี้เพื่อตราเอาไว้ให้ชัด
ได้ยินมาหลายครั้งว่า รัฐประหารสิดี ปวงชนชาวไทยจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
และอาจจะทำให้เกิด “ลุกขึ้นสู้” ขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่า
คนที่พูดกำลังเตรียมการใหญ่เพื่อประชาธิปไตยในแผ่นดินนี้อยู่
ทั้งที่เห็นวิ่งวุ่นชุลมุนก่อสถานการณ์ที่นั่นที่นี่
เพียงบีบให้เขายอมเจรจาด้วยเท่านั้นเอง ไม่ได้เตรียมการใดๆ เพื่อประชาธิปไตยเลยสักนิด
เมื่อไม่ได้เตรียมตัวให้สมศักดิ์ศรีของระบอบประชาชน
การรัฐประหารอีกครั้งในระบอบเผด็จการโบราณก็มีแต่ผลเสียต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
โดยเฉพาะการไล่ล่าปราบปรามแกนนำแกนนอนของขบวนการประชาธิปไตยใหม่
จนราบคาบด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมรุนแรง
พวกนักเลือกตั้งอาชีพเขาก็จะกลับไปนอนเงียบๆ ที่บ้านหรือไม่ก็ออกทัวร์ต่างประเทศ
คอยเวลาที่คณะรัฐประหารจะดิ้นรนสร้างภาพลักษณ์ด้วยการประกาศการเลือกตั้ง “โดยพลัน”
เพื่อให้โลกเห็นว่าไม่ได้ทำรัฐประหารเพื่อตัวเอง
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะลอยเหนือหัวประชาชนออกมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง
หวังได้เป็นรัฐบาลด้วยวิธีผสมพันธุ์กับใครก็ได้
ใครตายก็ตายไป
คนที่เจนจัดกว่าเขาก็รอดชีวิตอยู่เพื่อเล่นบทบาท “ผู้นำ” กันต่อไปอย่างไร้ความหมาย
เพราะอำนาจรัฐที่แท้จริงไม่มีวันอยู่ในมือตน
อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งเคยอธิบายเหตุผลที่ยอมร่วมงานกับคณะรัฐประหารเอาไว้ว่า
“...น้ำครึ่งแก้วดีกว่าไม่มีเลย กระผมไม่อยากตายประชดป่าช้า...”
แล้วก็กลายเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กับเขาไปทั้งตัว ทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง
เหตุผลที่ฟังเผินๆ ดูดีแบบนี้ล่ะ
ที่ทำให้เราขาดแกนนำขบวนการประชาชนมาทุกยุคทุกสมัย
ก็อ้าขาผวาปีกหิวกระหายไปขอน้ำครึ่งแก้วจากเขา
จะไปเหลือศักดิ์ศรีอะไรมาหาน้ำอีกครึ่งแก้วให้กับคนในระบอบประชาชน
คำถามคือหากเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
จะเลือกวางจุดยืนทางการเมืองของตนอย่างไร จะผวาหาน้ำครึ่งแก้วหรือ
จะกล้าประกาศว่าเอาน้ำครึ่งแก้วของเอ็งคืนไปเถิด ข้าไม่ปรารถนา
อีกไม่นานก็คงจะรู้ทั่วกัน
เดิมทีการรัฐประหารเป็นของแสลงอันดับหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ณ ที่ใดก็ตาม
ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยต้องช่วยกันสกัดกั้นและต่อต้านในทุกทาง
ถึงวันนี้ภัยอันตรายของรัฐประหารก็ยังมิได้เสื่อมคลายลงไป
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
รัฐประหารไม่ใช่ศัตรูอันดับหนึ่งของระบอบประชาชนอีกแล้วในวันนี้
ศัตรูอันดับหนึ่งของระบอบประชาชนคือ
ผู้นำประชาธิปไตยจอมปลอมที่เปล่งวาจาประชาธิปไตยอยู่ทุกวัน
แต่คอยสกัดกั้นมิให้ขบวนการปฏิวัติของประชาชนเกิดขึ้นได้แม้จะเกิดรัฐประหาร
เพราะกลัวว่ากลุ่มผลประโยชน์ของตนจะควบคุมมวลชนไม่ได้
เมื่อฝ่ายตรงข้ามสิ้นอำนาจลงและฝ่ายตนจะทะยานขึ้นสู่อำนาจนั้นแทน
ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดขบวนประชาธิปไตยไปเรื่อยๆ
เตรียมโค่นฝ่ายเขาลงเพื่อตัวจะก้าวขึ้นเป็นผู้เผด็จการใหม่เท่านั้น
ถ้าคนชนิดนี้ยังเรืองอำนาจอยู่ ขบวนการประชาชนธรรมชาติไม่มีวันจะได้เกิด
เพราะเขาต้องการแค่กลุ่มมวลชนที่เขาควบคุมและสั่งการได้จากรีโมทคอนโทรล
เขาจึงต้องทำลายพลังมวลชนธรรมชาติและสู้สงครามกับระบอบเก่าไปพร้อมกัน
โดยสรุป
หากเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง พี่น้องประชาชนโปรดฟังเสียงของตัวเองเป็นหลัก
อย่าได้หลงเชื่อศัตรูหมายเลขหนึ่งและศัตรูหมายเลขสองของระบอบประชาชนเลยครับ.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/10/blog-post_21.html
คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ร้ายกว่ารัฐประหาร
โดย : กาหลิบ
หากเขาสั่งรัฐประหารอีกครั้ง ซึ่งอาจจะในเร็ววันนี้
ท่านที่เป็นนักประชาธิปไตยปรองดองทั้งหลายจะยังเดินหน้าปรองดองกับเขาต่อไปไหม?
ขอถามไว้ดังๆ ตรงนี้เพื่อตราเอาไว้ให้ชัด
ได้ยินมาหลายครั้งว่า รัฐประหารสิดี ปวงชนชาวไทยจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
และอาจจะทำให้เกิด “ลุกขึ้นสู้” ขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่า
คนที่พูดกำลังเตรียมการใหญ่เพื่อประชาธิปไตยในแผ่นดินนี้อยู่
ทั้งที่เห็นวิ่งวุ่นชุลมุนก่อสถานการณ์ที่นั่นที่นี่
เพียงบีบให้เขายอมเจรจาด้วยเท่านั้นเอง ไม่ได้เตรียมการใดๆ เพื่อประชาธิปไตยเลยสักนิด
เมื่อไม่ได้เตรียมตัวให้สมศักดิ์ศรีของระบอบประชาชน
การรัฐประหารอีกครั้งในระบอบเผด็จการโบราณก็มีแต่ผลเสียต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
โดยเฉพาะการไล่ล่าปราบปรามแกนนำแกนนอนของขบวนการประชาธิปไตยใหม่
จนราบคาบด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมรุนแรง
พวกนักเลือกตั้งอาชีพเขาก็จะกลับไปนอนเงียบๆ ที่บ้านหรือไม่ก็ออกทัวร์ต่างประเทศ
คอยเวลาที่คณะรัฐประหารจะดิ้นรนสร้างภาพลักษณ์ด้วยการประกาศการเลือกตั้ง “โดยพลัน”
เพื่อให้โลกเห็นว่าไม่ได้ทำรัฐประหารเพื่อตัวเอง
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะลอยเหนือหัวประชาชนออกมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง
หวังได้เป็นรัฐบาลด้วยวิธีผสมพันธุ์กับใครก็ได้
ใครตายก็ตายไป
คนที่เจนจัดกว่าเขาก็รอดชีวิตอยู่เพื่อเล่นบทบาท “ผู้นำ” กันต่อไปอย่างไร้ความหมาย
เพราะอำนาจรัฐที่แท้จริงไม่มีวันอยู่ในมือตน
อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งเคยอธิบายเหตุผลที่ยอมร่วมงานกับคณะรัฐประหารเอาไว้ว่า
“...น้ำครึ่งแก้วดีกว่าไม่มีเลย กระผมไม่อยากตายประชดป่าช้า...”
แล้วก็กลายเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กับเขาไปทั้งตัว ทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง
เหตุผลที่ฟังเผินๆ ดูดีแบบนี้ล่ะ
ที่ทำให้เราขาดแกนนำขบวนการประชาชนมาทุกยุคทุกสมัย
ก็อ้าขาผวาปีกหิวกระหายไปขอน้ำครึ่งแก้วจากเขา
จะไปเหลือศักดิ์ศรีอะไรมาหาน้ำอีกครึ่งแก้วให้กับคนในระบอบประชาชน
คำถามคือหากเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
จะเลือกวางจุดยืนทางการเมืองของตนอย่างไร จะผวาหาน้ำครึ่งแก้วหรือ
จะกล้าประกาศว่าเอาน้ำครึ่งแก้วของเอ็งคืนไปเถิด ข้าไม่ปรารถนา
อีกไม่นานก็คงจะรู้ทั่วกัน
เดิมทีการรัฐประหารเป็นของแสลงอันดับหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ณ ที่ใดก็ตาม
ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยต้องช่วยกันสกัดกั้นและต่อต้านในทุกทาง
ถึงวันนี้ภัยอันตรายของรัฐประหารก็ยังมิได้เสื่อมคลายลงไป
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
รัฐประหารไม่ใช่ศัตรูอันดับหนึ่งของระบอบประชาชนอีกแล้วในวันนี้
ศัตรูอันดับหนึ่งของระบอบประชาชนคือ
ผู้นำประชาธิปไตยจอมปลอมที่เปล่งวาจาประชาธิปไตยอยู่ทุกวัน
แต่คอยสกัดกั้นมิให้ขบวนการปฏิวัติของประชาชนเกิดขึ้นได้แม้จะเกิดรัฐประหาร
เพราะกลัวว่ากลุ่มผลประโยชน์ของตนจะควบคุมมวลชนไม่ได้
เมื่อฝ่ายตรงข้ามสิ้นอำนาจลงและฝ่ายตนจะทะยานขึ้นสู่อำนาจนั้นแทน
ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดขบวนประชาธิปไตยไปเรื่อยๆ
เตรียมโค่นฝ่ายเขาลงเพื่อตัวจะก้าวขึ้นเป็นผู้เผด็จการใหม่เท่านั้น
ถ้าคนชนิดนี้ยังเรืองอำนาจอยู่ ขบวนการประชาชนธรรมชาติไม่มีวันจะได้เกิด
เพราะเขาต้องการแค่กลุ่มมวลชนที่เขาควบคุมและสั่งการได้จากรีโมทคอนโทรล
เขาจึงต้องทำลายพลังมวลชนธรรมชาติและสู้สงครามกับระบอบเก่าไปพร้อมกัน
โดยสรุป
หากเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง พี่น้องประชาชนโปรดฟังเสียงของตัวเองเป็นหลัก
อย่าได้หลงเชื่อศัตรูหมายเลขหนึ่งและศัตรูหมายเลขสองของระบอบประชาชนเลยครับ.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/10/blog-post_21.html