บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

6เสื้อแดงพ้นมลทินคดีปล้นCTWยัดคุกฟรีปีครึ่ง วอลล์เปเปอร์ซี้มาร์คใจบอดบิดเบือนเจอคุกคดีเผาห้าง

ที่มา Thai E-News

พ้นมลทินจากศาลแต่ไม่พ้นพวกใจบอด-ศาล ยกฟ้องคนเสื้อแดงคดีปล้นCTW ผิดเพียงข้อหาขัดพรก.ฉุกเฉินตัดสินจำคุกครึ่งปี แต่เนื่องจากติดคุกมาปีครึ่งห้ามประกันเลยปล่อยตัว ขณะที่วอลล์เปเปอร์ คนใกล้ชิดอภิสิทธิ์นำไปบิดเบือนในเฟซบุ๊คว่า "ศาลพิพากษาจำคุก 6 นปช.เผา ปล้น เซ็นทรัลเวิล์ดคนละ 6 เดือน หัวโจก 3 ปี 6 เดือน ไหนแกนนำแดง บอกว่าไม่เคยจับคนเผาได้ บอกทหารเป็นคนเผา คำตัดสินออกมาอย่างนี้จะว่างัยครับ"(ดูเฟซบุ๊ค Sirichok Sopha )


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
1 ธันวาคม 2554


วันนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ตัดสินยกฟ้อง 6 จำเลยคดีปล้นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (CTW) แต่ได้ตัดสินลงโทษ 1 ใน 7 จำเลยข้อหาลักทรัพย์ จำุคุก 3 ปี 6 เดือน ที่เหลืออีก 6 รายยกฟ้อง แต่ลงโทษคดีชุมนุมขัดพรก.ฉุกเฉินให้จำคุก 1 ปี แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน และเนื่องจากถูกจำคุกไปแล้ว 1 ปีครึ่ง ให้ปล่อยตัว

เย็นนี้ขอเชิญคนเสื้อแดง โดยเฉพาะแกนนำทั้งหลายกรุณาทำตัวให้ว่างไปรับเพื่อนสู่อิสรภาพในเวลาราว 19.00 น.ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพราะตอนแกนนำติดคุกอยู่นั้นคนเสื้อแดงเขาทำตัวว่างได้เสมอสำหรับพวกคุณ ส่วนอีกรายอาจต้องประกันสู้คดีกันต่อไป

"ประทานโทษ จำเลยติดมาปีกว่าแล้ว ไม่ได้ประกัน ฮาสัสสสสสส ! ผมเคยได้คุยกับจำเลยคนหนึ่ง แกบอกว่าวิ่งหนีทหารที่ไล่ยิงไปหลบในCTWแล้วตำรวจก็มาจับ"ทนายอานนท์ นำภา เปิดเผยทางเฟซบุ๊ค โดยระบุว่าตัวเขาไม่ได้เป็นทนายความคดีนี้ "ปรบมือดังๆ ให้กับทีมทนายอาสา พี่อาคม รัตนพจนารถ(ทนายเสื้อแดงตัวจริง )"

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.และส.ส.เพื่อไทยกล่าวในเฟซบุ๊คว่า วันนี้ศาลตัดสินคดีปล้นห้าง 7 คนยกฟ้องทั้งหมดแต่ลงโทษจำคุก3ปี1คนคดีลักทรัพย์ในเหตุฉกรรจ์ ค่ำนี้จะปล่อยตัว 5 คนจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนอีก 2 คนคือที่ถูกจำคุกกับถูกอายัดคดีอื่นจะใช้ตำแหน่ง ส.ส.ยื่นประกันพรุ่งนี้ อภิสิทธิ์กับพวกจะรู้สึกอะไรบ้างไหมที่เอาคนไปขังไว้ปีครึ่งแล้วศาลยกฟ้อง


ดร.สุดา รังกุพันธ์ รายงานจากหน้าเรือนจำว่านายณัฐวุฒิได้ไปร่วมรอต้อนรับคนเสื้อแดงที่ออกจากคุกวันนี้ด้วย

คดีนี้อัยการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายพินิจ จันทร์ณรงค์ และพวกรวม 7 คน ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัยพ์โดยมีและใช้อาวุธปืนร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปขัด ขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำกำลัง ประทุษร้ายโดยมีและใช้อาวุธปืน ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริการ ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม

ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 7 ถูกจับกุมตัวในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศสลายการชุมนุมในช่วงบ่าย และทั้งหมดถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ไม่ได้รับการประกันตัวเลย หนึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง ขณะนี้จำเลยที่ 1 คือ นายพินิจ จันทร์ณรงค์ ยังเป็นจำเลยในคดีเผา CTW ร่วมกับนายสายชล แพบัว ซึ่งจะมีการนัดสืบพยานกันต่อในปีหน้า นอกจากนี้ยังมีเยาวชนชายอายุ 17 ปีอีก 2 คนที่ถูกฟ้องในคดีปล้นทรัพย์ และเผา CTW เช่นกัน แต่แยกพิจารณาที่ศาลเยาวชน และมีการนัดสืบพยานต่อในปีหน้า

ประชาไท รายงานรายละเอียดว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคดีหมายเลขดำที่ 2235/2553 ที่พนักงานอัยการฟ้องนายพินิจ จันทร์ณรงค์ กับพวกรวม 7 คน ในฐานความผิด ร่วมกันปล้นทรัยพ์โดยมีและใช้อาวุธปืนร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปขัดขวางเจ้า พนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำกำลังประทุษร้ายโดยมี และใช้อาวุธปืน ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริการ ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม

โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 7 มีความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้จำคุกคนละ 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้คนละ 6 เดือน

ส่วนข้อหาใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ ขัดขวางเจ้าหน้าที่นั้น ศาลยกฟ้องจำเลยทั้ง 7 คน เนื่องจากแม้จะสามารถตรวจยึดกระสุนได้ภายในห้าง แต่ไม่พบอาวุธที่ตัวจำเลย และเจ้าพนักงานก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวเป็นของจำเลย อีกทั้งไม่มีการนำสืบว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธต่อสู้ขัดขวางการทำงานของเจ้า พนักงาน

ส่วนข้อหาปล้นทรัพย์ภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (CTW) ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันลักเอาทรัพย์สินต่างๆ รวม 18 รายการ มูลค่า 95,430 บาทนั้น ยังไม่มีทรัพย์สินของกลางที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้กระทำความผิด คงมีเพียงนายคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม จำเลยที่ 3 ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ( รปภ.) ประจำห้างสรรพสินค้า สามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ และ แบตเตอร์รี่ จากร้านขายโทรศัพท์มือถือได้ จึงยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน เว้นแต่จำเลยที่ 3 ให้ลงโทษ 3 ปี

จำเลยทั้ง 7 คนประกอบไปด้วย จำเลยที่1 นายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 28 ปี ชาวจ.ชัยภูมิ อาชีพรับจ้าง, จำเลยที่ 2 นายวิศิษฏ์ แกล้วกล้า อายุ 33 ปี ชาวจ.อ่างทอง อาชีพรับจ้าง, จำเลยที่ 3 นายคมสัน สุดจันทร์ฮาม อายุ 42 ปี ชาวจ.ขอนแก่น อาชีพรับจ้าง, จำเลยที่ 4 นายอาทิตย์ เบ้าสุวรรณ อายุ 29 ปี ชาวจ.สมุทรปราการ อาชีพรับจ้าง, จำเลยที่ 5 นายพรชัย โลหิตดี อายุ 36 ปี ชาวจ.อุดรธานี อาชีพรับจ้าง, จำเลยที่ 6 นายยุทธชัย สีน้อย อายุ 23 ปี ชาวจ.สระบุรี อาชีพรับจ้าง และจำเลยที่ 7 นางเจียม ทองมาก อายุ 45 ปี ชาวจ.บุรีรัมย์ อาชีพรับจ้าง

อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำมาตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งเกินระยะเวลา 6 เดือนแล้ว ทั้งหมดจึงจะได้รับการปล่อยตัวในเย็นนี้ ยกเว้นนายคมสันต์ จำเลยที่ 3 ที่ถูกตัดสินจำคุกรวม 3 ปี 6 เดือน และนายพินิจ จันทร์ ณรงค์ ที่เป็นจำเลยในคดีวางเพลิง CTW อีกคดีหนึ่งซึ่งจะสืบพยานต่อในปีหน้า ทั้งนี้ นักกิจกรรมและคนเสื้อแดงมีการนัดหมายไปรับผู้ต้องขังที่จะได้รับการปล่อยตัว ในเย็นวันนี้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง

เจ้าหน้าที่จากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ซึ่งติดตามคดีดังกล่าวตั้งแต่ชั้นสืบพยาน ตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้เป็นคดีเดียวที่เจ้าหน้าที่รัฐฟ้องประชาชนว่าต่อสู้หรือขัดขวางเจ้า พนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อาวุธปืน ทั้งที่รัฐบาลที่แล้วบอกเสมอว่าคนเสื้อแดงมีอาวุธ แต่ไม่เคยจับใครได้ มีเพียงกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ในที่สุดศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะพยานหลักฐานอ่อนมาก ขณะที่จำเลยทั้งหมดถูกขังในเรือนจำเกือบสองปีโดยประกันไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาหนักมากว่ามร่วมกันปล้น ซึ่งไม่ได้ดูพฤติการณ์เลยว่าจำเลยทั้งหมดมาจากคนละจังหวัด ไม่รู้จักกันมาก่อน นอกจากนี้จากการสอบถามกับจำเลยบางคนยังยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่ที่จับกุมมี การซ้อมผู้ต้องหา และใช้ไฟฟ้าช็อตจนหมดสติ เพื่อบังคับให้รับสารภาพด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังทราบคำตัดสินของศาล ญาติๆ ของจำเลยพากันดีใจ และมีการเข้าไปพูดคุยกับจำเลยทุกคน ยกเว้นนายคมสันต์ ซึ่งถูกพิพากษาว่ากระทำความผิด ไม่ยอมออกมาพบปะพูดคุยกับญาติ

นางเจียม ทองมาก จำเลยในคดีนี้ซึ่งถูกขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางมาปีครึ่งกล่าวทั้งน้ำตาว่า รู้สึกดีใจมากที่ศาลชั้นต้นให้ความยุติธรรม หลังจากรอวันนี้มาตลอดปีครึ่งเนื่องจากไม่สามารถประกันตัวสู้คดีได้ พร้อมทั้งยืนยันว่าในวันเกิดเหตุตนเองได้วิ่งหนีตายเข้าไปในเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะมีเสียงกระสุนปืนไล่หลังมาตลอด และจำเลยทั้งหมดไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเพียงแต่โดนจับภายในห้างแล้วนำมารวม กัน

“เหตุการณ์มันสับสนไปหมด มันแรงมาก มันน่ากลัวมาก” เจียมซึ่งมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายขนมถ้วยเล่า เธออาศัยอยู่ย่านบางแคเหนือ และเริ่มไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 โดยระบุเหตุผลที่เข้าร่วมว่าต้องการประชาธิปไตย ความเป็นธรรม และอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง

“ประชาชนอยากรู้ อยากเห็น เขามากันทั่วสารทิศ เราขายขนมเลิกเย็น ก็ไปชุมนุม ไปช่วยเขาทำกับข้าวแจก กลับบ้านเที่ยงคืน ตีหนึ่ง เป็นอย่างนี้ประจำ” เจียมกล่าว

ขณะที่นางหนูพิศ จันทร์ณรงค์ แม่ของนายพินิจ ซึ่งเดินทางมากับสามีจากจังหวัดชัยภูมิ กล่าวพร้อมน้ำตาว่า ดีใจที่ศาลยกฟ้อง และได้เห็นลูกอีกครั้งในวันนี้ แม้จะยังรับไม่ได้กับภาพลูกใส่โซ่ตรวนเดินขึ้นศาล

เมื่อถามว่าอยากจะเรียกร้องความช่วยเหลือใดจากรัฐบาลหรือไม่ นางหนูพิศตอบว่า เข้าใจรัฐบาลว่ามีปัญหาใหญ่ให้จัดการหลายอย่าง แม้ตนจะเดือดร้อนแต่ยังเอาใจช่วยรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หากเป็นไปได้อยากให้ช่วยดูแลเรื่องงานของลูกชายหลังจากออกจากเรือนจำ เพราะเกรงว่าลูกจะหางานทำไม่ได้ และครอบครัวมีก็มีฐานะยากจน โดยทั้งสามีและเธอมีอาชีพทำไร่อ้อย

รายละเอียดของคดีและคำตัดสินจากมติชนออนไลน์

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณา 604 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ซอยเจริญกรุง 63 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีปล้นทรัพย์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คดีหมายเลขดำที่ ด.2235/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 27 ปี, นายวิศิษฐ์ แก้วหล้า อายุ 33 ปี, นายคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม อายุ 42 ปี, นายอาทิตย์ เบ้าสุวรรณ อายุ 29 ปี, นายพรชัย โลหิตดี อายุ 36 ปี, นายยุทธชัย สีน้อย อายุ 23 ปี และนางเจียม ทองมา อายุ 45 ปี ทั้งหมดเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดต่อเจ้าพนักงาน, ปล้นทรัพย์ และฝ่าฝืนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

ตามคำฟ้องเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 7 กับนายภาสกร ไชยสีทา, นายอัตพล วรรณโต ซึ่งเป็นเยาวชน และถูกแยกตัวดำเนินคดีต่างหาก และพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ถูกจับกุม ได้ร่วมกันชุมนุมและมั่วสุมกันที่แยกราชประสงค์ โดยใช้กำลังทำลายบานกระจก ผนังอาคาร บานกระจกประตู อาคารสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จนแตกเสียหาย แล้วได้ร่วมกันลักเอาทรัพย์สินต่างๆ ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวม 18 รายการไป

โดยจำเลยทั้ง 7 กับพวกมีอาวุธปืนไม่ทราบชนิดขนาดและจำนวนพร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวนหลายนัด ซึ่งใช้ข่มขู่และขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกาย ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจ สน.ยานนาวา ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณนั้น ได้พบเห็นการกระทำของจำเลยทั้ง 7 กับพวกซึ่งเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จึงได้แสดงตนเข้าจับกุม แต่จำเลยทั้ง 7 กับพวกได้ใช้อาวุธปืนยิงในบริเวณอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จำนวนหลายนัด เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138, 140, 340, 340 ทวิ 340 ตรี ขอให้ศาลได้สั่งให้พวกจำเลยคืนของกลาง ทั้ง 18 รายการ ให้แก่ บริษัทซิตี้เซน (ประเทศไทย) จำกัด และผู้มีชื่อเจ้าของทรัพย์ ที่เป็นผู้เสียหายด้วย

โดยคดีนี้จำเลยทั้ง 7 ให้การรับสารภาพ ข้อหาฝ่าฝืนประกาศ ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่ให้การปฏิเสธข้อหาอื่นๆ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า แม้คดีนี้เจ้าพนักงานจะสามารถจับกุมจำเลยทั้ง 7 คน ได้ในที่เกิดเหตุ ขณะก่อความวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้ง7 เป็นผู้ใช้อาวุธปล้นทรัพย์ หรือต่อสู้ขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน อีกทั้งยังไม่มีทรัพย์สินของกลางที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้กระทำความ ผิด คงมีเพียงนายคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม จำเลยที่ 3 ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ประจำห้างสรรพสินค้า สามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและแบตเตอรี่ ที่ขโมยมาจากร้านขายโทรศัพท์มือถือได้ ดังนั้นลำพังที่เจ้าพนักงานสามารถจับกุมจำเลยได้ในที่เกิดเหตุ ยังไม่สามารถสันนิษฐานให้เป็นโทษกับจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าจำเลยที่ 1, 2, 4, 5, 6 และ 7 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์และใช้อาวุธต่อสู้เจ้าพนักงาน แม้จะสามารถตรวจยึดกระสุนปืนเอ็ม 60 จำนวน 100 นัดได้ภายในห้าง แต่เจ้าพนักงานก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวเป็นของจำเลย

จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-7 มีความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 7 เป็นเวลาคนละ 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้ง 7 ไว้เป็นเวลาคนละ 6 เดือน นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ยังมีความผิดฐานลักทรัพย์อีกกระทง ให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้ทั้งสิ้นเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน และให้จำเลยคืนของกลางคืนแก่ผู้เสียหายด้วย ส่วนข้อหาพิพากษายกฟ้อง


******


เรื่องเกี่ยวเนื่อง:เช็กบัญชีมือฆ่าหมู่10เมษา-19พฤษภา ใครเป็นมือสไนเปอร์ ใครเหี้ย..มสังหารหมู่วัดปทุม ใครเผาCTW?

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker