วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
หลังการปราชัยในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม แบบ ‘หมดทางสู้’ ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของ ‘นายกฯปู’ ซึ่งประกอบด้วยพรรคฝ่ายค้านปัจจุบัน และสื่อฝ่ายตรงข้าม ได้เปิดฉากการเคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาลใหม่ทันที
น่าเห็นใจที่คนพวกนี้ จำต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อสู้กันไป เพราะไม่มีทางเลือก เนื่องจากอำนาจรัฐเปลี่ยนมือจากพวกตน กลับไปสู่พรรคเพื่อไทยดังเดิม
หากฝ่ายที่เป็นปรปักษ์อยู่เฉยๆ โดยไร้กิจกรรมทางการเมือง ปล่อยให้รัฐบาลปัจจุบัน ทยอยขุดแผลเก่า ทั้งเรื่องคอรัปชั่น การบริหารที่ไม่โปร่งใส ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯลฯ ระหว่างที่พวกตนอยู่ในอำนาจตำแหน่ง กว่า 2 ปี รังแต่จะต้องเดือดร้อน และตกเป็นรองทางการเมืองไปอีกนาน อีกทั้งยังจะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยการปราชัยต่อกลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณฯซ้ำๆซากๆ
ดังนั้น อุทกภัยครั้งนี้ จึงกลายเป็นโอกาสทอง ที่ทำให้พวกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ได้กระดี๊กระด๊าร่าเริงกันอีกครั้ง จึงตั้งหน้าระดมโจมตีรัฐบาลนายกฯปู ด้วยสื่อของพวกตน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำไปถึงดึกดื่นยันอุษาสาง
การโจมตีดังกล่าว ไม่ได้ทำอย่างสะดวกดายนัก เพราะพวกเขาถูกโต้ตอบแบบฉับพลันทันที จากกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล และผู้รักชาติและประชาธิปไตย และกลายเป็นประเด็นร้อน จนมีการลากเข้าไปถกกันในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้นักการเมืองได้ตีฝีปากกัน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคล ที่เพิ่งจบและมีการลงคะแนนกันไปเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะฝ่ายที่ยื่นอภิปรายพ่ายแพ้แบบหลุดลุ่ย
ผลการอภิปรายของฝ่ายค้าน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายเหลือเกินว่า
ชาวบ้านที่เขาตามฟัง ต่างคิดว่าการที่ฝ่ายค้านอุตส่าห์ยื่นอภิปรายครั้งนี้ น่าจะมีพยานหลักฐานใหม่ที่หนักแน่นพอ สามารถจวกรัฐมนตรียุติธรรมได้อย่างชัดเจน แต่กลับกลายเป็นการนำเสนอหลักฐานเดิมซ้ำๆซากๆ โดยปราศจาก ‘หมัดเด็ด’ ที่จะคว่ำรัฐบาลได้
น่าประหลาดใจนัก ที่หลักฐานต่างๆ ซึ่ง ส.ส.ฝ่ายค้านนำเสนอในสภาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ไม่ได้แสดงถึงการค้นคว้า หรือทำการบ้านของพวกเขาแต่ประการใด หากแต่ฝ่ายค้านนั้น ‘มักง่าย’ ไปหยิบหลักฐานที่อ่อนด้อย จากสื่อออนไลน์ เว็บไซด์ต่างๆ และสำคัญคือ สถานีโทรทัศน์ TPBS ซึ่งแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลนายกฯปูอย่างชัดเจน เอามาเป็นหลักฐานในการปรักปรำรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย และฟาดหางเอารัฐบาลเข้าด้วย
สถานีโทรทัศน์ TPBS นั้น โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถือกำเนิดเกิดจาก ‘รัดทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ’ ซึ่งเห็นทีที่ผู้เขียน จะต้องวิพากษ์วิจารณ์ สถานีอัปรีย์กาลีแห่งนี้ แบบ ‘ไล่ตีกบาล’ อย่างไม่ลดละ
คอยดูกันไป!
นอกจากฝ่ายค้าน ไม่สามารถชิงความได้เปรียบ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้แล้ว ยังโดน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรียุติธรรม ผู้ถูกยื่นอภิปราย ตีโต้ตอบแบบ ‘ศอกกลับ’ เข้าตรงปากครึ่งจมูกครึ่ง ทำเอาผู้อภิปรายจากพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงขั้นฟันหัก หน้าแหก เลือดสาด เสียผู้เสียคนไปตามๆกัน
ยิ่งไปกว่านั้น
คนโดนอภิปรายอย่างคุณประชาฯ ยังเสนอหลักฐานใหม่ ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน คือ คลิป นายมาร์ค มุกควาย ที่ดันเอา ‘ถุงยังชีพ’ ของกระทรวงพลังงานรัฐบาลปัจจุบัน ไปแจกแบบหน้าเฉยตาเฉย ที่จังหวัดพิษณุโลก แทนที่จะเป็นถุงของพรรคประชาธิปัตย์เอง เรียกเสียงโห่ฮา จากผู้คนที่ติดตามฟังการอภิปรายได้พอสมควร และมีบางคนตะโกนออกมาว่า
“ไม่ยอมลงทุนเลยนะ...ไอ้พวกมึง!”
ตรงนี้เอง ทำให้นึกถึงเรื่องที่ผมเคยเล่า ให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เมื่อคราวน้ำท่วมยุคนายมาร์คฯ ยังเป็นหัวหน้ารัฐบาล ถุงของ อ.ส.ม.ท.ที่เตรียมให้ผู้ประสบภัย ยังโดนรัฐบาลโลซกของ นายมาร์ค มุกควาย ตีกินด้วยการนำถุงของสำนักนายยกฯ ไปสวมทับ ทำให้ราษฎรหลงผิดคิดว่า ถุงดังกล่าวทางสำนักนายกฯเป็นผู้จัดหามา
สันดาน...ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ!
นึกว่าเรื่องจะจบแค่นั้น แต่ไม่ใช่ วันถัดมาปรากฏข่าวสารว่า
นาย ปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้ทำหนังสือประทับตราด่วนที่สุด ที่พล 0016.2/26141 ลงวันที่ 28 พ.ย.2554 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องขอชี้แจงกรณีการอภิปรายประเด็นที่พาดพิง ถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย เนื้อหาว่า
เมื่อ ประมาณกลางเดือนพ.ค.2554 ข้าพเจ้าได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จาก น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก ประสงค์ขอรับการสนับสนุนถุงยังชีพจากผู้ว่าฯ จำนวน 500 ถุง
จึงได้เรียนไปว่าขณะนี้ถุงยังชีพของจังหวัดหมดแล้ว ไม่มีสนับสนุน ซึ่งน.พ.วรงค์ได้แจ้งยืนยันให้ทราบว่า ยังมีถุงยังชีพอยู่ที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก อีกจำนวน 500 ถุง ซึ่ง ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า ยังมีถุงยังชีพเหลืออยู่และมาจากแหล่งใด แต่เมื่อตรวจสอบกับพลังงาน จ.พิษณุโลก จึงได้ทราบว่ามีอยู่จริง และขณะที่ตรวจสอบนั้นยังไม่ทราบจำนวนที่เหลืออยู่ ซึ่งในสถานการณ์ขณะนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง หากจะปฏิเสธการสนับสนุนดังกล่าวก็เห็นว่า ผู้ที่ขอร้องมาคือสมาชิกสภาผู้แทนฯ ต้องการที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรและอาจถูกตำหนิได้ว่า ไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาตให้ไปตามจำนวนเท่าที่สำนัก งานพลังงาน จ.พิษณุโลก มีอยู่
ทางสื่อต่างๆก็ลงสรุปคำแถลงของ นายพิชัย นะริพทะพันธ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เจ้าของถุง ที่ระบุว่า
นี่ คือหลักฐานฟ้องว่า น.พ.วรงค์ มีพฤติการณ์เข้าข่ายแทรกแซง บีบบังคับการทำงานของส่วนราชการ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266
ทางพรรคเพื่อไทยก็เคลื่อนไหว ที่จะถอดถอนนายมาร์ค มุกควาย และหมอวรงค์ฯทันที
สำหรับ น.พ.วรงค์ฯ คนที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการ จัดฉากให้นายมาร์ค มุกควาย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การกระทำครั้งนี้
“ไม่ได้เสียหมอ แต่เสียหมาด้วย!”
ดังนั้น ขอแนะนำคุณหมอว่า อย่าทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด เพราะขืนทำซ้ำ คนเมืองอกแตกอย่างพิษณุโลก อาจให้ฉายาท่านว่า
“หมอวรงค์...ไอ้หมอ-จอมขา”
ใครจะไปรู้!
การอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณประชาฯ ในทัศนะของผมแล้ว เห็นว่าไม่สนุก เท่ากับการอภิปรายทั่วไปเรื่องน้ำท่วม เมื่อวันที่ซึ่ง
จำง่ายมาก และน่าจะจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย ว่า
เป็นวันที่มีคุณค่าสำหรับความทรงจำ คือวันที่ 11 พฤศจิกายน คริสต์ศักราช 2011 หรือจำง่ายๆคือ
11-11-11
ในวันนั้น ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ตีฝีปากได้ไม่ดีเท่าที่ควร (แล้วยังเอามาฉายซ้ำซาก ในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อ 28 พ.ย.2554 อีกด้วย) คงเป็นด้วยพวกตัวเอง มีแผลเหวอะหวะติดหลัง จากการบริหารที่ห่วยแตก ครั้งของพวกตน แย่งอำนาจบริหารประเทศไปเป็นรัฐบาล
มิหนำซ้ำสมัยที่พวกตนเป็นรัฐบาล เมื่อคราวโคราชประสบอุทกภัยครั้งหนักหน่วง เมื่อปี พ.ศ.2553 นายมาร์ค มุกควาย หัวหน้าแก๊งรัฐบาลโลซก ดันไปพูดให้ชาวบ้านยอมรับสภาพเสียอีก
เลยถูกสวนกลับ หน้าแหกไป!
การอภิปราย เรื่องน้ำท่วมในสภาวันที่ 11-11-11 นั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ลุกขึ้นอภิปราย และได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนเอามากๆ เห็นจะเป็น
ส.ส.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ผู้แทนหนุ่มคนนี้ อภิปรายได้ดีเหลือเกิน ภาษากายของเขามีท่าทีที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย ภาษาปากก็เฉียบคม ไม่ก้าวร้าวรุนแรง เชือดกันนิ่มๆ แต่ถึงเลือดสาดกระจายเลยทีเดียว
ยิ่ง ไปกว่านั้น คำพูดที่ใช้ในการอภิปราย แทงใจผู้คนจำนวนมาก จนมีผู้นำมาเผยแพร่ในเว็บไซด์ และผมขออนุญาตนำมาฝากท่านผู้อ่าน โดยยกตั้งเป็นประเด็น แล้วตามด้วยคำอภิปรายของ ส.ส.ณัฐวุฒิฯ ต่อประเด็นที่ตั้งไว้ ดังต่อไปนี้
ประเด็น: ความรู้สึกของการช่วยเหลือประชาชนกับการนำปืนมายิงประชาชน
ส.ส.ณัฐวุฒิฯ : “ลองไปถามทหารที่เหงื่อไหลไคลย้อยดูสิครับ ว่า
ระหว่างการขนดินขนทราย ขับรถรับส่งประชาชน
แบกถุงกระสอบทรายมากันน้ำให้กับประชาชน
กับการแบกสไนเปอร์ไปปิดถนนกับการประกาศเป็นเขตกระสุนจริงนี่
เขาภูมิใจกับภารกิจไหนมากกว่ากัน "
ประเด็น: น้ำตาของนายกยิ่งลักษณ์
ส.ส.ณัฐวุฒิฯ “น้ำตาของนายกยิ่งลักษณ์ คือน้ำตาของผู้นำ
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ล้วนแต่หลั่งน้ำตา และสะเทือนใจกับความทุกข์ยากของประชาชน
มีแต่เผด็จการและทรราชเท่านั้น ที่เพิกเฉยกับการเจ็บปวดและล้มตายของราษฎร”
ประเด็น: นายกยิ่งลักษณ์ กับภาวะผู้นำ
ส.ส.ณัฐวุฒิฯ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ
ไม่มีสักคำที่จะโต้ตอบโจมตีใครๆ ที่กระแนะ กระแหน แดกดัน เสียดสีสารพัด
หนักเข้าถึงขนาดโพสต์ข้อความในโลกไซเบอร์
เทียบเคียง อธิบายถึงหญิงบริการอย่างนั้น อย่างนี้
ไม่มีครับ ได้แต่ นิ่ง อดทน อดกลั้น ทำแต่ งาน งาน งาน และงาน
มุ่งเดินหน้าช่วยเหลือประชาชน
นี่ไม่ใช่ภาวะผู้นำหรือครับ นี่ไม่ใช่วุฒิภาวะผู้นำของประเทศในยามวิกฤติหรอกหรือครับ!?”
ประเด็น: น้ำทำลายได้ทุกอย่างแต่ไม่สามารถทำลายความขัดแย้งในสังคมได้
ส.ส.ณัฐวุฒิฯ “น้ำทำลายได้ทุกอย่าง
น้ำทำลายคันกั้นน้ำ
น้ำทำลายเรือกสวนไร่นา
น้ำทำลายได้อย่างมหาศาลอย่างนี้
ยังไม่สามารถทำลายความขัดแย้ง ในสังคมได้เลย”
ประเด็น: ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากฝ่ายผู้แพ้ไม่ยอมรับในผลการเลือกตั้ง และรัฐบาลที่มาจากประชาชนและระบบประชาธิปไตย
ส.ส.ณัฐวุฒิฯ “ความขัดแย้งหลักที่สู้กันมา 5 ปียังอยู่
ไปดูในโลกไซเบอร์สิครับ
คนสองกลุ่มยังคงฟาดฟันกันอยู่ในเวลานี้
กลุ่มหนึ่งสนับสนุนให้กำลังใจรัฐบาล
อีกกลุ่มหนึ่งก็โจมตีทุกวิถีทางเช่นเดียวกัน
ตราบใดทีเราแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้
ทุกเรื่องที่คิดจะพัฒนาประเทศก็จะถูกลากเข้าไปสู่ความขัดแย้งทั้งสิ้น
วิธีเดียวที่จะแก้ไขได้คือ ประเทศเราต้องเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เสียที
เราต้องเคารพและยอมรับในผลการเลือกตั้ง
และรู้ว่ารัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
ตามวิถีทางของระบบประชาธิปไตย มีศักดิ์และสิทธิโดยชอบธรรม
ที่จะแก้ไขปัญหา และบริหารประเทศ”
คำพูดของ ส.ส.ณัฐวุฒิฯ ที่ผมยกมาให้ดูนั้น ปรากฏว่า ได้รับการยกย่องอย่างมากทั้งในสื่อออนไลน์ และสื่อวิทยุหนังสือพิมพ์ เพราะถือว่า...
เป็น ‘ชุด’ คำอภิปรายตอบโต้ ที่สามารถสวนกลับคำกล่าวหาของฝ่ายตรงข้าม ได้ครบถ้วนทุกเม็ดทุกดอก มีทั้งเหตุและผล สมบูรณ์อยู่ในตัวของมัน สามารถใช้อ้างอิงได้เลยทีเดียว
หากเปรียบเทียบคำพูดชุดนี้ กับสื่อสากลแล้ว ผมเห็นว่าคำตอบโต้ของคุณณัฐวุฒิฯนั้น ไม่เพียงแต่แค่เป็น Quote of the day (วาทะแห่งวัน) เหมือนอย่างที่หนังสือพิมพ์ New York Time เขาโค้ดมาให้อ่านกันทุกวันเท่านั้น แต่ในทัศนะส่วนตัวของผม และอีกหลายท่าน เห็นสอดคล้องกันว่า
ดี เกินกว่าที่จะเป็น Quote of the month (วาทะแห่งเดือน) ของคำพูดต่างๆ ที่เราได้เคยได้ยินกันสำหรับปี พ.ศ.2554 แต่น่าจะติดอันดับ...
Quote of the year!!! (วาทะแห่งปี) ด้วยซ้ำไป!!
คนจังหวัดนครศรีธรรมราช น่าจะภาคภูมิใจ ที่ ส.ส.จากเมืองของท่าน
มีคุณภาพ ‘คับแก้ว’ อย่างนี้!
จึงขอแนะนำให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาเมืองนครฯ ดูและจดจำคำพูด ลีลาท่าทางของ ส.ส.ณัฐวุฒิฯ ผู้แทนสายเลือด
เมืองคอน เพื่อประโยชน์ของตัวพวกท่านเองในอนาคต และ...
ขอยืนยันได้เลยว่า ตั้งแต่เมืองนครฯมีผู้แทนราษฎรมา
คนนี้แหละ...พูดเก่งที่สุด!
ไม่ได้พูดเก่งอย่างเดียว แต่ส.ส.ณัฐวุฒิฯ ยังพูดได้ดี มีเหตุมีผล และที่สำคัญก็คือ กว่าจะฟันฝ่ามายืนปราศรัยอย่างนี้ได้ เขาได้พิสูจน์ถึงความมีจิตใจกล้าหาญ ในต่อการสู้เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม ตามระบอบประชาธิปไตย
ไม่เคยคิดย่อท้อ!!
แม้จะถูกจับกุมคุมขังในบางครั้ง ก็ไม่ได้แสดงความหวั่นหวาด ในที่สุดโอกาสก็เปิดให้ ผู้แทนสายเลือดเมืองนครฯคนนี้ ได้เข้ามานั่งในสภา ในฐานะผู้แทนราษฎร
อย่างสมศักดิ์ศรี!
ลูกหลานเมืองนครศรีฯ มีตัวอย่างดีๆอย่างนี้แล้ว ต้องศึกษาแล้วจดจำไว้ให้ดี โตขึ้นจะได้ไม่แห่ตามคนเก่าๆ ไปเข้า ‘พรรคกะโหลกกะลา-อหิวาต์ลาก’ นั่น...
มันรังแต่จะทำให้ ประเทศไทยที่รักเรา...เสียหาย!
ใครอยากเป็นนักการเมือง จงพากันไปฝึกการพูดกับ ส.ส.ณัฐวุฒิ ‘นายหัวเต้น’ ใสยเกื้อ ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั่นแหละ...
...ไปครั่บ...ไปกันเล้ย...นุ้ย!!!
(555)
....................................
(คอลัมน์ประจำสัปดาห์ Quote of the year (วาทะแห่งปี) ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 3 ธันวาคม 2554