21 ธ.ค.54 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า คณะกรรมการปิดเว็บหมิ่น โดยครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งที่ 3 หลังจากมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้โดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลงนามโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.54
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวภายหลังการประชุมเพียงสั้นๆ ว่า ที่ประชุมไม่มีการหารือเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาแต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ขณะที่พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ.10) เลขานุการคณะกรรมการ กล่าวถึงรายละเอียดของการประชุมว่า ตั้งแต่มีการแต่งตั้งกรรมการชุดนี้ ได้ดำเนินการปิดกั้น URLs ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมไปแล้วกว่า 300 URLs และกำลังจะขอคำสั่งศาลในการปิดเพิ่มอีก 87 URLs ซึ่งแต่เดิมกว่าจะผ่านกระบวนการทั้งหมดเพื่อดำเนินการปิดกั้นอาจใช้เวลา เกือบสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเมื่อมีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ มาทำงานร่วมกันภายใต้กรรมการชุดนี้ ทำให้ใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น และยังมีการสืบสวนสอบสวนต่ออย่างเป็นระบบ
พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวอีกว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาดำเนินการในส่วนต่างๆ ด้วย คือ ชุดตรวจสอบและติดตามการกระทำผิด มีพล.ต.อ.วรพงษ์ เป็นประธาน ชุดตรวจสอบเนื้อหาว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ มี พล.ต.อ.เอก อังศนานนท์ เป็นประธาน ชุดสืบสวน มี พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นประธาน และชุดสอบสวน มี พล.ต.อ.ปานสิริ ประภาวัต เป็นประธาน
เมื่อถามว่าคณะอนุกรรมการนี้จะทำงานซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีอยู่เดิมหรือไม่ พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ไม่ซ้ำซ้อน เนื่องจากกรรมการชุดนี้เน้นเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ครอบคลุมคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เผยแพร่ผ่านสื่ออื่น อีกทั้งคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นที่มีอยู่เดิมนั้นจะพิจารณาเมื่อเป็นสำนวน เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการทำงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่ผิดกฎหมายนั้น ได้มีการจัดตั้งศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวจะบูรณาการเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน รวมแล้วราว 28 คน เพื่อติดตามตรวจสอบเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลร้องเรียนที่ได้จากหน่วยงานอื่นๆ ด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวมี 22 คนประกอบด้วยประธานคณะกรรมการคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และมีคณะกรรมการคือ
-พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม
-นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
-นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
-นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที
-นายธีรกุล นิยม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
-พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
-นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
-พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
-พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
-นายสุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีกรมการปกครอง
-นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
-นายธีระพงษ์ โสดาศรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
-พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
-พล.ต.ท.สมเดช ขาวขำ ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
-พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมเทคโนโลยี
-พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผู้บังคับการกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง2
-พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ10)
-พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
-ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
มีอำนาจหน้าที่
1) กำหนดนโยบายป้องการและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบคอมพิวเตอร์
2) อำนวยการและสั่งการให้หน่วยงานรัฐ องค์กร หน่วยงานต่างๆ ตลอดจนผู้ให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และบุคคลอื่นใด ให้ดำเนินการป้องกันมิให้มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่ เหมาะสม
3) สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงให้ข้อมูล ข้อคิดเห็น ตลอดทั้งขอเอกสารต่างๆ เพื่อประกอบการปฏิบัติภารกิจ
4) ออกระเบียบตลอดจนข้อปฏิบัติอื่นใด เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคลเพื่อมอบหมายให้ดำเนินการใดตามที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อช่วยปฏิบัติงานตามความจำเป็น
ขณะที่เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ว่า ขณะนี้มีเว็บไซต์เกือบ 200 URLs ที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามายังกระทรวงไอซีทีให้ตรวจสอบการเผยแพร่ข้อความ หมิ่นเบื้องสูงตลอดเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ยังไม่ทันการ เนื่องจากการกระทำผิดสามารถทำได้เร็วมาก ดังนั้น ความจำเป็นในการจัดหาเครื่องตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อสกัดกั้น URLs ที่ไม่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักป้องกันและปราบปราบการกระทำผิด กระทรวงไอซีที พบว่า การเผยแพร่ข้อความหมิ่นเบื้องสูงในครึ่งปีแรกของปี 2554 พบว่าอยู่ในลำดับ 4 หรือเฉลี่ย 5% ต่อวันของจำนวนที่มีผู้ร้องเรียน ส่วนอันดับสูงสุดยังเป็นเรื่องหมิ่นประมาทส่วนบุคคล 60% รองลงมาคือการเจาะข้อมูลหรือปลอมบัญชี และรหัสผ่านอีเมล 15% ต่อมาคือล่อลวงและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ