Mon, 2012-06-25 00:51
คำกล่าวโดยอภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวทีอภิปราย "80 ปี ปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ.2475" ซึ่ง
มีผู้อภิปรายประกอบด้วย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์-สุดสงวน สุธีสร-ธำรงศักดิ์
เพชรเลิศอนันต์-อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์-อภิชาต สถิตนิรามัย-มรกต เจวจินดา
ไมยเออร์ จัดโดย หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ
มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์ฯ และสมาคมจดหมายเหตุสยาม
000
หากจะเข้าใจมูลเหตุของการปฏิวัติสยาม 2475
เราคงต้องเริ่มต้นที่สนธิสัญญาเบาว์ริงในรัชการที่ 4
และการรวมศูนย์อำนาจรัฐ ผ่านการปฏิรูประบบราชการในรัชกาลที่ 5 เช่นกัน
หากจะเข้าใจความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน
เราอาจต้องเริ่มอย่างช้าที่สุด ตั้งแต่พลเอกเปรมลงจากอำนาจ
ยี่สิบปีเศษที่ผ่านมานั้น สังคมเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปจนจำเค้าเดิมไม่ได้
ในทศวรรษแรกเศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในโลก
โครงสร้างการผลิตได้ก้าวข้ามภาคเกษตรกรรมเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและการบริการ
อย่างเต็มตัว และจบลงด้วยวิกฤต 2540 ในทศวรรษที่ 2
แม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะช้าลงก็ตาม
แต่ผลรวมของการขยายตัวและการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างการผลิตใน 20
กว่าปีนี้ก็ได้ทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของมันอย่างซื่อสัตย์เฉกเช่นเดิม
กล่าวคือ การก่อเกิดขึ้นของคนชั้นกลางรุ่นใหม่ หรือชนชั้นกลางระดับล่าง
ซึ่งกลายเป็นคนส่วนข้างมากของสังคม ซึ่งมีประมาณร้อยละ 40
ของครัวเรือนทั้งประเทศ กระจายตัวอยู่ทั้งในเมืองและชนบท
ในขณะที่คนยากจนลดเหลือเพียงเหลือเพียงร้อยละ 8 หรือประมาณ 5 ล้านคนในปี
2553 เท่านั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจ
เพราะโดยรวมแล้วรายได้ครัวเรือนได้เพิ่มขึ้นถึง 9 เท่าตัว
ทำให้คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 6 บาทเศษต่อคนต่อเดือนในปี 2552
คนชั้นกลางใหม่ร้อยละ 40 นี้คือใคร ? คงถกเถียงกันได้ในเรื่องคำนิยาม
แต่ผมประเมินว่าคือคนที่มีรายได้ระหว่าง 5,000-10,000 บาทต่อเดือน
อาชีพของคนเหล่านี้ในเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรคือเป็นเสมียน
เป็นผู้ที่อยู่ในภาคการค้าและบริการ และคนงานในภาคการผลิต
ซึ่งมีประมาณเกือบร้อยละ 35 ของครัวเรือนทั้งหมดในปี 2552
ข้อสังเกตคือในชนกลุ่มนี้อาชีพการค้าและบริการเป็นกลุ่มที่เพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็วจากร้อยละ 10 เศษในปี 2529 เป็นร้อยละ 20 ของครัวเรือนทั้งหมดในปี
2552 และยังมีแนวโน้มกระจายตัวออกจากเขตเมืองไปสู่เขตชนบท
และกระจายตัวออกจากทม.ไปทุกภูมิภาคอีกด้วย กลุ่มนี้มีรายได้ 5,828
บาทต่อเดือน
ใกล้เคียงกับรายได้ของคนงานภาคอุตสาหกรรมการผลิตและรายได้เฉลี่ยของทั้ง
ประเทศแต่สูงกว่าเกษตรกรทั่วไปเกือบสองเท่า ส่วนภาคเกษตรกรรมในปี 2547
มีเกษตรกรเชิงพาณิชย์จำนวน 1.36 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ19
ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมดหรือประมาณร้อยละ5 ของครัวเรือนทั้งประเทศ
มีรายได้ต่อเดือนถึง 9,311 บาท
ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของเกษตรกรทั่วไปร้อยละ 70 ดังนั้น
เราจึงอาจจัดเกษตรกรในกลุ่มนี้ได้ว่าเป็น “ชนชั้นกลางใหม่” ในภาคเกษตรกรรม
แล้วอะไรคือปัญหาร่วม หรือเป็นผลประโยชน์เฉพาะของชนชั้นใหม่นี้ ?
คนกลุ่มนี้คือผู้ที่วิถีชีวิตทั้งด้านการผลิตและการบริโภคผูกพันกับระบบทุน
นิยมไทยอย่างแนบแน่น จำนวนมากเป็นผู้ค้าขาย
ผู้ประกอบการอิสระเช่นขับรถแท็กซี่ จักรยานยนต์รับจ้าง สารพัดช่างซ่อม
ช่างเสริมสวย ฯลฯ หรือแม้เป็นเกษตรกรก็เป็นเกษตรกรเชิงพาณิชย์
มีเป้าหมายการผลิตเพื่อป้อนตลาด เขาไม่ใช่เกษตรกรแบบเศรษฐกิจพอเพียง
ผู้คนเหล่านี้ต่างวาดหวังต้องการไต่เต้า-ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมภาย
ใต้ระบบตลาดสมัยใหม่ ไม่แตกต่างไปจากชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป
(ชั้นกลางเก่า) สิ่งที่แตกต่างคือเขาอาจมีคุณสมบัติ (capabilities) เช่น
ระดับการศึกษา ทักษะ ความสามารถ และ/หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โอกาสต่างๆ
ทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าชนชั้นกลางเก่า
สิ่งเหล่านี้ทำให้ชนชั้นกลางใหม่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่คนจน
แต่ก็จนกว่ามากทั้งในด้านรายได้และทรัพย์สิน (69เท่า)
เมื่อเปรียบเทียบกับชนชั้นกลางเก่า
ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากสถานะทางอาชีพของชนชั้นกลางใหม่มักอยู่นอกภาคการผลิต
ที่เป็นทางการ (informal sector)
จึงทำให้เขาขาดหลักประกันความมั่นคงในชีวิต
ในขณะที่อาชีพของเขาผูกพันกับระบบตลาดอย่างแนบแน่นก็ทำให้เขามีรายได้ที่ไม่
แน่นอน ผันผวนไปตามวงจรธุรกิจ แต่โดยสรุปแล้ว
สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ต้องการคือ 1.หลักประกันความมั่นคงในชีวิต
2.การกระจายรายได้-โอกาส หรือการอุดหนุน-ส่งเสริมจากรัฐ
เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจของเขาให้ใกล้เคียงกับชนชั้นกลางเก่ามากขึ้น
ด้วยลักษณะของชนชั้นกลางใหม่เหล่านี้เอง เมื่อรัฐบาลทักษิณ 1
ผลักดันและปฏิบัติตามสัญญาที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2544
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นโยบายประชานิยม” เช่น โครงการหลักประกันสุขภาพ
การพักการชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน ผลงานนี้จึงทำให้ตัวนายกรัฐมนตรีทักษิณ
ชินวัตร และรัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมและความชื่นชมสูง
เพราะโครงการเหล่านี้ตอบสนองและสอดรับกับความต้องการทางเศรษฐกิจของชนชั้น
กลางใหม่
เนื่องจากโครงการพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ชีวิตชนชั้นกลางใหม่มีความ
มั่นคงสูงขึ้น เช่นโครงการหลักประกันสุขภาพ
หรือไม่ก็ช่วยให้เขามีโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น
เช่นกองทุนหมู่บ้านทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
และ/หรือด้วยต้นทุนที่ถูกลง ในขณะที่ OTOP ก็เปิดโอกาสใหม่ๆ
ในการสร้างรายได้ เป็นต้น
โดยสรุปคือ มีคนชั้นกลางระดับล่างจำนวนมาก
ซึ่งต่อมามีพัฒนาการทางความคิดกลายเป็น “คนเสื้อแดง” นั้น
มีจุดเริ่มต้นจากความชื่นชมนายกทักษิณและรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
เพราะเขาได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลนี้
แต่การปรากฏตัวขึ้นของชนชั้นใหม่นี้
อย่างมากก็เป็นแค่เงื่อนไขทางภาวะวิสัยที่เอื้อแก่การก่อตัวของพลังทางสังคม
ชนิดใหม่ หรือผู้เล่นกลุ่มใหม่ในสังคมการเมือง
แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็นหรือเพียงพอที่จะเปลี่ยนคนกลุ่มใหม่ให้กลาย
เป็นกลุ่มพลังใหม่ทางสังคม
แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้ทำให้
บางส่วนของคนกลุ่มใหม่นี้
ซึ่งก็คือคนเสื้อแดงมีจิตสำนึกทางการเมืองแบบใหม่ขึ้น นั้นคือสำนึกว่า
ตนไม่ใช่ไพร่ ข้า หรือพสกนิกร
ซึ่งไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดความเป็นไปของบ้านเมือง แต่กลับมีสำนึกว่า
ตนเป็นพลเมือง หรือเป็นหุ้นส่วนของสังคมการเมืองนี้
ตนจึงมีสิทธิที่จะกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองเช่นกัน
“คนเหล่านี้ต้องการพื้นที่ทางการเมือง เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของตนเอง
ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่เป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่การร้องทุกข์ทางเศรษฐกิจ
หรือร้องขอการอุปถัมภ์จากรัฐ”
ดังที่ช่างเฟอร์นิเจอร์เสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า “(เมื่อก่อน)
พึ่งพานโยบายรัฐน้อย หมดหน้าข้าวก็ต้องปลูกแตง ปลูกอย่างอื่นต่อ วนๆ กันไป
ไม่ได้คิดถึงนโยบายของรัฐ คิดว่าต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก
เมื่อก่อนยังมีที่ดินทำกินอยู่ แต่พอที่ดินไม่มี
เราก็ต้องพึ่งพิงนโยบายรัฐมากขึ้น
และรู้สึกว่าการเลือกตั้งสำคัญกับตัวเองมากขึ้น”
จึงกล่าวได้ว่าสำนึกความเป็นพลเมืองที่แพร่หลายในหมู่คนเสื้อแดงคือ
ความหวงแหนสิทธิการเลือกตั้งของตน กล่าวอีกแบบคือ
เขาให้นิยามขั้นต่ำของความเป็นประชาธิปไตยว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง
ซึ่งทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่าเทียมกันในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ปกครองของตน
ดังที่เสื้อแดงผู้หนึ่งนิยามประชาธิปไตยว่า “ต้องมาจากประชาชนโดยตรง
ตราบใดที่ต้องให้ (ผู้มีอำนาจ) คอยอนุญาต มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตย
ต้องมีสิทธิในการเลือกผู้นำของเรา ถ้าไม่ดีก็ว่ากันไป
ต้องไม่ถูกรัฐประหารไล่คนของเราออก”
ดังนั้น การรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมืองในหลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
หรือตุลาการภิวัตน์โดยผู้มีอำนาจหลังฉาก
จึงเป็นการเมืองที่ขาดความชอบธรรมในสายตาของคนกลุ่มนี้
เพราะมันเท่ากับการปฏิเสธความเป็นหุ้นส่วนทางการเมืองของเขา
รวมทั้งเป็นการปิดพื้นที่ทางการเมือง
ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการผลักดันและต่อรองผลประโยชน์ของเขา คำถามคือ
สำนึกความเป็นพลเมืองนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
การลงหลักปักฐานของการเมืองแบบเลือกตั้งระดับชาติ นับแต่ พ.ศ.2521
ภายใต้ระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นระบอบการเลือกตั้งที่มีการกำกับจากอำนาจนอกระบบก็ตาม
แต่การเลือกตั้งระดับชาติก็เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผู้คนเห็นว่า
การเมืองปกติก็คือการเมืองที่มีการเลือกตั้ง
แม้ว่าการเลือกตั้งในช่วงเวลาก่อนปี 2544
ผู้ออกเสียงจะไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายในระดับมหภาค
เนื่องจากเนื้อหาของนโยบายมหภาคถูกครอบงำจากข้าราชการระดับสูงและเทคโนแครต
ทำให้ไม่มีการใช้นโยบายมหภาคที่เป็นรูปธรรมในการหาเสียงเลย
อย่าว่าแต่การผลักดันและการปฏิบัติตามนโยบายหลังการเลือกตั้ง
ผลประโยชน์โดยตรงที่ผู้ออกเสียงอาจได้รับจึงมีลักษณะไม่ทั่วหน้า เฉพาะที่
เฉพาะถิ่น ส่วนใหญ่ในรูปโครงการพัฒนาต่างๆ
ที่ส.ส.ดึงงบประมาณจากส่วนกลางมาลงในเขตเลือกตั้งของตัวเอง
หรือมีลักษณะเฉพาะตัว เช่นเงินสดที่ได้รับแจกในช่วงหาเสียง
หรือความช่วยเหลือส่วนบุคคลที่ผู้ออกเสียงได้รับโดยตรงจาก
ส.ส.และเครือข่ายหัวคะแนนของเขาในช่วงระหว่างการเลือกตั้ง ดังนั้น
จึงไม่แปลกเมื่อเกิดการรัฐประหารขัดจังหวะวงจรการเลือกตั้งเป็นครั้งคราว
เช่นในปี 2534 แล้ว กระแสการต่อต้านจากประชาชนในวงกว้างจึงไม่เกิดขึ้น
เนื่องจากเขาไม่มีผลประโยชน์จากการเลือกตั้งที่จะต้องปกป้อง
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือเมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มีผลบังคับใช้
กล่าวได้ว่า 2
ประเด็นหลักที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งใจออกแบบไว้ค่อนข้างประสบความ
สำเร็จคือ
1.การสร้างฝ่ายบริหารที่เข้มเข็งเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของรัฐไทย
2.การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ในเรื่องแรก รัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงกฎ-กติกาทางการเมืองหลายประการเพื่อ
ก) กระตุ้นการสร้างพรรคการเมืองขนาดใหญ่และการสร้างนโยบายของพรรคการเมือง
โดยการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจากแบบหนึ่งเขตมี
ส.ส.ได้หลายคนเป็นแบบเขตเดียวคนเดียว และให้มี ส.ส.จากระบบบัญชีรายชื่อ ข)
เพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคต่อรัฐมนตรีและหัว
หน้ามุ้ง
เช่นการกำหนดให้ผู้ที่จะสมัครส.ส.ต้องสังกัดพรรคเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน
ในขณะที่บังคับให้กำหนดวันเลือกตั้งไม่เกิน 60 วันหลังประกาศยุบสภาผู้แทนฯ
ฯลฯ
กติกาเหล่านี้ตั้งใจออกแบบขึ้นเพื่อสร้างให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็งและมี
เสถียรภาพมากขึ้น กล่าวอีกแบบคือ รัฐธรรมนูญ 2540
จงใจออกแบบมาเพื่อสร้างให้รัฐบาลมีสมรรถนะสูงขึ้นในการผลักดันนโยบายใหม่ๆ
พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในปี
2544 ได้ประโยชน์และทำตามแรงจูงใจที่กำหนดโดยกติกาใหม่ๆ
เหล่านี้อย่างเต็มที่ ผลที่ตามมาคือ
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีรัฐบาลซึ่งชนะการเลือกตั้งด้วยการ
ใช้นโยบายระดับมหภาคในการหาเสียง ยิ่งไปกว่านั้น
ยังทำสามารถผลัดดันนโยบายเหล่านั้นจนสำเร็จภายหลังการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว
สรุปแล้ว ผลงานของรัฐบาลทักษิณทำให้ผู้ออกเสียงตระหนักว่า
บัตรเลือกตั้งของเขานั้น “กินได้” ในรูปของนโยบายระดับมหภาค ในแง่นี้
หากรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มิได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
รัฐบาลทักษิณจะสามารถสร้างผลงานได้ดังที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ
ในประเด็นที่สอง
รัฐธรรมนูญนี้บังคับให้รัฐต้องถ่ายโอนหน้าที่และงบประมาณสู่องค์กรปกครอง
ท้องถิ่น (อปท) ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับตั้งแต่ พ.ศ.2546
เป็นต้นมา อปท.ในทุกระดับ ตั้งแต่ อบต. เทศบาล และอบจ.ทุกแห่ง
ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนใน
แต่ละท้องถิ่นเป็นครั้งแรก และคุมงบประมาณรวมกันเทียบเท่ากับร้อยละ 30
ของรายได้ของรัฐบาลกลาง ในขณะที่
อปท.มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ส่งผลโดยตรงและชัดเจนต่อชีวิตความเป็นอยู่
ประจำวันของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นับตั้งแต่การสร้างถนน แหล่งน้ำ ประปา
ศูนย์เลี้ยงเด็ก ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความสำคัญและมีความหมายต่อผู้
คนแต่ละท้องถิ่นอย่างมาก
สรุปคือ
การเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีความหมายเชิงรูปธรรมต่อชีวิต
ผู้ออกเสียงเลือกตั้งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่พ.ศ. 2544
เป็นต้นมา ดังนั้น คงไม่ผิดนักที่จะอ้างว่า
สำนึกทางการเมืองที่หวงแหนสิทธิทางการเมืองได้เพิ่มขึ้นมากในช่วงเวลาสิบปี
เศษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการเลือกตั้ง ซึ่ง “กินได้”
ในแง่นี้การรัฐประหาร 2549 จึงเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่
การรัฐประหารครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งก่อนหน้านี้
มันเป็นครั้งแรกที่มีการเคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่ในขอบเขตทั่วประเทศต่อต้าน
การรัฐประหาร ในอดีตเช่นกรณีกุมภาพันธ์ 2534
การเคลื่อนไหวต่อต้านเกิดขึ้นในวงแคบและกระจุกตัวในหมู่ชนชั้นกลางเก่าจำนวน
น้อยในเขตเมืองเท่านั้น เนื่องจากการก่อตัวของชนชั้นกลางใหม่ยังไม่เกิดขึ้น
และมวลชนส่วนข้างมากยังไม่มีสำนึกความเป็นพลเมือง
พูดอีกแบบคือการรัฐประหาร 2549 ทำให้ชนชั้นกลางใหม่
ตระหนักรู้ว่าการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ
ซึ่งเขาเป็นผู้แต่งตั้งและเป็นผู้ทำประโยชน์ให้เขา
เป็นการริบคืนสิทธิการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ได้ผลที่สุดในการต่อรองผลประโยชน์เฉพาะทาง
ชนชั้นของเขา การรัฐประหารจึงเปรียบเสมือนการจุดสายฉนวนระเบิดทางเมือง
เปิดทางให้แก่การรวมตัวจัดตั้งและการเคลื่อนไหวทางเมืองของขบวนการคนเสื้อ
แดงจนถึงปัจจุบัน
ในขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและผู้มีอำนาจนอกระบบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชและรัฐบาลนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ การตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนโดยฝ่ายตุลาการ
รวมทั้งเหตุการณ์ พ.ค.อำมหิต ได้กลายเป็นอาหารสมองชั้นเลิศ
ซึ่งหล่อเลี้ยงให้คนเสื้อแดง “ตาสว่าง” จนกระทั่งทักษิณก็ปิดไม่ลงในขณะนี้
กล่าวโดยสรุป คนเสื้อแดงคือตัวแทนทางชนชั้นของกลุ่มคนประเภทใหม่
ซึ่งก่อตัวขึ้นทั้งในเมืองและชนบท ทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม
ทั้งในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
คนกลุ่มนี้ได้ก้าวข้ามความยากจนกลายเป็นชนชั้นกลางระดับล่างและเป็นคนส่วน
ข้างมากของสังคม
แม้ว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาจะยังประโยชน์
ยกระดับฐานะของเขาให้พ้นความยากจน
แต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สินระหว่างชนชั้นใหม่กับกับชนชั้นกลาง
เก่ายังคงทรงตัวในระดับสูงตลอดมา
และเขายังขาดหลักประกันความมั่นคงในชีวิตอีกด้วย
ในขณะที่พัฒนาการทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงหลักปักฐานของการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งระดับชาติและ
ท้องถิ่นในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ได้สร้างและกระตุ้นสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เขา ทำให้เขาตระหนักว่า
ตนเป็นหุ้นส่วนหนึ่งของสังคมการเมือง
ดังนั้นตนจึงมีสิทธิที่จะกำหนดชะตากรรมของบ้านเมือง
และเนื่องจากเขาเป็นชนส่วนข้างมากของสังคม
ในขณะที่เขามีพื้นที่หรือเครื่องมืออื่นในการต่อรองทางการเมืองที่จำกัด
การเลือกตั้งจึงเป็นกลายเครื่องมือที่มีประสิทธิผลที่สุดในการผลักดันให้
นโยบายของรัฐเป็นประโยชน์แก่เขา การรัฐประหาร 2549
และการแทรกแซงทางการเมืองที่ตามมาของชนชั้นนำ
จึงเป็นการทำลายเครื่องมือหลักของชนชั้นนี้
ซึ่งเป็นการปฏิเสธความเป็นพลเมืองของเขาด้วย
ในแง่นี้การต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดงจึงเป็นไปเพื่อปกป้องการเมืองแบบ
เลือกตั้ง ซึ่งเป็นสถาบันที่ปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นกลางใหม่ได้ดีที่สุด
อ.ธงชัย วินิจจะกุล เคยกล่าวเตือนชนชั้นนำไทยไว้ว่า
ขบวนรถไฟแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ออกจากสถานีแล้ว และจะไม่มีวันหวนกลับ
พวกเขามองไม่เห็นว่า
การปฏิรูปรวมศูนย์อำนาจรัฐโดยการสร้างระบบราชการสมัยใหม่ขึ้นในรัฐกาลที่ 5
ได้สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นกลุ่มหนึ่งที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ให้พื้นที่
ไม่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยข้อหาว่า
คนกลุ่มนี้เป็นเพียงสามัญชน จึงไม่มีสายเลือดที่เหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครอง
ถึงจุดหนึ่ง 2475 จึงเกิดขึ้น
เช่นเดียวกัน เผด็จการทหารในระบอบสฤษดิ์และถนอม-ประภาสก็มองไม่เห็นว่า
การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แผนพัฒนาฉบับต่างๆ
ได้ผลิตคนรุ่นใหม่ขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งระบอบเผด็จการไม่ให้พื้นที่และการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยข้อหาเช่น
ว่า เป็นลูกเจ็ก-เป็นจีน ไม่มีความเป็นไทยเพียงพอ
หรือกระทั่งเป็นคอมมูนนิสต์ ถึงจุดหนึ่ง 14 ตุลาคม 2516 จึงเกิดขึ้น
ผมไม่แน่ใจว่า ชนชั้นนำไทยจะฟังและเก็บรับบทเรียนทางประวัติศาสตร์ 80
ปีนี้หรือไม่ ณ ขณะนี้คนชั้นกลางรุ่นใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว
เขาเรียกร้องต้องการความเสมอภาคทางการเมืองแบบ “หนึ่งคนหนึ่งเสียง”
ในขณะที่ระบอบการเมืองไทยภายใต้การกำกับของ “มือที่มองไม่เห็น”
ในปัจจุบันกลับมองคนกลุ่มนี้เป็น คนต่ำชั้นที่มีลักษณะ “โง่-จน-เจ็บ”
ถูกจูงจมูกโดยนักการเมืองจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกับชนชั้นสูงในการกำหนดอนาคตของ
บ้านเมือง ถึงจุดหนึ่ง เหตุการณ์เมษา 52 และพฤษภาอำมหิต 53 ก็เกิดขึ้น
แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงออกคำสั่งก้าวล่วงอำนาจรัฐสภาเมื่อต้นเดือนที่ผ่าน
มา ผมเชื่อว่า ณ จุดนี้ไม่มีใครแน่ใจว่า เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นอีก
และประวัติศาสตร์ในอนาคตจะตั้งชื่อเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ว่าอะไร