บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา:หาเรื่องรบ

ที่มา Thai E-News


โดย วันลา วันวิไล
ที่มา หนังสือบันทึก"ตะวันตกที่ตะนาวศรี"
29 ตุลาคม 2551

สำหรับผมนี่จะเป็นการรบครั้งแรกในชีวิต มันบอกไม่ถูกว่าขวัญและกำลังใจคืออะไร ทั้งกระสับกระส่ายและเครียด เพราะรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีนั้นช่างนานเหลือเกิน นานจนสามารถนับเสียงเต้นของหัวใจได้ถี่ถ้วนทุกจังหวะ นั่งอยู่สัก 2 ชั่วโมงได้ก็มีเสียงกระซิบมาว่ารถมาแล้ว ใจผมยิ่งเต้นแรง...


8. ไปหาปลากันเถอะ



เพื่อนชาวกระเหรี่ยงคนหนึ่ง เอาแหครอบก้อนหินแล้วเอามือล้วงเข้าไปจับปลา เขาชูปลาขึ้นเหนือหัวแล้วเต้นพร้อมกับร้องลั่น “นาโล่นี้ม่ามีหย่ากว่านี้อิแล้ คูเอ๋ย" (ในโลกนี้ไม่มีใหญ่กว่านี้อีกแล้ว คุณเอ๋ย)


ป่าเขตตะวันตกไม่เคยถูกล้อมปราบเหมือนกับทางเหนือ, อีสาน และใต้

ในสถานการณ์ที่สงบเรียบร้อย มีบางมื้อที่เราสามารถหาเนื้อสัตว์มาทำให้อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ผมพูดถึงเนื้อสัตว์ เพราะมื้อปกตินั้นมีแต่ผักและผัก

เราได้กินเนื้อหมูหรือไก่ เฉพาะในวันงานฉลองหรือรื่นเริงเท่านั้น ใครก็ตาม(ยกเว้นเป็นมังสวิรัติ)ที่อยากรู้ว่ากินเนื้อหมูและไก่ต้มหรือผัดใส่เกลือธรรมดาอร่อยแค่ไหน ก็ให้ลองกินแต่ผักต้มทุกมื้อสัก 5-6 เดือน แล้วกินเนื้อสักมื้อหนึ่งก็จะได้พบว่าอาหารอร่อยนั้นหาไม่ยากเลย

มื้อที่ทำให้เรากินดีนั้น บางครั้งมีเพื่อนผู้ชำนาญไพรบางคนยิงสัตว์ป่ามาได้ บ่อยที่สุดก็คือ ค่าง ส่วนที่นานๆครั้งได้แก่ หมูป่า, เก้ง, กวาง, วัวแดง, และกระทิง จริงๆแล้วเราได้กินเนื้อสัตว์ป่าเหล่านี้อย่างละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นใน 4 ปี

เมื่ออยู่ในป่าก็ควรจะถูกเรียกว่าคนป่า การกินอาหารในป่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกในความคิดของผม ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่าแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่เชื่อว่าสัตว์ป่าจะสูญพันธ์ ถ้ามีคนอยู่กันในลักษณะที่ต้องอาศัยป่าเช่นนั้น คนเมืองเท่านั้นที่สามารถทำลายป่าลงอย่างรวดเร็ว และราบคาบ จนกระทั่งคนเมืองอีกพวกหนึ่งทนไม่ได้ต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อการอนุรักษ์ป่า

หลังจากที่คนป่ากลับออกมาแล้ว หลายปีต่อมาผมได้กลับไปเยี่ยมถิ่นที่เคยเดินตะลอนๆ อยู่แต่ก่อน ป่าทั้งหมดกลายเป็นไร่สับปะรดและผืนดินรกร้างสุดลูกหูลูกตา ถึงจะรู้สึกเสียดายป่าแต่ก็ไม่อาจโทษคนทำไร่ ระบบเศรษฐกิจในบ้านเราไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ที่ดินเป็นปัจจัยในการผลิตทางเกษตรกรรม ซึ่งต้องถือครองโดยเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังทำให้มันเป็นทรัพย์สินและสินค้าราคาแพงเพื่อให้พ่อค้านายทุนถือครองเพื่อแสวงหากำไรเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้ก่อผลผลิตที่เพิ่มมูลค่า หรือแม้แต่ผลผลิตที่ได้จากผืนดินบางครั้งก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นแต่อย่างใด

ผมจะไม่บังอาจเล่าเรื่องกินเนื้อเก้ง, เนื้อกวาง หรือ เนื้อกระทิง และที่จริงก็สมควรจะลืมมันได้แล้ว ด้วยว่าคนรุ่นใหม่แต่นี้ไปคงไม่มีวันได้รู้จักรสชาติมันอีก ก็เหมือนกับที่แม่ผมเล่าถึง ความทุกข์ทรมานของคนในรุ่นเขาที่เคยเป็นโรคฝีดาษ ให้คนรุ่นเราฟังโดยไม่รู้เรื่องและไม่ได้ใส่ใจเลย



โลกมันเปลี่ยนไป ความคุ้นเคยของคนก็เปลี่ยนไปด้วย ผมอยากพูดถึงปลาเท่านั้น ด้วยเหตุผลตื้นๆว่าคนเราทั่วโลกควรกินโปรตีนจากปลา เพราะผิวโลกเป็นน้ำทะเลเสียสามส่วนสี่ บนแผ่นดินก็มีสายน้ำแอ่งน้ำมากมาย อาหารเนื้อปลาน่าจะมีมากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆรวมกัน

น้ำในประเทศเขตร้อนอุดมสมบูรณ์ สมัยก่อนแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่แม่เป็นรุ่นสาว บ้านอยู่ใกล้คลองน้ำใส เมื่อตกเย็นจะแกงปลาก็เพียงแต่เอาเครื่องแกงใส่หม้อน้ำยกขึ้นตั้งไฟ แล้วถือกระชอนลงไปอาบน้ำที่ท่าเท่านั้น ก็จะได้ปลามาใส่หม้อแกงได้เลย ไม่เคยคิดว่าแม่คุยโม้ ต่อมาเมื่อเห็นปลาในสายน้ำตะวันตกก็ยิ่งเข้าใจว่าแม่พูดจริง

ราวๆ เดือนกุมภา 2520 ผมตามเขาไปจับปลา 3-4 วัน เพิ่งจะรู้จักป่าหมาดๆ ก็เลยเดินตามเขาไปลูกเดียว ไม่รู้ทิศเหนือใต้ขึ้นไปตามสายห้วยน้ำตื้นที่มีหินลื่นๆ ด้วยรองเท้าฟองน้ำ ทำให้เจ็บเท้าระบมไปหมด พอบ่ายแก่ๆ ก็ถึงแอ่งหินใหญ่ๆ มีปลาว่ายอยู่ตามซอกหินมากมาย ปลาพลวงหินทั้งนั้นไม่มีชนิดอื่นปน

เพื่อนชาวกระเหรี่ยงคนหนึ่ง เอาแหครอบก้อนหินแล้วเอามือล้วงเข้าไปจับปลา เขาชูปลาขึ้นเหนือหัวแล้วเต้นพร้อมกับร้องลั่น “นาโล่นี้ม่ามีหย่ากว่านี้อิแล้ คูเอ๋ย" (ในโลกนี้ไม่มีใหญ่กว่านี้อีกแล้ว คุณเอ๋ย)

ปลาพลวงขนาดโตๆ ยาวสัก 1 ศอก เห็นจะได้ มันว่ายน้ำหนีเข้าไปในซอกหินและจนมุมอยู่ตรงนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมจับปลาใหญ่ขนาดนี้ด้วยมือได้ ทุกคนจะชูปลาขึ้นแล้วร้องว่า “ใหญ่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” สนุกสนานกันจนมืดค่ำ

เราทำที่พักริมห้วยตรงที่สายน้ำ 2 สายมาบรรจบกันสายหนึ่งน้ำเย็น อีกสายหนึ่งน้ำอุ่นๆ ไม่รู้ว่าจะมีสัตว์อื่นชุมหรือไม่ แต่มีเหลือบ เจ้าแมลงดูดเลือดตัวร้ายชุมเหลือเกิน พอฝนตกพรำๆ และอากาศสลัว ฝูงเหลือบก็เข้ามารุมกัดทั้งตัว แม้แต่เสื้อผ้าหนาอย่างเสื้อทหารมันก็ทิ่มปากทะลุเข้าไปได้ เจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่ม ผมทนไม่ไหวก็กระโดดลงน้ำ ดำลงไปพออึดใจก็โผล่มาปัดเหลือบบนหัวพัลวัน ทำอยู่อย่างนั้นจนมืดสนิท เจ้าตัวร้ายจึงหายไป

วันต่อมาเรายังหาปลาอยู่ในสายห้วยนั้น มีคนเดินแยกไปทอดแหคนเดียว ส่วนผมเขาให้นั่งขอดเกล็ดปลาอยู่ที่หาดหินกลางแดดเปรี้ยง พอผ่าปลาทาเกลือตากแดดเกือบหมด อีกคนหนึ่งก็มาถึงโยนปลาลงโครมใหญ่ สองวันที่ต้องนั่งทำปลา จนคอโดนแดดเผาแสบไปหมด ขากลับเรา 4 คน เป้ปลาที่ตากแดดหมาดๆ ไม่ต่ำกว่าคนละ 70-80 ตัว

อีกครั้งหนึ่งในปี 2523 เดือนมกราคม อากาศยังเย็นๆ อยู่ น้ำที่หลากขุ่นดินโคลนในช่วงเดือนพฤศจิกายนหายไปแล้ว และกลับใสเหมือนตาตั๊กแตน

ในช่วงเดินทางเข้าหมู่บ้าน เรามีเวลาวันสองวันที่จะเดินทวนน้ำไปจับปลาพลวงมากิน ที่น้ำตื้นแค่หน้าแข้ง เราไล่ปลาให้วิ่งเข้าซอกหินแล้วเอามือล้วงเอา ที่เป็นวังน้ำกว้างปลาฝูงใหญ่โดดฮุบลูกไทร เราเอาตาข่ายดัก 2 ข้าง แล้วลงไปลุยจับ วังนี้ปลาตัวใหญ่มากขนาดน่อง ยาวสัก 50-60 ซม. บางตัวดิ้นจนเราสู้แรงมันไม่ไหว หลุดรอดไปก็มี เมื่อจับด้วยมือไม่ได้ต้องเอาแขนข้างหนึ่งกอดปลาที่ติดตาข่ายอีกข้างหนึ่งถือไม้ทุบหัวปลา วันนั้นได้ปลามากจนต้องเป้ปลาหลังแอ่นไปเลย

ทุกครั้งที่หาปลาได้ จะเป็นมื้อที่กินดีที่สุด ทั้งปิ้ง ทั้งต้ม ทั้งแกง ถึงจะไม่มีเครื่องปรุงอะไรมากก็ยังอร่อย ด้วยความชอบส่วนตัวผมไม่มีเนื้อสัตว์ชนิดไหนอร่อยเท่ากับเนื้อปลาในสายน้ำของภูเขาที่ใสสะอาดและไหลเชี่ยวซัดสาดไปตามโขดหิน

สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ เราจับปลาได้ก็ทำเป็นอาหารทันทีไม่ต้องแช่น้ำแข็งข้ามวันข้ามเดือนคล้ายๆ กับที่แม่ผมเคยเล่าว่า ยกหม้อแกงตั้งไฟแล้วไปอาบน้ำได้ปลา 2-3 ตัวมาใส่หม้อพอดี

ที่ใกล้ๆ หมู่บ้าน สายห้วยบางตอนลึกน้ำไหลช้าลง ปลาน้อยลงมาก วันธรรมดาเอาเบ็ดไปวางตามโคนต้นไม้ ได้ปลาหมอช้างเหยียบเพียง 2-3 ตัวเท่านั้น

ช่วงหน้าฝนโชคดีหน่อย ชาวบ้านให้เรายืมลอบดักปลามาใช้ เอาใบละหุ่งใส่ในลอบแล้วไปวางในน้ำสัก 6-7 วัน พอใบละหุ่งเน่าเหม็นเหมือนกับอุจจาระ อย่างไรอย่างนั้น ปลาขี้ขมจะเข้าไปกินใบละหุ่งแน่นคลั่ก

ถึงคราวน้ำป่ามาในคืนฝนตก ชาวบ้านเกือบทุกบ้านจะเดินทอดแหตามสายน้ำ ผมอดตาหลับขับตานอน ตามเขาไปดู “ปลาขึ้น” ด้วย ตามที่ลาดน้ำตื้น ปลาขี้ขม นับร้อยนับพันจะแถขึ้นเหนือน้ำเพื่อไปวางไข่ จำนวนมากต้องติดแหชาวบ้าน ไม่สามารถไปถึงที่มันต้องการได้

ปลาขี้ขมขี้มันคงขมแต่เนื้อมันหวานอย่างปลาภูเขาน้ำใส อย่างไรเสียมันก็เป็นมื้อที่กินดีมื้อหนึ่งในจำนวนไม่กี่มื้อตลอดเวลาที่เป็นคนป่า

เมื่อเรากลับมาเป็นคนเมืองนานเข้า เพื่อนๆ บางคนชวนไปกินข้าวตามภัตตาคารแล้วยังบ่นว่าอะไรๆ ก็ไม่ค่อยอร่อย ผมบอกว่าลองกลับไปกินผักต้มกับข้าวปนมันสักเดือนสองเดือนแล้วจึงกลับมากินอาหารอย่างนี้ใหม่ ต้องอร่อยแน่นอน คนเราหากไม่พบพานความทุกข์และความยากลำบากบ้างแล้ว อย่างไรจึงจะเรียกว่าความสุขและความสบาย

ในความสุขทั้งมวล บางทีความเป็นไปที่ง่ายและสามัญที่สุดอาจจะเป็นความสุขใจที่มีคุณค่าให้จดจำมากกว่าความสมหวังอื่นใดเสียอีก

ความก้าวหน้าในการงานลึกๆ แล้ว เราอาจยังต้องคิดถึงภาระที่หนักขึ้น เป้าหมายที่ใหญ่และยากขึ้น แต่ความสุขใจเหมือนที่ผมรู้สึก เมื่อจับปลาได้มาชูเหนือหัวแล้วร้องว่า “ในโลกนี้ไม่มีใหญ่กว่านี้อีกแล้ว” นั้น เป็นความสุขที่ไม่มีอะไรเคลือบแฝง เรียบที่สุด, ธรรมดาที่สุด ผ่อนคลายที่สุด ดุจเดียวกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งได้เล่นลูกโป่ง ความรู้สึกเช่นนั้นมีไม่บ่อยครั้งนัก พริบตาที่ลูกโป่งแตกเราก็อยู่กับดิน ไม่ได้ล่องลอยอีกต่อไป

แต่ชีวิตก็ควรจะได้เลื่อนลอยและเหลวไหลเช่นนั้นบ้าง



เตาหุงข้าว คือหลุมขนาดใหญ่ วางกระทะเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร สบายๆ ต้องหุงถึง 2 เตา เลี้ยงสหายเป็นร้อย ที่สำคัญปล่องควันไม่มี ใช้วิธีขุดปล่องยาวเป็นร้อยเมตรไปกระจายควันห่างจากค่าย เพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ที่ตั้ง


9. หาเรื่องรบ


ปี 2521 "ชั้นบน" ชี้แนะลงมาว่า สถานการณ์เป็นผลดีต่อการปฏิวัติ ผมได้รับคำสั่งให้ไปอยู่หน่วยรบ ปฏิบัติการทางทหารเปิดแนวรบใหม่เพื่อหนุนช่วยเขตอื่น และจะทำให้กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ท.ป.ท.) มีบทบาทหนักแน่นขึ้น


เมื่อเขาให้ไปผมก็ก้มหน้าก้มตาตามเขาไปจนโผล่ที่ไร่สับปะรดแห่งหนึ่ง กว้างขวางไปจดภูเขาเตี้ยๆ ทั้ง 4 ด้าน เราเดินข้ามไร่จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งใช้เวลา 1 วัน เต็มๆ ตอนหยุดพักกินข้าวกลางวัน เป็นเนินเขา ยื่นเข้ามาในไร่จนทำให้ดูเหมือนมี 2 ไร่ ติดกัน

เราตั้งชื่อไร่ด้านหนึ่งว่าไร่เตี่ยอั๊ว อีกด้านหนึ่งเป็นไร่เตี่ยลื้อ เพื่อต้องการล้อวินัยข้อหนึ่งของ ท.ป.ท. ที่ว่าไม่เอาข้าวของของประชาชน ความจริงเมื่อถึงไร่สับปะรดเรากินสับปะรดกันเต็มที่ กับข้าวทุกมื้อเป็นผัดหรือแกงสับปะรด ยามเดินทางหยุดพักหิวน้ำก็กินสับปะรด เมื่อรู้สึกว่าผิดวินัยจึงเฉไฉไปว่าไร่นี้เป็นของเตี่ยอั๊ว ดังนั้นจึงกินสับปะรดได้ไม่เป็นไร อีกไร่หนึ่งเป็นไร่เตี่ยลื้อ

เตี่ยลื้อเป็นเพื่อนกับเตี่ยอั๊ว จึงสามารถกินสับปะรดได้อีก

เรากินสับปะรดไปไม่น้อย ทั้งทำเป็นของหวานของคาวผักผลไม้ แต่ถ้าเทียบกับช้างป่าบุกเข้ามาแล้วนับว่าเล็กน้อยมาก ช้างแสนฉลาดจะกัดกินหัวสับปะรดส่วนที่หวานเพียงคำเดียวเท่านั้น บริเวณที่ถูกช้างป่าบุกจะราบเป็นหน้ากลอง เศษสับปะรดครึ่งลูกหล่นเกลื่อนกลาด กลิ่นสับปะรดเน่าเหมือนไวน์ผลไม้คลุ้งไปทั้งไร่

กลางคืนเรานอนอยู่ริมไร่สับปะรด ไกลออกไปเป็นบ้านคนอยู่กันห่างๆ มีหน่วย น.ป.พ. (หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของตำรวจตระเวนชายแดน) ตั้งค่ายอยู่ ผมไม่ได้รู้สึกกลัวว่า น.ป.พ. จะลาดตระเวนมาปะทะกัน แต่ผมกลัวช้าง ที่ที่เราผูกเปลนอนเป็นด่านช้างซึ่งจะผ่านไปย่ำไร่สับปะรด เสียงช้างร้องและเสียงไม้หักโครมครามทำให้ผมนอนตัวแข็งทื่อในความมืด ในป่าที่เงียบสงัดแม้แต่เสียงหายใจของช้างก็เหมือนดังอยู่ข้างๆ ที่เรานอนอยู่นั่นเอง

2 วันก่อนหน้าที่จะมาถึงไร่นี้ พวกเราก็เดินปะทะกับช้างแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ขณะเดินอยู่ตอนบ่ายแถวเรียงหนึ่งของเราร่นไปติดกันเมื่อคนหน้าหยุดเดิน ได้ยินเสียงช้างคำรณเหมือนเสียงมอเตอร์ไซค์ เมื่อยังมองไม่เห็นตัวช้างผมยังนึกแปลกใจว่าในป่าอย่างนี้ชาวบ้านที่ไหนอุตส่าห์ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาได้ พอคนข้างหน้าหันมากระซิบว่าช้างขวางทางอยู่ห้ามวิ่ง

ทุกคนก็ก้าวเหยาะ ๆ ทิ้งเป้แล้วขึ้นต้นไม้โดยอัตโนมัติ คนที่ขึ้นต้นไม้ไม่ค่อยเป็นก็โหนเถาวัลย์ขึ้นไป เสียงขู่ของมันทำให้น่าขนลุกจริง ๆ

ทุกย่ำรุ่งและเย็นค่ำเราจะออกเดินสอดแนม ดูลาดเลาและจับความเคลื่อนไหวของหน่วย น.ป.พ. คืนเดือนหงายจะเดินไปตามถนนลูกรังจนดึกดื่น ในไร่สับปะรดที่ท้องฟ้ามีดาวเกลื่อน ในโลกเหมือนมีพวกเราเพียง 7-8 คนเท่านั้น เดินสวบสวบกลางแสงจันทร์สลัว ไม่รู้ว่าจะไปหนแห่งใด ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร

ในทางทฤษฎี สงครามประชาชนจะมีประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนเข้าร่วมและสนับสนุน แต่ในคืนที่เราย่ำเท้าดั้นด้น ไม่มีประชาชนแม้แต่คนเดียว เราไม่รู้จักใครเลย ไม่สามารถหาข่าวคราวแม้แต่ความเคลื่อนไหวของหนูสักตัว อย่าว่าแต่หน่วย น.ป.พ.

เย็นวันหนึ่งเพื่อน 2 คนพาผมไปด้อม ๆ ใกล้ค่ายที่ตั้งของตำรวจชายแดน เดินฝ่าป่าอ้อยและหญ้าแฝกสูงท่วมหัวไปโผล่ตรงหน่วยตำรวจกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวอยู่บนรถกระบะ เรารีบหันหลังกลับหลบแทบไม่ทัน มีเชือกกับดักทุ่นระเบิดขวางอยู่ในหญ้ารก ดีที่เพื่อนคนหนึ่งตาไวจึงรอดมาได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง เช้าขึ้นมาผมก็ต้องตื่นเต้นใจตูมตามเมื่อได้ยินกลุ่มนำหมู่กระซิบกระซาบกันว่าวันนี้ได้ยิงกันแน่ พวกเราออกเดินเมื่อแดดเริ่มแผดกล้า เมื่อไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหน่วยรบของทางการ ก็ได้แต่เดาสุ่มเอา ดักซุ่มตรงโน้นทีตรงนี้ทีเหมือนกับจะ “หาเรื่อง” รบให้ได้

จนเที่ยงวันแดดร้อนเร่า เราเดินกันจนหิวข้าวหิวน้ำตาลาย หลบกินข้าวห่อในดงอ้อย เพื่อนคนหนึ่งเดินมาบอกว่า อีกด้านหนึ่งมีรอยล้อรถยีเอ็มซี แสดงว่าหน่วยตำรวจต้องลาดตระเวนถึง หัวหน้าหน่วยรีบวางแผนการซุ่มโจมตีให้เราหลบร้อนอยู่ในดงอ้อยซึ่งมีคันดินเป็นแนวกำบัง เพื่อนคนหนึ่งเอาทุ่นระเบิดไปวางไว้กลางถนนกะว่าจะใช้ระเบิดรถ

แนวรบเรายาวร่วม 40-50 เมตร จุดที่เราซ่อนตัวอยู่ต้องมองเห็นเพื่อนอย่างน้อย 1 คน สำหรับผมนี่จะเป็นการรบครั้งแรกในชีวิตมันบอกไม่ถูกว่าขวัญและกำลังใจคืออะไร ทั้งกระสับกระส่ายและเครียดเพราะรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีนั้นช่างนานเหลือเกิน นานจนสามารถนับเสียงเต้นของหัวใจได้ถี่ถ้วนทุกจังหวะ นั่งอยู่สัก 2 ชั่วโมงได้ก็มีเสียงกระซิบมาว่ารถมาแล้ว ใจผมยิ่งเต้นแรง
เหมือนมีใครรัวกลองอยู่ในอก ผมบอกให้ตัวเองใจเย็น เอามือจับชีพจรตัวเองแล้วจับเวลาได้ประมาณ 120 ครั้งต่อนาที

เงียบอีกราวครึ่งชั่วโมง แถวของพวกเราเริ่มรวนถอยไปนั่งปรึกษากับเพื่อนอีกคนว่าจะเอาอย่างไรดี หัวแถวกระซิบมาว่ารถยีเอ็มซีหยุดตรงบริเวณไถดินทำถนนไม่ผ่านมาแล้ว ชะเง้อดูเห็นรถเกรดดินไกลลิบ แนวพวกเราเริ่มจับความคำสั่งไม่ได้ รู้แต่ว่ามีเพื่อนบางคนพยายามเคลื่อนเข้าใกล้จุดที่รถไถทำงานอยู่ ไม่ทันรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเสียงปืนก็ดังขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อนบางคนเริ่มยิง ส่วนผมนอนหมอบที่คันดินไม่รู้จะยิงอะไร

ไม่รู้ว่ารถไถนั้นเป็นเป้าใช่หรือไม่ และมันก็ไกลเหลือเกิน ยังไม่ทันได้หายใจฝ่ายตรงข้ามก็ยิงสวนมา ลูกปืนพรูมาผ่านเหนือหัวตัดใบอ้อยเสียงดังเฟี้ยว บ้างก็เป็นหัวระเบิดแตกอยู่กลางอากาศ เสียงปืนฝ่ายโน้นแน่นมาก อึดใจเดียวหัวหน้าหน่วยเราก็สั่งถอย

ปกติแล้วคำสั่งในสนามรบจะตกลงกันเป็นโค้ด เช่น ตีโอบ หมายถึง การถอย ถ้าบอกว่า ถอย หมายถึง ให้บุกไปข้างหน้า แต่ตอนนั้นทุกคนลืมหมด คำสั่งถอย ก็คือ ถอย

ผมวิ่งอ้าวออกด้านหลังแนวต้นอ้อยทันที วิ่งจนเพื่อนตะโกนบอกว่าหยุดเดินได้แล้ว รู้ตัวอีกทีเมื่อตัวเองนำโด่งอยู่หน้าสุด บังเอิญเคยเป็นนักวิ่งระยะ 400 เมตร ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ฝีเท้าผมจึงไม่เป็นรองใคร

เราเดินหอบฟังเสียงปืนไล่หลังอยู่ตลอดทาง จนไกลมากแล้วจึงนั่งพักกินสับปะรดแก้กระหายน้ำ ขณะที่เพื่อนเริ่มเฮฮาล้อผมว่าวิ่งเร็วนั้น มีเสียงดังตุ๊บตกลงข้างวงที่เรานั่ง พอหันไปเห็นเป็นเม็ดกลม ๆ สีดำเท่าหัวแม่มือ ทุกคนก็แตกฮือพร้อมกัน ผมวิ่งตามเพื่อนคนหนึ่งบุกเข้าไปในป่าระบุด้วยความเร็ว วนไปวนมาอยู่ หนึ่งรอบแล้วออกมาพบกันอีกที คราวนี้ทุกคนนั่งหอบแล้วเริ่มหัวเราะกันด้วยความขบขันในท่าทางตระหนกของแต่ละคน

เหลียวกลับไปดูป่าระบุที่เพิ่งจะบุกผ่านมา ไม่รู้บุกเข้าไปได้ยังไง มันเป็นดงมะเขือพวงและกระทกรก ทึบเสียจนแม้แต่ลูกหมาก็ไม่น่าจะลอดเข้าไปได้ เสียงตุ๊บก่อนหน้านั้นก็คือ หัวลูกปืน M60 นั่นเอง

เรากลับเข้าที่พักชายป่า นอนฟังเสียงเฮลิคอปเตอร์บินวนพร้อมเสียงปืนเป็นระยะ ๆ อีกครึ่งคืนถึงได้หลับลงอย่างอ่อนเพลีย พอตื่นตอนเช้ามืดขณะที่ยืนเหนี่ยวเถาวัลย์แปรงฟันอยู่ ได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งเปิดวิทยุฟังข่าวยามเช้า ทันใดนั้นเขาตะโกนว่า ”มาแล้ว” ทุกคนวิ่งพรวดเข้าหาต้นไม้ ผมล้มตัวนอนใจหายวาบเพราะวางปืนไว้ไกลมือ อยู่ตรงไหนก็จำไม่ได้แล้ว

ชั่วอึดใจเพื่อนก็หัวเราะงอหงายบอกว่าที่ว่า “มาแล้ว” คือ ข่าวที่พวกเรายิงเมื่อวาน ข่าวนั้นไม่ได้บอกว่ามีใครบาดเจ็บล้มตายกี่คน เชื่อว่าคงไม่โดนอะไรหรอกเพราะไกลกันจนเห็นคนเท่าลูกแมวเพิ่งหย่านมเท่านั้น

ถ้าผมบอกว่านั่นคือสงคราม เหล่าทหารผ่านศึกและเพื่อนนักรบคงจะหัวเราะเยาะ แต่ถ้าบอกว่านั่นคือการทัศนาจร อีกหลายคนคงหาว่าผมทะลึ่ง

ด้วยผู้คนจำนวนหนึ่งหมิ่นแคลนว่า เราหลงผิดและนิยมความรุนแรง แต่ถ้าเทียบกับความทารุณที่ประชาชนบางส่วนเคยได้รับ เรื่องของผมก็เหมือนกับนิยายอ่านเล่นเท่านั้น

ประเทศเราแม้จะผ่านเรื่องราวยาก ๆ มาได้โดยไม่ย่อยยับ แต่ทุกชีวิตล้วนมีความเสี่ยงต่อความรุนแรง อาชญากรรมที่ก่อกันง่าย เมื่อขัดแย้งกัน บ้างก็ตัดสินใจปลิดชีพคนอื่นเหมือนกับการตัดสินใจเช่าพระมาบูชาสักองค์ การปราบปรามของอำนาจรัฐต่อผู้คนมือเปล่า คล้ายดังว่าเมื่อมีอำนาจ ความทุกข์ยากและชีวิตของผู้คนอื่นๆดูไม่มีค่าเลยเมื่อเทียบกับคำสั่งสามหาวเพียงคำเดียว

เหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา และ 17 พฤษภา มีคนตาย มีคนยิงปืนทำให้คนตาย มีคนสั่งให้คนยิงคนจนตาย แต่ทั้งคนสั่งยิง คนยิง และฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตาฝูงชนไม่เคยมีความผิด และได้รับโทษทัณฑ์แม้แต่น้อย บางคนยังคงมีหน้ามีตาในสังคมด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้วเราจะกำหนดอย่างไรว่าอะไรคือความรุนแรง คนถือปืนในป่าเป็นมาร แต่คนยิงคนในสนามฟุตบอลเป็นผู้รักชาติและกระทำตามหน้าที่ที่ถูกต้องกระนั้นหรือ

ไม่ว่าใครจะผ่านเหตุการณ์เช่นไร แม้หนักหนาสาหัสหรือเบาบางต่างกัน ล้วนไม่ใช่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า คนเท่านั้นที่ก่อความรุนแรงกับคน มนุษย์ส่วนมากมักภูมิใจที่ได้รับขนานนามว่า "นักรบ" ผมไม่ค่อยเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เกลียดกลัวสงคราม เขาเกลียดกลัวความตายต่างหาก ถ้าตราบใดที่เขาทำสงครามโดยตัวเองไม่ตาย พื้นพิภพนี้อาจเป็นสมรภูมิไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

และตราบนั้น โลกอาจจะไม่มีคำว่า "ให้อภัย" เลย

********
บันทึกทั้งหมดในบทความชุดนี้ก่อนหน้านี้:บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา:ตะวันตกที่ตะนาวศรี

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker