บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สามัญชนที่ยิ่งใหญ่ นิคม จันทรวิทุร

ที่มา Thai E-News


สถาบันนิคม หรือมูลนิธินิคม หรือห้องสมุดนิคม ห้องประชุมนิคม จะมีความหมายก็ต่อเมื่อ สามารถสืบสาน “งาน” ที่อาจารย์นิคมยังทำค้างไว้ต่อไป………เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ขบวนการกรรมกรที่เข้มแข็ง และเพื่อผู้ด้อยโอกาส ที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป



โดย วิภา ดาวมณี
31 ตุลาคม 2552

วันที่ 14 ตุลาคม อาจารย์นิคมสวมเสื้อชุดเก่งเตรียมออกจากบ้านแต่ 6 โมงเช้า แต่ไม่มีใครอาสาพาท่านไปเพราะเห็นว่าป่วย และนั่งรถเข็นตลอด แต่พอได้เวลา 8 โมงก็บอกลูกชายคนโตให้พาพ่อไป ลูกก็ยอมพา ไป…แล้วตอนเย็นยังให้พาไปอีก แต่ฝ่าฝูงคนเข้าไปไม่ไหว …..เย็นวันนั้น ท่านต้องอยู่นอกบริเวณอนุสรณ์สถาน14ตุลาฯ ทั้งๆที่สร้างมากับมือ


วันที่ 31 ตุลาคม 2544 หลังจากร่วมงานเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ที่สี่แยกคอกวัวเพียง 2 สัปดาห์ อาจารย์นิคมก็จากพวกเราไป

เวลา 2 ปีสุดท้ายที่วิภาได้ช่วยงานของ อ.นิคมในฐานะที่ท่านเป็นประธานมูลนิธิ 14 ตุลา นับเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก และยิ่งเมื่อทราบว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมากว่า40 ปี ท่านได้สร้างคุณูปการไว้มากมายในแวดวงผู้ใช้แรงงาน ด้วยความริเริ่มกล้าหาญ จริงจัง ผลักดันกฎหมายแรงงานสำคัญๆ หลายต่อหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการประกันสังคม การจัดตั้งสหภาพแรงงาน การดูแลสวัสดิการ คัดค้านการนำรัฐวิสาหกิจออกนอกระบบ

รวมทั้งนโยบายก้าวหน้าอีกมากมาย เพื่อประโยชน์ของสามัญชนคนเล็กๆ ที่ด้อยโอกาส ก็ยิ่งรู้สึกเสียดายเวลา เสียดายว่าเราไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ตั้งคำถาม และไม่ได้ลงเรี่ยว ลงแรงกับ “งาน” อีกมากมายที่ท่านตั้งใจ จะทำ และมอบหมายให้…..

9 โมงตรง เช้าวันที่ 15 ตุลาคมเมื่อปี 2544 หลังจากงานสมโภชน์สถูปดวงวิญญาณวีรชนประชาธิปไตยเพิ่งผ่านพ้นไป เสียงโทรศัพท์ ดังมาคาดไม่ผิดว่าต้องเป็นโทรศัพท์จาก อ.นิคม คำแรกที่อาจารย์ทักทาย ก็คือ “เป็นยังไง เหนื่อยไหม” ต่อด้วย “….งานสำเร็จ เรียบ ร้อยดี ต้องขอบใจหนูมาก ? ”

คนรับโทรศัพท์อย่างเราย่อมรู้สึกหัวใจพองโตเป็นธรรมดา….จนยิ้มออกมานอกหน้า เสียงอาจารย์ฟังดูสดชื่น กระชุ่มกระชวย ไม่หลงเหลือความเจ็บป่วยผ่านน้ำเสียงเหมือนหลายวันก่อนหน้า…. เราได้แต่คิดในใจว่าภารกิจที่อาจารย์พยายามผลักดันได้สำเร็จลงไปแล้วในระดับหนึ่ง อาจารย์คงดีใจ อิ่มใจ เราเองก็พลอยดีใจไปด้วย

“ เอ้อ…หนูพักสัก 2-3 วัน แล้วมาคุย กันว่า จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาประชุมเรื่องดูแลอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กันยังไง อีกทีนะ เอาล่ะไม่รบกวน ไปพักผ่อนต่อ…..” แม้ท่านจะเคยดำรง ยศ ตำแหน่งทางราชการใหญ่โต แต่มักจะพูดอย่างเกรงใจอย่างนี้เสมอ

ผ่านไปหลายวัน เสียงโทรศัพท์ที่มักจะดังมาทุกเช้า ก็ดูจะหายไป เมื่อโทร.ไปตามที่บ้านสัมมากร ก็ทราบว่าท่านป่วยเข้าโรงพยาบาล คิดในใจว่าคงเหมือนที่ผ่านมา คือท่านจะเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็จะโทรศัพท์มาสั่งงานตามงานเกี่ยวกับการ เปิด อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา อย่างสม่ำเสมอ….

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถึงกับฝืนคำสั่งแพทย์มาร่วมประชุมเตรียมงานเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาที่ ทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งวันนั้น มีรัฐมนตรีสุธรรม แสงประทุม เป็นประธานการประชุม เหตุที่อาจารย์ต้องมาเอง และพยายามมา ทั้งๆ ที่ สุขภาพไม่อำนวย ใบหน้าอิดโรยจนดูขาวซีด เพราะอาจารย์เป็นผู้เสนอให้จัดการประชุม และหมายมั่นที่จะให้ที่ประชุมรับข้อเสนอที่เตรียมไว้เกี่ยวกับการเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

อาจารย์กล่าวถึงจดหมายที่ส่งให้รัฐมนตรี และแสดงความยินดีที่จัดให้มีการประชุมด้วยเสียงเบา และแหบพร่า คนรถที่พามาแจ้งว่าขอหมออกมา บอกว่าจะมาไม่เกินชั่วโมง จะให้กลับก็ไม่ยอม อาจารย์อยู่ร่วมการประชุมจนครบวาระ

คราวนี้อาจารย์เงียบหายไปนาน และทางบ้านแจ้งว่าไม่อยากให้รบกวน ที่ผ่านมาอาจารย์จะกำชับว่า “อย่าบอกใครว่าเข้าโรงพยาบาล” “ไม่ต้อง มาเยี่ยม หรอก” …“ไม่เป็นไรมาก นิดหน่อย..” ต้องยอมรับว่าท่านเป็นคนที่คิดถึงตัวเองน้อยมาก หรือแทบจะไม่คิดถึงเลย ดูราวกับทุกนาที มีแต่เรื่อง งาน…งาน…งาน

วัยเกษียณ กับฐานะของท่านไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องตรากตรำทำงานอะไรเลย ท่านสามารถจะพักผ่อน อยู่กับหลานๆ มีความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่ท่านกลับเลือกที่จะทำงานต่อไป….

นอกจากเรื่องของอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แล้วยังมี บทความสุดท้ายเกี่ยวกับปัญหาแรงงาน ที่อาจารย์ฝากให้นำส่งหนังสือพิมพ์มติชน ในโอกาสครบรอบ “มติชน 24 ปี” เมื่อ มกราคม 2544 แม้จะเป็นบทความสั้นๆ แต่ก็สะท้อนความใส่ใจในผู้ใช้แรงงาน ปัญหาของกรรมกร และสะท้อนวิสัยทัศน์ที่มองไปถึงอนาคต สุ้มเสียงที่จริงจังของบทความนี้สะท้อนตั้งแต่ชื่อเรื่องที่ว่า “ระเบิดเวลา ของรัฐบาลใหม่” ท่านวิเคราะห์ว่า

“....ปัญหาระเบิดเวลา ซึ่งจะรุนแรงกว่าเรื่องแรก ก็คือ ปัญหาของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งในช่วง เดือน ที่แล้วได้ประท้วงการแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจชุดใหม่ โดยฝ่ายรัฐบาลได้นำบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ไกล้ชิดนักการเมือง ที่ ไม่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ตามที่ระเบียบตั้งไว้ เข้ามา พนักงานที่รัฐวิสาหกิจเกรงว่าการนำบุคคลใกล้ชิดเข้ามาจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้รัฐวิสาหกิจต้องเสียผลประโยชน์จากการประมูลการก่อสร้างโครงการสำคัญๆ

การประท้วงการแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลและไม่ควรให้เกิดขึ้น รัฐบาลมีรัฐวิสาหกิจอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ประมาณ 30 แห่ง มีทรัพย์สินมูลค่าหลายแสนล้านบาท และเท่าที่ผ่านมาเป็นขุมทองของนักการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินนี้ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ที่ตนไว้ใจ ให้ดำเนินการกำกับควบคุม พนักงานรัฐวิสาหกิจตระหนักดีที่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลรวมถึงการปรับปรุงกิจการต่างๆ เชื่อได้ว่าพนักงาน รัฐวิสาหกิจซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งเป็นสหภาพแรงงานทุกองค์กรแล้วจึงได้ถือเรื่องนี้เป็นสำคัญที่จะทำงานต่อไป …..”


ระเบิดเวลาลูกต่อไปคือเรื่องแรงงานสัมพันธ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนงานหลายแสนคน......

“....กฎหมายแรงงานฉบับแรกออกมาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว กำหนดกรอบความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง เวลาลูกจ้างนายจ้างมีปัญหาให้พูดจาหารือและเจรจากัน 50 ปีผ่านไป ก็ไม่ได้ปฏิบัติกันมาก ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างกลับยุ่งยากเลวร้าย ขณะนี้เรามีโรงงานอยู่ประมาณ 2 แสนแห่ง แต่การพูดจาหารือเจรจากันปฏิบัติกันเพียงปีละ 4-5 ร้อยราย

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแม้กฎหมายจะวางกรอบให้ นายจ้างก็ไม่ยอมพูดจาหารือกับลูกจ้าง เกิดปัญหาความขัดแย้งจนลุกลามไปถึงการประท้วงและการนัดหยุดงาน ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือแทนที่นายจ้างจะพูดคุยหารือและต่อรองไกล่เกลี่ย กลับใช้กำลังคนจากบุคคลภายนอกเข้า เผชิญหน้าและบางครั้งถึงกับทำร้ายคนงานเช่น กรณีที่เกิด ขึ้นที่โรงงานไทยเกรียง ชายฉกรรจ์ถืออาวุธทุบตีคนงานหญิงจนได้รับบาดเจ็บเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก มีการเสนอ ข่าวไปทั่วโลกทำให้ภาพพจน์ด้านแรงงานของไทยเป็นที่เสื่อมเสียและเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันในต่างประเทศ….”




คนงานไทยเกรียงกว่า 300 ชีวิต ไม่ได้กลับเข้าทำงาน กฎหมายแรงงานทำอะไรนายจ้างที่ละเมิดกฎหมายยังลอยนวล การกลั่นแกล้งผู้นำสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นองค์กรถูกต้องชอบธรรมยังมีสม่ำเสมอ คนงาน กรรมกร ทั้งภาคอุตสาหกรรม และบริการ ไม่มีปาก ไม่มีเสียง

สื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจ ขบวนการกรรมกรอ่อนแอ ฝ่ายนายทุน ฮึกเหิมเอาเปรียบ ลอยแพ ปิดงาน ฟ้องสวนเอาความกับผู้นำกรรมกรเป็นว่าเล่น… อาจารย์นิคมได้บรรจุความหวังดีฝากไว้ให้รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยและต่อๆมาด้วยความห่วงใย แต่เสียงของท่านอาจจะไม่ดังพอที่รัฐบาลจะใส่ใจ และรับฟัง

“……..ปัญหาบ้านเมืองของเรามีมากมาย บางปัญหาสะสมเรื้อรังมานาน บางปัญหาก็เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ฉะนั้นรัฐบาลใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจะต้องเตรียมรับปัญหาเหล่านี้ บทความนี้จะกล่าวถึงปัญหาที่สะสมมานานและรุนแรงขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นระเบิด เวลา ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้….”
อาจารย์นิคม ฟันธงไว้ในบทความเพื่อบอกกล่าวกับรัฐบาลใหม่ขณะนั้น

8 ปีมาแล้วทุกสิ่งอย่างในเรื่องแรงงานสัมพันธ์ ยังเหมือนเดิม

อาจารย์นิคมจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่านถึงแก่กรรมด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในงานสวดพระอภิธรรมศพ ที่วัดเบญจมบพิตร คุณป้าน้อย (ภริยาอาจารย์นิคม) เล่าว่า “ ช่วงที่อยู่ ไอซียู ยังเพ้อแต่เรื่อง “งาน” ให้ตามวิภามาจัดเตรียมการ ประชุม ….ท่านเพ้อซ้ำๆ เช่นนั้น ” ศาลา 100 ปี คลาคล่ำด้วยผู้คน ทั้งผู้นำสหภาพแรงงาน ผู้นำกรรมกร นักวิชาการ ญาติวีรชนเดือนตุลา ข้า ราชการ กระทั่งรัฐมนตรี ผู้ที่ให้ความเคารพรักใคร่ และลูกศิษย์ลูกหาต่างมาร่วมคารวะ และรดน้ำศพ เพื่ออำลาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย “ ในงานศพ ต่างคนต่างกล่าวว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของท่าน หรีดมากมายหลายร้อยจนเป็นพันไม่มีที่จะแขวน

ภายหลังการจัดงานเดือนครบรอบ 24 ปี 6 ตุลาที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์นิคมได้นัดให้วิภามาพบที่คณะสังคมสงเคราะห์ ท่านถือไม้เท้าพยุงตัวขึ้นบันไดทีละก้าวโดยไม่ยอมให้ช่วย เมื่อใครทำท่าจะเข้าไปพยุง ท่านจะจ้องหน้าไม่พูดอะไร…. แล้วก็ก้าวต่อ เราได้แต่คาดเดาว่าท่านไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเป็นคนชรา และไม่ต้องการความช่วยเหลือ หรือแม้แต่ความรู้สึกสงสาร การแนะนำและคำชี้แจงที่พรั่งพรูจากปากท่านเมื่อแรกพบกัน เพื่อให้เป็นต้นร่างประกอบการประชุมมูลนิธิ 14 ตุลา ในเดือนมกราคม ล้วน ชัดเจน เป็นระบบ วัยและสังขารไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด ท่านทบทวนวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ซึ่งมีอยู่ 6 ประการ ให้เราฟัง อย่างแม่นยำ….โดยไม่ต้องใช้เอกสารประกอบ

1.ร่วมดำเนินการจัดสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 2516 และร่วมในการดำเนินกิจการของอนุสรณ์สถานฯ

2.ส่งเสริมให้ความสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้าและเผยแพร่ด้านประชาธิปไตยและการพัฒนา

3.จัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย

4.ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย

5.ร่วมมือและประสานงานกับองค์กรหรือหน่วยงานที่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน

มูลนิธิจะไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการแสวงอำนาจ หรือ ประโยชน์ทางการเมือง การฝักใฝ่ทางการเมืองหรือการสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะ

6.เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์


และท่านยังได้ขยายความถึงบทบาทและภาระหน้าที่ ของมูลนิธิ 14 ตุลา ไว้ เพื่อให้บทบาทและภาระหน้าที่ของมูลนิธิมีความชัดเจน และสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จึงมีการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) และ ภารกิจในระยะ 3 ปี (Mission) จนถึงวาระครบรอบ 30 ปี 14 ตุลาไว้ดังนี้

วิสัยทัศน์ของมูลนิธิ 14 ตุลา คือ
“....เป็นสื่อกลางในการสนับสนุนพลังใหม่ทางสังคม โดยเฉพาะสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เข้าใจอุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นศูนย์เครือข่ายและแกนกลางข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิญญาณของวีรชน 14 ตุลา และส่งเสริมให้เจตนารมณ์ของวีรชน 14 ตุลา ไปสู่การปฏิบัติ โดยมีภารกิจในการสร้างฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมูลนิธิ เพื่อให้เยาวชนมีบทบาทในการสร้างเสริมอุดมการณ์ประชาธิปไตยในสังคมไทย ศึกษารวบรวมเจตนารมณ์ของวีรชน 14 ตุลา และ เผยแพร่และส่งเสริมเจตนารมณ์ตามเป้าหมายของวีรชน 14 ตุลาคม …….

งานหลักในช่วง 3 ปีข้างหน้า คือ เราจะเป็นศูนย์ที่มีข้อมูล เกี่ยวกับ 14 ตุลา ครบถ้วนที่สุด เป็นแหล่งที่ใครอยากรู้เรื่อง 14 ตุลามาติดต่อเรา และส่งเสริมให้เห็นว่าเจตนารมณ์แท้จริงไม่ใช่การก่อความไม่สงบ แต่เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย ทำให้ทราบว่าจิตวิญญาณ 14 ตุลาว่าอยู่ที่นี่ และต้องอุปการะดูแลญาติวีรชน ทั้ง 2 เหตุการณ์ ทั้ง 14 ตุลา และ 6 ตุลา ”


เกี่ยวกับอาคารใช้สอย อาจารย์นิคม ได้ยืนยันว่า อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา จะเป็นอาคารเล็ก ๆ เรียบ ๆ ไม่หรูหรา ไม่โอ่อ่า แสดงถึงจิตวิญญาณประชาธิปไตยของวีรชน 14 ตุลา และอนุสรณ์สถานนี้จะเป็น สถานที่พักผ่อน หย่อนใจของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง และให้ความรู้ ให้การศึกษา ถึงเจตนารมณ์ 14 ตุลาและความรู้เรื่องประชาธิปไตย

คุณป้าน้อยเล่าย้อนหลังให้ฟังว่า “ วันที่ 14 ตุลาคม อาจารย์นิคมสวมเสื้อชุดเก่งสีน้ำเงินที่สั่งให้เด็กรีดไว้เมื่อสามวันก่อน เตรียมออกจากบ้านแต่ 6 โมงเช้า แต่ไม่มีใครอาสาพาท่านไปเพราะเห็นว่าป่วย และนั่งรถเข็นตลอด หลังจากออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย พอบอกว่าจะไม่มีใครพาไป ท่านก็เงียบ นิ่งไม่พูดอะไร แต่พอได้เวลา 8 โมงก็บอกลูกชายคนโตให้พาพ่อไป ลูกเค้าก็ยอมพา ไป…หน้าตาก็ดูดีขึ้นมาทันที แล้วตอนเย็นยังให้ป้าพาไปอีก แต่ฝ่าฝูงคนเข้าไปไม่ไหว ได้แต่นั่งฟังนายกทักษิณพูดบนเวที อยู่ห่างๆ…..”

เย็นวันนั้น ท่านต้องอยู่นอกบริเวณอนุสรณ์สถาน ทั้งๆที่สร้างมากับมือ นักการเมืองพากันขึ้นเวที่ที่อยู่บนรถ 10 ล้อขนาดใหญ่ ปิดทางเข้าอนุสรณ์ไว้

ในคำปราศรัย ครั้งสุดท้ายซึ่งท่านได้ร่างขึ้นก่อนหน้างานร่วม 2 สัปดาห์ มีความตอนหนึ่งว่า

“……อนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมตั้งแต่อัฐิของผู้เสียชีวิต 14 ตุลา และ ประวัติศาสตร์ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม กล่าวได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งรวม ไม่ใช่เฉพาะอิฐปูนและวัตถุต่างๆ ตรงกันข้ามราก ฐานของอนุสรณ์สถาน เป็นที่ตั้ง และรวมจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตย เป้าหมายสำคัญของอนุสรณ์สถานอยู่ที่จะเป็น ประจักษ์พยานของนักต่อสู้ผู้ส่งเสริมประชาธิปไตยพร้อมทั้งสืบทอดปณิธานของวีรชนเดือนตุลา เป็นสำคัญ

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ เราควรจะแสดงความยินดีแก่ตัวเราเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถสร้างอนุสรณ์สถานสำเร็จในครั้งนี้ ซึ่งเป็น งานที่ยาก ต้องอาศัยความอดทน และการสนับสนุนจากทุกฝ่าย ยากที่จะกล่าวนามของผู้มีส่วนสำคัญได้ครบถ้วน เพียงแต่จะขอกล่าว ว่าอนุสรณ์สถานนี้ เป็นความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทั้งชาติ และหวังอย่างยิ่งว่าพื้นฐานดังกล่าวจะดำรงคงอยู่ และสถิตสถาพร ตลอดเวลาของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และตลอดไป "



เมื่อได้พิมพ์ร่างคำปราศรัยนี้ให้อาจารย์ ก็เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของท่านมากขึ้น ในการประชุมครั้งหนึ่งของคณะกรรมการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติอาจารย์นิคมครั้งหนึ่ง มีการอภิปรายกันเรื่องการตั้งสถาบัน หรือมูลนิธิในนามท่าน ลูกชายคนเล็กของ อาจารย์ กล่าวว่า “พ่อพูดกับผมว่า….ให้เอา “งาน” ไว้ก่อน อย่าไปสนใจ ชื่อนิคม แม่ก็ภูมิใจ แต่ไม่อยากให้ติดชื่อ นิคม จันทรวิทุร สิ่งสำคัญ ที่ผมอยากถามทุกท่านคือ เมื่อพ่อผมเสียไปแล้ว มี “งาน”อะไรที่ไม่ได้ดำเนินการต่อไปบ้าง ?? …. อีก 2-3 ปี สังคมไทยจะเกิดอะไรขึ้น งานวิจัยด้านแรงงาน การระดมสมองเกี่ยวกับสังคม และวิวัฒนาการของแรงงาน ใครจะผลักดันเพื่อผู้ด้อยโอกาส…. ควรจะพิจารณาที่ “งาน”เป็นหลัก ให้ลืมคำว่า “นิคม”ไปเลย….”

สถาบันนิคม หรือมูลนิธินิคม หรือห้องสมุดนิคม ห้องประชุมนิคม จะมีความหมายก็ต่อเมื่อ สามารถสืบสาน “งาน” ที่อาจารย์นิคมยัง ทำค้างไว้ต่อไป………เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ขบวนการกรรมกรที่เข้มแข็งและเพื่อผู้ด้อยโอกาส ที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป

ณ วันนี้อนุสรณ์สถาน14 ตุลา ที่สร้างขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่อิฐปูนที่สร้างไว้กราบไหว้ หรือสร้างให้ยิ่งใหญ่ หรูหรา อลังการ เช่นเดียวกับการรำลึกถึงท่านอาจารย์นิคม จันทรวิทุร ก็ย่อมไม่ใช่จำนวนหรีดนับพันที่นำมาแสดงคารวะ ไม่ใช่ปิยะวาจาหรือสัญญาที่สวยหรู ไม่ใช่สายน้ำตาที่หยาดริน หากคือการสืบทอดอุดมการณ์ ตามรอยปณิธานของท่าน คือการปฏิบัติ คือการทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีคำว่าหยุดพัก…….

การคารวะท่านเช่นรูปเคารพจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย !! เราเตือนใจตนเองเช่นนี้

**************

มูลนิธินิคม จันทรวิทุร ร่วมกับ สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เชิญร่วมสัมมนาวันนิคม จันทรวิทุร ประจำปี 2552

เรื่อง “บทเรียนและอนาคตของการประกันสังคมไทยกับเส้นทางสู่รัฐสวัสดิการ”

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2552 เวลา 8:00-13.30 น. ณ ห้องประชุมประภาสอวยชัย ชั้น 4 ตึกอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

8:15 - 8:30 น. ลงทะเบียน

8:30 - 8:45 น. กล่าวต้อนรับ โดย ศ. ดร. ธีระ ศรีธรรมรักษ์ ประธานมูลนิธินิคม จันทรวิทุร

8:45 – 9:00 น. กล่าวเปิดการสัมมนา โดยรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

9:15 - 9:30 น. แนะนำองค์ปาฐก โดย
• นายพงศักดิ์ เปล่งแสง กรรมการ มูลนิธินิคม จันทรวิทุร

9:30 - 10:15 น. การปาฐกถานิคม จันทรวิทุร ครั้งที่ 7ประจำปี พ.ศ. 2552 หัวข้อ “บทเรียนและอนาคตของการประกันสังคมไทย" โดย
• นายอำพล สิงหโกวินท์ ผู้ทรุงคุณวุฒิประจำคณะกรรมการประกันสังคม

10:15 – 10:30 น. รับประทานอาหารว่าง

10:30 – 11:45 น. การอภิปรายเชิงวิชาการและนโยบาย หัวข้อ “การประกันสังคมไทยกับเส้นทางสู่รัฐสวัสดิการ” โดย

• นายพนัส ไทยล้วน ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการประกันสังคม
• นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล ผู้แทนฝ่ายนายจ้างในคณะกรรมการประกันสังคม
• รศ.ดร.ปรีชา สิทธิกรณ์ไกร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
• นายโกวิทย์ บุรพธานินทร์ กรรมการมูลนิธินิคม จันทรวิทุร
• ดร.โชคชัย สุทธาเวศ เลขาธิการ มูลนิธินิคม จันทรวิทุร (ดำเนินการอภิปราย)

11.45 -12.15 น. ซักถามและร่วมแสดงความคิดเห็นโดยผู้เข้าร่วมสัมมนา

12:15-12:30 น. สรุปและกล่าวปิดการสัมมนา โดย
• นายฐาปบุตร ชมเสวี รองประธาน และ ประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธินิคม จันทรวิทุร
12:30 – 13:30 น. รับประทานอาหารกลางวัน

หมายเหตุ:พิธีกรดำเนินงาน โดยผู้แทนจากสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker