บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา(7):สหายหญิง และนิยายของชมพู

ที่มา Thai E-News


วันที่จะจากป่าเขา ผมและเพื่อนหลายคนไปร่ำลาเธอด้วย ยามเช้าที่สดใส ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยรวมทั้งคำอวยพรของแม่คนหนึ่งที่เราเคารพ นอกจากเสียงร่ำไห้ของชมพูและอ้อนวอนไม่ให้จากไป เสียงร้องไห้นั้นดังเนิ่นนาน จนผมเดินลับมาแสนไกลก็คล้ายยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ตามภูเขาและต้นไม้..ทุกหนแห่ง(ภาพประกอบ:ภาพยนตร์"ฟ้าใสใจชื่นบาน")


โดย วันลา วันลิไล
30 ตุลาคม 2552


10. นิยายของชมพู


10.1 ผมเดินขึ้นที่พักอย่างอ่อนแรง ทั้ง ๆ ที่มือสองข้างหิ้วเพียงถังน้ำข้างละใบเท่านั้น

ท่าน้ำตรงนั้นค่อนข้างชัน น้ำลึกและมีหินก้อนใหญ่ระเกะระกะ เรากินข้าวกันก่อนที่จะมืดจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำมันตะเกียง เสร็จแล้วต่างก็เดินกลับไปพักผ่อนที่เปล

อากาศเริ่มขมุกขมัวมากขึ้น เสียงแมลงกลางคืนเริ่มกรีดปีกแข่งกันเซ็งแซ่ ผมเอาวิทยุแนบหูเปิดหมุนหาคลื่นไปเรื่อย ได้ยินเพลงฝรั่งก็จะหยุดฟัง เพลงอะไรก็ดูจะไพเราะไปหมด เมื่อเทียบกับเพลงจากสถานีคลื่นสั้น ส.ป.ท.ที่มักจะมีเสียงแทรกแกรก ๆ และยิ่งไพเราะเมื่อรู้สึกว่าต้องแอบฟัง มันหายากและไม่ได้ฟังมาแสนนานแล้ว

สักครู่หนึ่งคุณยุเดินมาบอกว่าช่วยไปดูคุณชมพูหน่อยเขาบอกว่าปวดท้องมาก เมื่อผมเดินไปถึงก็รู้สึกตกใจ คนป่วยซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีทีท่าอะไรนอนบิดตัวร้องครวญคราง และเล่าด้วยน้ำเสียงกัดฟันว่า เธอกระโดดน้ำใขณะที่อาบน้ำที่ท่าในตอนเย็น

เมื่อถามว่ากระโดดไปโดนก้อนหินหรือเปล่า เธอส่ายหน้า แต่เอามือกดตรงตำแหน่งที่ปวดใต้ชายโครงด้านขวาแล้วร้องเสียงดังขึ้น ดังจนทำให้ผมลุกลี้ลุกลนไปด้วย นึกเดาไปว่าหรือจะมีอะไรมากระแทกที่ตับ เดาไปก็ใจหายเพราะที่ติดตัวมาก็มียาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

เธอทั้งร้องทั้งดิ้นเหมือนดังจะขาดใจในบัดดล ผมค้นเป้แล้วไม่มียาฉีดอาโทรปิน ทำให้ตัดสินใจข้ามยาเม็ดจำพวกพาราเซทตามอลไปเลย แล้วนึกถึงโซเซกอน (มีตัวยาโคเดอินหรือมอร์ฟีนผสมอยู่ด้วย) ถึงจะไม่เคยใช้แต่เสียงร้องนั้นไม่ยอมให้ผมหยุดคิดเลย

พอฉีดยาเสร็จอาการกลับเลวร้ายลงอีก ทั้งครวญครางอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงที่แผ่วลง ทั้งดูหน้าซีดตัวเย็นเหมือนกับจะเป็นลมหรือช็อก ผมรีบให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ใจก็คิดแผนอื่นไว้ทั้ง ๆ ที่รู้สึกสับสนและมีทางเลือกไม่มาก มือข้างหนึ่งก็จับชีพจรแล้วนับไปเรื่อย

รอดูอยู่พักหนึ่งเห็นค่อย ๆ สงบลง สีหน้าอ่อนเพลียและคล้ายจะหลับไปแล้ว ผมถอนใจโล่งอกและหลบมานั่งคนเดียว

คืนข้างแรมมันมืดมาก ไม่มีเสียงลม ไม่มีการเคลื่อนไหว เหตุฉุกละหุกเมื่อครู่เหมือนทำให้ต้นไม้สายลมหยุดจ้องมองอย่างเงียบงันไปด้วย ชมพูตัวผอม ๆ เคยเป็นไข้และไอเรื้อรังเหมือนกับเป็นวัณโรค ฟังว่าเคยไปตรวจแต่ไม่พบเชื้อแต่อย่างใด


10.2 คุณสนองซึ่งเคยเรียนหมอและเป็นหัวหน้าหน่วยอีกหน่วยหนึ่งมาถึงแต่เช้า

พอเล่าเรื่องให้ฟัง เขาได้แต่ยิ้มเล็กน้อยแล้วบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ให้ดูอาการอีกที คำแนะนำเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ คุณสนองนั่งคุยกับหัวหน้าหน่วยผมอีกไม่กี่นาทีก็กลับไป สรุปแล้วยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนชมพูเป็นอะไร

ค่ำมากแล้วหัวหน้าหน่วยกับเพื่อนอีกคนออกจากที่พักชายป่าไปคุยกับชาวบ้านปล่อยให้ผมกับคุณยุคอยดูชมพู ราวสัก 3 ทุ่มคุณยุก็ย่องมาหาผมแล้วบอกว่าไปดูเธอหน่อยเห็นบอกว่าเริ่มปวดท้องอีกแล้ว พอเดินไปถึงคราวนี้เสียงครวญครางดังกว่าคืนก่อน และเปลี่ยนเป็นร้องว่าช่วยด้วยทนไม่ไหวแล้ว

จะเอาอย่างไหนระหว่างรอดูอาการอีกทีกับต้องทำอะไรบางอย่าง เธอยึดมือผมไว้และร้องให้ช่วยไม่ขาดปาก เมื่อหมดหนทางจึงจำใจใช้แผนเดิมโดยฉีดโซเซกอน เพราะคืนก่อนยังผ่านมาได้ แต่คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเก่า คนป่วยหายใจหอบถี่และแผ่วลง ชีพจรเบามากแทบไม่รู้สึกเลย เสียงครวญครางหยุดไปแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างกำลังนิ่งเงียบ

ผมฉีดแอดเรนาลินที่ติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน แล้วหันไปบอกคุณยุให้ช่วยจับชีพจรและให้ทำใจไว้ คงจะช่วยได้แค่นี้

จากเสียงร้องครวญครางจนถึงฉีดยาแก้ปวดและฉีดยากระตุ้นหัวใจ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีเวลาคิดทบทวนเลย ตะเกียงน้ำมันดวงเดียวให้แสงว็อมแวม มองเห็นใบหน้าซีดของคนป่วย ทุกอย่างเงียบเชียบ คุณยุหันมาบอกว่าจับชีพจรไม่ได้เลย ผมใจหายวาบ

เมื่อตรวจหาการเต้นของหัวใจที่ข้อมือและลำคอไม่พบทั้งสังเกตไม่เห็นอาการหายใจ ผมตัดสินใจเอามือกดลงไปที่ทรวงอก
3-4 ครั้ง แล้วจับหน้าเธอหงายขึ้น บีบจมูกไว้ เป่าลมเข้าไปในปอดแรง ๆ แล้วหันมากดทรวงอกอีก คราวนี้เห็นปฏิกิริยาแสดงถึงการหายใจและรับรู้ได้ถึงการเต้นของชีพจร

พอใจชื้นขั้นก็นึกถึงน้ำเกลือที่มีเหลืออยู่ถุงเดียว โชคดีที่ในที่มืดกับผู้ป่วยที่หาเส้นเลือดดำยากผมกลับสอดเข็มลงในหลอดเลือดสำเร็จอย่างรวดเร็ว สักพักเมื่อคนอื่นกลับมาถึง เธอก็พูดคุยได้แล้ว


10.3 กลางแสงจันทร์ บางคืนเรานั่งคุยกัน 3-4 คน บางคืนก็นั่งคุยกันแค่ 2 คน เราพูดถึงทัศนะต่อชีวิต ความหวัง ความศรัทธา และแน่นอนหนุ่มสาวอย่างเราย่อมพูดถึงความรักบ้าง เธอบอกผมว่ามีใครคนหนึ่งมาชอบผม เมื่อซักไซร้ถามก็เอ่ยชื่อออกมา หัวใจผมพองโตอย่างน้อยก็มีคนมาชอบกับเขาเหมือนกัน

รู้สึกตัวเองคงไม่ขี้เหร่จนเกินไป เธอยังบอกว่ามีใครคนหนึ่งมาบอกรักและขอคำปรึกษาว่าจะตอบรับเขาไปดีหรือไม่ ผมตอบเธอตรงไปตรงมาว่า หัวใจเป็นของคุณถ้ารักเขาก็ตอบรับไปสิ เธอจ้องตาผมเขม็ง ในขณะที่ผมรู้ตัวเองดีว่า ในดวงตาผมไม่เคยมีประโยคที่สองและที่สามซ่อนเอาไว้

ผมเล่าเรื่องของตัวเองให้เธอฟังว่า เมื่อคราวเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ถึงตอนปิดเทอมก็กลับไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด เย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งในสนามหญ้าในทุ่งหลังบ้านคนเดียว คิดถึงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาจนอยากให้เปิดเทอมเร็ว ๆ

เมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เคยชอบใครคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าเอ่ยปากบอก ต้องแกล้งทำท่าทีให้ห่างเหิน ทั้งๆที่ใจอยากอยู่ใกล้ชิด จนวันหนึ่งอดไม่ไหว ก็เอ่ยปากบอกรักไปโดยไม่อ้อมค้อม ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร จำได้ว่าทั้งคนบอกรักและคนถูกบอกรัก ต่างนั่งมือไม้สั่นเหงื่อแตกกันทั้งคู่

ชมพูหัวเราะคิกคักกับเรื่องเชยๆของผม ผมก็หัวเราะตัวเองเช่นกัน


10.4 ชมพูเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อรักษาอาการป่วย ผมประคองเธอตลอดทางที่นั่งรถจากชายป่าถึงถนนใหญ่ หลายวันต่อมาเราพบกันอีกเมื่อกลับจากกรุงเทพฯ และเดินทางเข้าป่าพร้อมกันกับเพื่อนอีกหลายคน เพื่อนที่มาส่งชมพูบอกว่าหมอตรวจอย่างละเอียดแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ เธอหายป่วยตั้งแต่วินาทีแรกที่ถึงกรุงเทพฯแล้ว

พวกเราเดินข้ามเขาอย่างรีบเร่ง เย็นวันนั้นแดดร้อนมาก ทุกคนเหนื่อยและหิวน้ำจนตาลาย ก่อนจะถึงที่พักประจำต้องหยุดพักระหว่างทางคืนหนึ่งก่อน

รุ่งขึ้นอีกวันขบวนเราเดินถึงทางแยก พวกหนึ่งซึ่งมีหมอมียาพร้อมจะแยกไปทำธุระอีกทางหนึ่ง เขาถามผมว่าจะให้ชมพูไปทางไหนดี ผมลังเลแต่ก็ตอบไปว่าไปกับกลุ่มผมดีกว่า เพราะได้ยินเธอบ่นปวดท้องเมื่อต้องเดินทางมาก ๆ พวกนั้นพยักหน้ายิ้ม ๆ เห็นด้วยทุกคน อากาศเริ่มเย็นทึม ๆ ลง แถวที่เดินเป็นแนวในทางแคบ ๆ ทางเช่นนั้นเดินง่ายไม่ต้องกลัวหลง คนแข็งแรงเดินเร็วก็จะจ้ำทิ้งไปไกล คนที่เดินช้าก็ค่อย ๆ กระย่องกระแย่งไป

เมื่อถึงที่พักผมพยายามทำโน่นทำนี่ไม่อยู่ใกล้พูดคุยกับเธอมากนัก พอตกค่ำเธอก็บอกว่าปวดท้องอีก แต่ไม่ร้องรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน คราวนี้ผมให้ยาแก้ปวดและวิตามินสีลูกกวาด พร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณว่าเป็นยากดประสาทส่วนกลางคลายความเจ็บปวดและตึงเครียด ยังใช้คำศัพท์ทางการแพทย์หลายคำเพื่อให้วิตามินเม็ดนั้นขลังมากขึ้น ไม่ค่อยได้ผลนักแต่ไม่มีอาการรุนแรงอย่างที่เคยเป็น ผมเหนื่อยมาก พอให้ยาแล้วก็หลบออกมานั่งห่าง ๆปล่อยเธอไว้กับใครบางคนได้ยินเสียงบ่นและร้องเจ็บปวดสักพักก็เงียบไป


10.5 คืนจันทร์ครึ่งดวง มีงานรื่นเริงที่ค่าย เสียงกลองและฉิ่งฉาบรำวงดังจนคึกคัก
ผมก็เตรียมตัวจะร้องเพลงกับเขาด้วย เดินอยู่คนเดียวระหว่างบ้านโน้นบ้านนี้ เที่ยวตามหาเพื่อน ๆ และเครื่องดนตรีให้ครบชิ้น เสียงหีบเพลงปากดังอยู่อีกบ้านหนึ่ง

คืนนี้จะขาดเครื่องดนตรีชิ้นนี้ไม่ได้เพราะมือแอ๊คคอเดี้ยนไม่อยู่ ทางเดินที่ทอดไปยังบ้านนั้นมืดเพราะเงาไม้ไผ่รกครึ้ม

มีแสงสว่างจากคบไม้ด้ามขวานสวนมาเป็นแถว ผมรู้สึกยินดีเข้าไปทักทายเพื่อนที่มาจากค่ายสาม หญิงชายหลายคนยิ้มอย่างร่าเริง เด็กกะเหรี่ยงรูปหล่อฮัมเพลงผ่านไปจนถึงคนสุดท้าย ชมพูนั่นเองเธอจับมือผมไว้ แล้วยัดกระดาษก้อนหนึ่งให้ ผมบอกไม่ถูกว่าเกิดความรู้สึกอย่างไร เพราะถึงจะไม่เปิดอ่านก็เดาได้ว่าข้อความในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอย่างไร

ผมเก็บก้อนกระดาษไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วขึ้นไปร้องเพลงและรำวงกับเพื่อนๆจนงานเลิกราวตีหนึ่ง พอไฟที่เวทีดับลงและเพื่อนๆกลับไปนอนหมดแล้วผมยังคงนั่งอยู่คนเดียวที่ห้องสมุดกับตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก ตัดสินใจอยู่ครู่ใหญ่ที่จะเผาก้อนกระดาษเสีย สุดท้ายก็คลี่มันออกมาอ่าน หมึกสีซีดในกระดาษที่ขยำจนยับยู่ยี่นั้นบอกว่าผมมีน้ำใจกับเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำใจให้ ผมยิ้มอย่างหดหู่

ในใจคิดว่าน้ำใจจะเป็นอะไรก็ได้ขอแต่มี “ให้” แค่นั้นก็พอแล้ว


10.6 วันที่จะจากป่าเขา ผมและเพื่อนหลายคนไปร่ำลาเธอด้วย ยามเช้าที่สดใส ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยรวมทั้งคำอวยพรของแม่คนหนึ่งที่เราเคารพ นอกจากเสียงร่ำไห้ของชมพูและอ้อนวอนไม่ให้จากไป เสียงร้องไห้นั้นดังเนิ่นนาน

จนผมเดินลับมาแสนไกลก็คล้ายยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ตามภูเขาและต้นไม้

ทุกหนแห่ง


11. สหายหญิง


เพื่อนผมคนหนึ่งหลงรักสหายหญิงอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อบอกกล่าวกับผู้ใหญ่แล้ว สาส์นปฏิเสธของอีกฝ่ายก็ตอบผ่านกลับมา ความเสียใจทำให้น้ำตานักรบที่แกร่งกล้าคนหนึ่งไหลพรากต่อหน้าผม ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย

ได้แต่คิดว่าน้ำตาเขาควรจะไหลลงต่อหน้าหญิงสาวที่เขารัก แม้ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธก็ตาม


จะปฏิวัติกันได้อย่างไรถ้าขาดสหายหญิง เราเรียกผู้หญิงของที่นั่นเช่นนั้น

แน่นอนพวกเธอมีบทบาทไม่แพ้ผู้ชาย บางคนเคยออกรบมาแล้ว บางคนออกไปพูดปลุกระดมชาวบ้าน เดินขึ้นเขาสูง ฝ่าสายน้ำเชี่ยว เป้ของหนัก ปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ทำครัว เย็บผ้า เป็นหมอฉีดยาและผ่าตัด เล่นดนตรี เต้นระบำ ดูแลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นแม่และครูของเด็ก ๆ รวมทั้งเป็นคู่รักของชายหนุ่ม และภรรยาของสามี

ในวงศึกษาสัมมนา พวกเธอบางคนก็เป็นนักอภิปรายแสดงความเห็นอย่างน่าชื่นชม ผมชื่นชมเพราะส่วนหนึ่งของพวกเธอมาจากชาวนาหรือแม่ค้าแม่ขายที่ไม่ได้ร่ำเรียนสูงในการศึกษาตามแบบแผน อาศัยการบ่มเพาะตามแบบฉบับในป่า

ถึงความเข้าใจและโลกทัศน์มีกรอบจำกัด ก็ยังแตกต่างกันลิบกับผู้หญิงชาวบ้านตามไร่นาและบ้านเรือนในชนบททั่วไปที่ขาดการอ่าน การศึกษา และใส่ใจในวิทยาการอื่น นอกเหนือจากการทำมาหากินในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตามในแววตาที่จริงจัง เด็ดเดี่ยว ย่อมซุกซ่อนความสดชื่น,อ่อนหวานซึ่งธรรมชาติได้สร้างมาให้พร้อมกัน สังคมในป่าไม่ใช่ลัทธิของนักปฏิบัติธรรม แต่เป็นสังคมของผู้รักความเป็นธรรมที่มีเลือดเนื้อวิญญาณอย่างปุถุชน ทุกคนแม้นมือหนึ่งจะถือปืนแต่อีกมือหนึ่งมักจะถือดอกไม้ และเรียกร้องให้ “ถนอมรัก” กัน เช่นนี้จึงสามารถจะคลี่คลายปัญหา “ความคิด” ที่แต่ละคนพลัดพรากบ้านมาจากทั่วทุกสารทิศ ทำงานที่เหนื่อยยากยิ่ง อันตรายอย่างยิ่ง และยังไม่เคยกล้าคิดถึงผลสำเร็จในอนาคตเลย

ในเรื่องส่วนตัว(ที่นั่นไม่มีคำว่าครอบครัวและสังคม มีแต่คำว่าส่วนตัวและส่วนรวม) ชายและหญิงต่างเกิดความผูกพันรักใคร่กันมีทั้งเรื่องสุขเรื่องเศร้า งดงามและหยาบคาย เช่นเดียวกับในสังคมอื่น ๆ

โดยสถานการณ์ที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ทุกคนถูกเรียกร้องให้ชะลอการสร้างภาระทางครอบครัวที่เรียกว่ากันว่า “3 ช้า” อย่าเพิ่งมีคู่รัก, อย่าเพิ่งแต่งงาน และอย่าเพิ่งมีลูก

ในความเป็นจริงแม้บางคนจะเกรงอกเกรงใจกับนโยบายนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับบางคนเรื่องของหัวใจอะไรก็ห้ามไม่ได้ ในกองทัพมีผู้หญิง, มีแววตาหวานซึ้งและอบอุ่นจะห้ามไม่ให้เกิดนิยายรักได้อย่างไร

คุณสงวน มีลูกชายเล็ก ๆ น่ารักคนหนึ่งกับภรรยาสาวชาวกะเหรี่ยง มีคนเล่าตำนานรักของเขาสั้น ๆ ว่า เมื่อถึงคืนวันที่โศกใจ คุณสงวนนอนกอดหมอนร้องไห้ไม่เป็นอันทำงานเลย ความรักของเขาต่อหญิงสาวไม่อาจจะคลี่คลายเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากผู้ใหญ่ต้องจัดการแต่งงานให้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเศร้าเสียใจจนตายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน เรื่องนี้มีบางคนให้ข้อสังเกตว่า “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก”

คุณชำนาญ พกเอาความรักความปรารถนาเต็มอกต่อหญิงสาวที่เขารักจนไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้ เขาย่องไปเปิดมุ้งคนรักในขณะที่เพื่อน ๆ คนอื่นนอนหลับ ด้วยความอ่อนเพลียจากงานในไร่นา ความลับถูกเปิดเผยออกมาต่อเมื่อคนรักของเขาตั้งท้อง และผู้ใหญ่จำต้องจัดพิธีแต่งงานให้ตามระเบียบ ยุทธวิธี “มัดมือชก”

เช่นนี้ทำให้หลายคนยกนิ้วให้ เพียงแต่ไม่กล้าทำตามอย่างเท่านั้น

ส่วนคุณพิสิฐก็อาศัยโอกาสที่ต้องทำงานด้วยกันกับหญิงสาวคนหนึ่งจัดการรวบหัวรวบหางโดยอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน นี่ก็เป็นยุทธวิธี “รบเร็ว” ที่ได้ผลเกินคาด

เขายอมที่จะถูกเลื่อนพิจารณารับเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับที่นั่น เขายอมวิจารณ์ตนเองและให้เพื่อน ๆ นั่งล้อมวงวิจารณ์หลังจากยอมรับหน้าตาเฉยว่าเรียบร้อยกันแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในพิธีแต่งงานที่เรียบง่าย พวกเราก็ยินดีที่ได้ช่วยมุงหลังคาสร้างบ้านใหม่ให้เป็นเรือนหอและช่วยโห่นำเจ้าบ่าวไปยังบ้านซึ่งเจ้าสาวรออยู่ บ้างก็ช่วยแต่งโคลงกลอนให้เป็นของขวัญ และมีความสุขเล็กๆน้อยๆร่วมกัน กับการกินเลี้ยงขนมหวานกับงานบันเทิงง่ายๆและสั้นๆ

ทั้งหมดนั้นเป็นการให้กำลังใจกันเช่นเดียวกับการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความสุขตามควร ทั้งๆที่หลังแต่งงานบางคู่แทบจะไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน หรือไม่มีแม้แต่ "ฮันนี่มูน" เนื่องจากภาระหน้าที่ที่พรรคฯมอบหมาย

ประเพณีความรักของที่นั่น ส่วนใหญ่จะต้องผ่านการ “เสนอ” ผู้ใหญ่(เรียกกันว่า จัดตั้ง) เสมอ หมายความว่า เมื่อเกิดรักชอบใคร ต้องบอกเล่าผู้ใหญ่ให้ช่วยถามไถ่อีกฝ่ายหนึ่งอาจบางครั้งผู้ใหญ่มีความเห็นในเรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมบ้าง การไม่ผ่านพิธีการเช่นนี้จะถูกมองว่า “ผิดศีลธรรม” มิพักต้องพูดถึงการไปผิดลูกผิดเมียคนอื่นซึ่งจะเป็นความผิดร้ายแรงไม่อาจให้อภัยได้

ผมไม่เคยรู้และไม่เคยเห็นว่ามีใครทำผิดพลาดร้ายแรงถึงขึ้นเป็นชู้กับผัวเมียคนอื่นดังกล่าว นอกจากเรื่องความรักความคะนองของหนุ่มสาวดังเรื่องเล่าข้างต้น ทั้งนี้เพราะอาจมีกลไกบางอย่างคอยป้องกันความผิดพลาดไว้ เนื่องจากทุกคนล้วนติดอาวุธ หากอารมณ์ชักนำให้โกรธเคืองเคียดแค้นกันแล้วอาจเกิดผลร้ายใหญ่โตได้

แม้จะมีความในใจ แต่การเล่าสู่และพบปะกันข้ามหน่วยงานถือเป็นเรื่อง “ไร้จัดตั้ง” ซึ่งเป็นข้อห้ามเข้มงวดข้อหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่หญิงชายจะได้สบตาและกุมมือกัน เหล่า "สหายชาย" ไหนเลยจะได้เคยเห็นท่าทางเอียงอายของ"สหายหญิง"

ในโลกที่เป็นจริงมันเหมือนกับทำให้ความเป็นคนตกหล่นไป เช่นเดียวกับความรักของหนุ่มสาว การคุยกันเรื่องของหัวใจผ่านผู้ใหญ่หรือผู้อื่นมันจะซาบซึ้งสุขใจเท่ากับได้คุยกัน 2 ต่อ 2 ได้อย่างไร

หรือแม้กระทั่งยามผิดหวังอกหัก จะให้หนุ่มสาวออดอ้อนระบายความกลัดกลุ้มต่อหน้าใคร เพื่อนผมคนหนึ่งหลงรักสหายหญิงอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อบอกกล่าวกับผู้ใหญ่แล้ว สาส์นปฏิเสธของอีกฝ่ายก็ตอบผ่านกลับมา ความเสียใจทำให้น้ำตานักรบที่แกร่งกล้าคนหนึ่งไหลพรากต่อหน้าผม ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย

ได้แต่คิดว่าน้ำตาเขาควรจะไหลลงต่อหน้าหญิงสาวที่เขารัก แม้ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธก็ตาม

******
บันทึกทั้งหมดก่อนหน้านี้:

บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา:ตะวันตกที่ตะนาวศรี

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker