เสนีย์ จิตตเกษม
นอก จากพระปราโมทย์ ปราโมชโช (สันตยากร) เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีเพื่อนร่วมรุ่นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ (รุ่น 24) ซึ่งล้วนเป็นคนดัง ไม่ว่านายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปี 2518 หรือ นายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ ผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นักรัฐศาสตร์และนักกฎหมาย อาทิ กฤต ไกรจิตติ , กิตติ แก้วทับทิม , เกษม คมสัตย์ธรรม ,ทินกร ตันติวนิช ,ธนวัฒน์ เนติโพธิ์ ,ธนวิทย์ สิงหเสนี , ธีรพจน์ จรูญศรี , นวนิต สิงหเสนี , นุชนารถ วะสีนนท์ , ปาริชาติ จันทรางศุ , ไพบูลย์ จันทรางศุ , มยุรี อนุมานราชธน , รจนี อาชวานันทกุล , วันทนีย์ กัลยาณมิตร - บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด วัส ติงสมิตร - ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง , วิชช์ จีระแพทย์ สำนักอัยการสูงสุด , วีระนารถ วีระไวทยะ และ อุษา ตันติเวชกุล
ล่าสุด"มติชนออนไลน์" ตรวจสอบพบว่า นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่น 24 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯกับพระปราโมทย์ด้วยเหมือนกัน โดยในหนังสือทำเนียบรุ่นระบุว่านายเสนีย์เลขที่ 261 ส่วนเลขที่ 116
นาย เสนีย์เป็นคนอำเภอพนัสนิคม ชลบุรี ประวัติรับราชการเคยรักษาการในตำแหน่งนายอำเภอปากชม จังหวัดเลย ,นายอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ,นายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี,ผู้อำนวยการส่วนกิจกรรมมวลชน สำนักงานประสานงานมวลชน กรมการปกครอง , ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ( เลื่อนระดับ 9 ) 2542 ,รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ , รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 และผู้ว่าฯชลบุรี
ล่าสุดเมื่อวัน ที่ 28 กันยายน 2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ย้ายไปเป็นผู้ว่าฯน่าน พร้อมผูว่าฯคนอื่น 47 ตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 วันเดียวกันที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้โยกย้าย นายเสนีย์ก็ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวนพระปราโมทย์ โดยมีนายยุติศักดิ์ เอกอัคร นายอำเภอศรีราชา ประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ไม่พบว่าเจ้าสำนักสวนสวนสันติธรรมฉ้อฉลและหลอกลวงประชาชน
ส่วน แม่ชีอรนุช สันตยาก อดีตภรรยานั้นได้ทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับยกที่ดินหากสวนสันติธรรมได้รับการ พิจารณาให้เป็นวัดไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเงินรายได้นั้นมาจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค พระไม่ได้หยิบเงินแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าแม่ชีอรนุชถือบัญชีก็ตาม แต่มีผู้ตรวจสอบบัญชี จากพยานหลักฐานดังกล่าวไม่เข้าข่ายฉ้อฉลตามที่ร้องเรียน ส่วนกรณีอวดอุตริมนุสธรรม ขอให้สำนักพุทธศาสนาตรวจสอบ