ภายใต้การเร่งมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คลี่คลายคดีคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
เปิด โฉมหน้าตัวละครออกมาได้หลายตัว โดยเฉพาะเจ้าของห้องพักที่ชื่อ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ พบ ประวัติเป็นการ์ดเสื้อแดง เคยเข้าร่วมชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดยังพบหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงเหตุระเบิดป่วนเมือง อีก 5-6 ครั้งก่อนหน้านี้ ทั้งที่บริเวณห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงเรียน
ซึ่งแต่ละจุดล้วนอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ที่ยังมีพ.ร.ก.ฉุก เฉินควบคุมอยู่
อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดแมนชั่นย่านบางบัวทอง แม้พยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจะชี้ตรงไปยังคนเสื้อแดง
แต่ยังมี "ความจริง" อีกชั้นหนึ่งที่ต้องสืบเสาะ
ที่น่าสนใจ คือความจริงในชั้นนี้ จะชี้ตรงไปที่ใคร ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือฝ่ายรัฐบาลเล่นเอง
เป็น หน้าที่ของตำรวจต้องสืบ สวนหาหลักฐานมายืนยันต่อไปว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงถึงกลุ่มบุคคลใดบ้าง เพื่อจับกุมนำตัวมาลงโทษตามกฎหมาย โดยต้องไม่ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงบิดเบือนข้อเท็จจริง ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีชนวนสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม
ทั้งนี้ หลังการปราบม็อบเสื้อแดงจนมีคนตายกว่า 90 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน เมื่อเดือนพ.ค.
ผ่านมาเกือบ 5 เดือนเกิดเหตุระเบิดแล้วราว 20 ครั้ง
เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองไม่แค่จะเกิดอย่างต่อเนื่องแต่ยังทวีความรุนแรงมากขึ้น
ที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้เพิ่มมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น
มี การตั้งศูนย์ปฏิบัติการและบริหารเหตุ การณ์ร้ายแรงขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อสืบ สวนจับกุมคนก่อเหตุ แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายทางเท่านั้น
เนื่องจากต้นทางของระเบิดมาจากปัญหาทางการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน
กล่าว คือตราบใดที่การเมืองยังปรองดองกันไม่ได้ ต่อให้มีมาตรการเข้มงวดแค่ไหน หรือต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกกี่รอบ ก็ไม่ช่วยให้บ้านเมืองปลอดจากเสียงระเบิดได้อย่างถาวร
ทุกครั้งเมื่อเสียงระเบิดดัง การข่าวของรัฐบาลก็จะพุ่งเป้าไปยังฝ่ายตรงข้ามคือคนเสื้อแดงทันที
ข้อกล่าวหาคือต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
ทำ ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย หรือสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้
โดยมีจุดหมายอยู่ที่การยืมมือสังคมสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลต้องยุบสภาในที่สุด
การตั้งโจทย์ของรัฐบาลเช่นนี้นำมาสู่การตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีรุนแรงแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
เท่าที่เห็นคือการที่คนเสื้อแดงตกเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าอย่างไม่ลดละ
เจ้าหน้าที่รัฐหาเรื่องจับกุมได้ทั้งนักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่แม่ค้าขายรองเท้าแตะ
เบาะๆ ก็โดนตั้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถ้าเป็นระดับแกนนำก็จะโดนข้อหาก่อการร้าย จ่อด้วยข้อหาล้มเจ้า
อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้เหตุระเบิดแมนชั่นย่านบางบัวทอง จะเป็นเครื่องยืนยันการข่าวของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงที่ว่าจะมีความพยายาม ก่อเหตุทำนองเดียวกันนี้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2553
แต่ปัญหาคือรัฐบาลจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าวได้อย่างไร
การจับกุมฝ่ายตรงข้ามแบบเหวี่ยงแหนั้น ถ้าเหวี่ยงถูกตัวก็แล้วไป แต่ถ้าผิดตัวก็จะยิ่งทำให้ความคั่งแค้นลุกลามออกไปไม่จบสิ้น
เช่นเดียวกับกรณี 91 ศพ ที่เวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือนแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งในทางคดีหรือการเยียวยาจิตใจผู้สูญเสีย
หรือ อย่างการจับกุมกลุ่ม 11 ชายฉกรรจ์ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เข้าล็อกกันพอดีกับข่าวปล่อยล่วงหน้าว่า มีคนเสื้อแดงไปฝึกอาวุธในประเทศเพื่อนบ้าน เตรียมกลับมาปฏิบัติการลอบสังหารบุคคลสำคัญในประเทศ
เบื้องหลังหลายคนยังสงสัยว่าเป็น การจัดฉากโยนความชั่วร้ายให้คน เสื้อแดง
โดยฝีมือของใครบางคนในซีกรัฐบาลหรือไม่
มีรายงานข่าวระบุว่าหลังสลายม็อบเสื้อแดงในเดือนพฤษภาฯ
แกนนำเสื้อแดงถูกจับกุม บางส่วนหลบหนี มุดลงใต้ดินบ้าง ไปต่างประเทศบ้าง
ทิ้ง ให้มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย เคว้งคว้าง เกิดสภาพต่างคนต่างอยู่ ด้วยความคับแค้น กลายเป็นเหยื่อของผู้ที่คิดใช้ประโยชน์จากความคับแค้น
การข่าวฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าเหตุระเบิดรายวันน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคนเหล่านี้
โดยเฉพาะพวกที่มีประวัติเป็นแดงฮาร์ดคอร์
ถูก คนในรัฐบาลใช้ชั้นเชิงหลอกล่อด้วยผลประโยชน์บางอย่าง ให้ออกมาเผยตัวแล้วตลบหลังเข้าจับกุม อย่างกรณี 11 นักรบ หรือกรณีระเบิดพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
ปัญหาทางการเมืองทุกวันนี้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนไม่รู้ใครเป็นใคร
ที่สำคัญคือกรอบความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของรัฐบาลกับคนเสื้อแดง
แต่ ได้ขยายวงออกไปถึงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น การแก่งแย่งอำนาจและช่วงชิงผลประโยชน์กันเองในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม
รวมถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ศาลรัฐ ธรรมนูญใกล้จะตัดสินในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองครั้งสำคัญและจะเป็นตัวชี้ด้วยว่าอุณหภูมิการเมืองจะเย็นลงหรือยิ่งร้อนแรง
ลำพังโจทย์ปัญหาเหล่านี้ก็ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่อยู่แล้ว ยิ่งมีเสียงระเบิดดังขึ้นมารายวัน ก็ยิ่งตอกย้ำสภาพวิกฤต
การไม่แก้ปัญหา หรือแก้ปัญหาไม่ได้ ถือว่าบั่นทอนทำลายทั้งรัฐบาลและสถานการณ์การเมืองอยู่แล้ว
แต่การเอาปัญหาที่ตนเองแก้ไขไม่ได้ ไปบิดเบือนเล่นงานฝ่ายตรงข้ามซ้ำเข้าไปอีก
ไม่เรียกว่าทำลายประเทศชาติก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดี