ทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู-ภาพ นี้ผมถ่ายมาจากหน้าหนึ่งของนิตยสาร "มหาประชาชน" (วีระ มุสิกพงศ์ ที่ปรึกษา)ตอนแรกที่เห็นผ่านๆผมก็ยังไม่ทันคิดอะไร จนกระทั่งมีคนชี้ให้เห็นว่า ในรูปทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู (จดหมายทักษิณ ลงวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา) ผมไม่ต้องการตีความอะไรมากมาย นอกจากคิดว่า การเลือกสีเสื้อคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคงเป็นการพยายาม "ส่งซิก" เรื่องปรองดอง (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:กระดานสนทนาคนเหมือนกัน)
ที่มา เวบไซต์ siamintelligence
ต่อรองหรือปรองดอง จดหมายจากมอนเตฯ ถึง สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพ โดย สนง.กฎหมายอัมสเตอร์ดัม
รัฐบาล ไทยตั้งแต่ชุดของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนมาถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีหน้าที่หนึ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ยังไม่สามารถปิดงาน รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 49 ลงได้นั่นคือ การนำตัว พตท.ทักษิณ ชินวัตร มารับโทษในประเทศให้ได้
แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกนัก การเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกการตามล่าของเจ้าหน้าที่ไทยนั้นของพตท.ทักษิณตลอด 4ปีที่ผ่านมาต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางรอบโลกเลยทีเดียว
การเดินทางรอบโลกของ พตท.ทักษิณนั้น กลับไม่ได้เพียงแค่หลบหลีกการตามล้างตามเช็ดของผู้กุมอำนาจจากรัฐไทยเท่า นั้น กลับเดินเกมส์โลกล้อมประเทศไทย ด้วยเครือข่ายระดับผู้นำประเทศและนักธุรกิจใหญ่ที่กระจายออยู่ทั่วโลกทำการ กดดันประเทศไทยเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในหลายๆครั้ง
การต่อรองของ พตท.ทักษิณที่ผ่านมาต้องถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างน้อยช่วงหนึ่งสามารถกลับมายังประเทศไทยเมื่อต้นปี 2551 ก่อนที่ออกนอกประเทศไปอีกครั้งหลังจากศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองพิพากษาว่า พตท.ทักษิณมีความผิดในเรื่องทุจริตซื้อที่ดินรัชดามีโทษจำคุก 2 ปี แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา การเดินเกมส์เพื่อต่อรองผู้มีอิทธิพลตัวจริงของไทยกลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ อย่างที่คิด
แม้ว่าการเจรจาเพื่อนำไปสู่การปรองดองในหลายๆครั้ง เพื่อ ไม่ให้เกิดการปะทะกันก่อนการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมนั้นต้องถือว่าอำนาจต่อรองในเวลานั้นของทักษิณถือไผ่เหนือกว่ามาก ด้วยจำนวนมวลชนเรือนแสน สอดรับกับท่าทีของทักษิณผ่านทวิตเตอร์และการโฟนอินในหลายๆครั้งที่ออกมา ในแต่ละครั้งมีเป้าหมายเพื่อการเจรจาต่อรองกับผู้มีอำนาจสูงสุดโดยอาศัยมวล ชนจำนวนมหาศาลในเวลานั้นเป็นเครื่องต่อรอง แต่สุดท้ายการต่อรองกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นความพ่ายแพ้ในที่สุด
ใน ความเป็นจริงตามที่ปรากฏให้เห็นต้องถือว่าการเจรจาต่อรองโดยอาศัยคำว่า ปรองดองนั้นมีมาโดยตลอด การช่วงชิงจังหวะเพื่อสร้างอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอีกฝ่ายนั้น ตลอดจนการประนีประนอมในหลายๆครั้งดังกรณีล่าสุดที่พตท.ทักษิณไม่ได้ ทวิตเตอร์หรือโฟนอินใดๆเลย เป็นเดือน แม้แต่การลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในรัฐบาลฮุนเซน ก็ถือว่าเป็นการถอยอย่างประนีประนอมเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับถูกปล่อยข่าวออกมาว่าป่วยหนักมากเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว จนต้องออกมาเขียนทวิตเตอร์อีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอแนะในการปรองดองอีกครั้ง โดยการออกมาทวิตเตอร์ในครั้งนี้มองได้ว่าเป็นข้อเสนอโดยตรงไปถึงผู้มีอำนาจ สูงสุดว่าตัวเองเสนอทางถอยถึงที่สุแล้ว แต่สุดท้ายข้อเสนอเหล่านั้นก็หายไปกับสายลมในที่สุด ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากข้อความที่ส่งไปแม้แต่น้อย
แม้ ว่าการต่อรองโดยอาศัยเชิงสัญลักษณ์อย่างการใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งตามปกติจะไม่ได้พบเห็นการใส่เสื้อสีนี้นัก ซึ่งตามปกติจะใส่เสื้อสีแดงเวลาโฟนอินหรือถ่ายทอดภาพหรือถ้าไปสถานที่ต่างๆ ก็จะใส่เสื้อสีพื้นๆขาวๆ ซึ่งล่าสุดกลับใส่เสื้อสีขมพูว่าเป็นภาพถ่ายที่มอนเตเนโกรพร้อมกับจดหมายที่ มีข้อความในเรื่องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมพร้อมกับการออกตัวในเรื่องการ พบนักการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อแสดงออกถึงอิทธิพลของตัวเองว่ายังพอมีอยู่ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกแต่อย่าง ใด ซึ่งสารที่ต้องสื่อไปนั้นอาจบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่าพตท.ทักษิณยังไม่ยอมแพ้ อย่างแน่นอนเพียงรอจังหวะเท่านั้น และยังบอกเป็นนัยว่า ตัวเองยังแข็งแรงพร้อมกับให้ความเคารพในสถาบันที่ตนเองเคารพอยู่
ล่า สุดทีมทนายของทักษิณหรือก็คือสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ได้ออก สมุดปกขาว “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ: ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศ ไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” โดยการออกสมุดปกขาวนี้ที่ได้รับการแปลเป็นไทยเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งราคาไว้ 100 บาท มีเลข ISBN กำกับด้วยคือ 978-974-225-912-9โดยพิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายนจำนวน 5,000 เล่ม เพื่อรับกับการรำลึกถึงการรัฐประหารที่ครบรอบมา 4 ปีแล้วในเดือนเดียวกันนี้
หนังสือ เล่มนี้ได้แบ่งออกเป็น 9 บทด้วยกัน ตั้งแต่ (1) บทนำ (2) เส้นทางสู่ระบบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย (3) การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย (4) หนทางสู่การรัฐประหาร2549 (5) การฟื้นคืนชีพของระบบอำมาตยาธิปไตย (6) ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย (7) ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร (8) ข้อเรียกร้องหาการรับผิด (9) บทสรุป
โดย ภายในหนังสือนั้นมีการเขียนคำนิยมโดย พตท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกล่าวว่า ในปี 2549 การรัฐประหารได้พรากสิทธิในการเลือกตั้งของเราไป อันทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจ และทำให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่แทนที่จะมีใครฟังเสียงกลุ่มที่ล้มล้างรัฐบาลกลับพยายามที่จะกำจัดพวกเขา ความทะยานอยากของคนกลุ่มนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง และถือเป็นการละเมิดจิตวิญาณความเป็นมนุษย์
และยังกล่าวอีกว่า ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตามหากการเลือกตั้งหมายถึงว่าจะมีการปรองดองก็จะต้องตอบโจทย์ข้อ กังวลพื้นฐานที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างอำนาจประชาชนและการฟื้นฟูประเทศไทย ให้เป็นรัฐประชาธิปไตยแบบที่ไม่กีดกันกลุ่มใด ในขณะเดียวกัน เราต้องปฏิเสธการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง การไม่กีดกันผู้ใดนั้นโดยนิยามแล้วก็คือภาวะที่เป็นสันติสุขนั้นเอง
ขณะ เดียวกันยังได้กล่าวถึงว่าการที่ต้องล้มรัฐบาลไทยรักไทยในเวลานั้นเพราะว่า ต้องฟื้นฟูกลุ่มอำนาจเก่าให้กลับขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตรเวลานั้นได้กลายเป็นสิ่งท้าทายอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าด้วยเป็นรัฐบาล พรรคเดียวจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนไม่ต้องพึ่งพากลุ่ม อำนาจเดิมอีกต่อไป
นอกจากนั้นได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการทำหนังสือ เล่มนี้ออกมาโดยประการแรกเพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่าง ประเทศซึ่งรวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง (International Convenant on Civil and Political Right – ICCPR) ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม ของคนเสื้อแดงสำหรับอาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย ด้วยหน่วยงานที่เป็นกลางและเป็นอิสระเพื่อผู้รับผิดชอบจะต้องรับผิดตามที่กำ นหดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ
ประการที่สอง เกี่ยว ข้องกับพันะกรณีของประเทศไทยในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิด ขึ้นในด้านสิทธิทางการเมืองหลังจากการรัฐประหารในปี 2549 และระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการประทุษร้ายประชาชนพลเรือนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบซึ่งอาจเข้าข่าย อาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรมนูญกรุงโรมซึ่งกำหนดจัดตั้งศาลอาญาระหว่าง ประเทศในกรุงเฮก แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบรรณไว้ก็ตาม แต่การกระทำอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการเข้าสู่กระบวนการ พิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้
ประการที่สามคือ เพื่อ ยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิก นปช.หลายร้อยคนที่เผชิญข้อกล่าวหาทางอาญาจากการเข้าร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรับรองสิทธิในการ ต่อสู้คดีอย่างยุติธรรม ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการตรวจสอบหลักฐานอย่างอิสระผ่านทางผู้เชี่ยวชาญหรือ ทนายของตนเองภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับรัฐบาลและมีสิทธิการรวบรวมพยานหลัก ฐานเพื่อแก้ต่างให้ตนเองได้
โดยหนังสือนี้ได้อ้างถึงเอกสารและหลัก ฐานต่างๆจำนวนมากเพื่อชี้ให้เห็นว่าระบบของทักษิณได้ไปขัดขวางผลประโยชน์ของ กลุ่มอำนาจเก่าและเครือข่ายในระดับสูงซึ่งอาศัยระบบอุปถัมภ์ที่ได้บ่มเพาะมา อย่างยาวนานจนมีอิทธิพลและอำนาจที่เข้าไปมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินใน หลายๆด้าน และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทักษิณได้ก้าวล่วงกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นทางการในหลายๆข้อ ที่กลุ่มอำนาจเก่าได้วางไว้จนสุดท้ายจำเป็นต้องตัดสินใจลงเพื่อทำลายล้าง พรรคไทยรักไทยและกลุ่มที่ท้าทายอำนาจเก่าให้ราบคาบในที่สุด
การออก หนังสือในครั้งนี้เป็นการรุกหนักอีกครั้งหนึ่งของทางด้าน พตท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลให้ได้ โดยหนังสือถ้าได้วางแผงคงจะมีการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายรอบ แต่ถ้าไม่ถูกวางแผงและถูกสั่งเก็บซึ่งมีแนวโน้มสูงที่เป็นไปได้ก็ยิ่งกลาย เป็นประชาสัมพันธ์ให้ดังอีกครั้งดังเช่นหนังสือหลายๆเล่มในช่วงที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปแล้ว
**************
ความเห็นหลากหลายของคนเสื้อแดงกรณีทักษิณใส่เสื้อสีชมพู คลิ้กอ่านที่นี่