บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อนาคต รัฐบาล ความสำเร็จ "ล้มเหลว" 2 ปัจจัย ชี้ชะตา

ที่มา มติชน



(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2554)



ที่ทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ทั้ง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อันถือว่าเป็นกระบอกเสียงของพรรคเพื่อไทย กระบอกเสียงของรัฐบาล ออกมากล่าวถึงแผนล้มรัฐบาลเป็นลักษณะของกระต่ายตื่นตูมหรือเปล่า

ไม่หรอก

ในความเป็นจริง แนวคิดในการต่อต้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้นดำรงอยู่ตั้งแต่เมื่อประกาศตัวลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ด้วยซ้ำไป

เพราะว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือโคลนนิ่งให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

การ งัดเอาประเด็นล้มสถาบัน การงัดเอาประเด็นผูกโยงไปยังกลุ่มคนเสื้อแดง เผาบ้าน เผาเมือง มาโหมกระหน่ำ รับลูกกันเป็นทอดๆ จากกาญจนดิษฐ์จนถึงคำปราศรัย "ถอนพิษทักษิณ" บริเวณแยกราชประสงค์

เป็นเป้าหมายเดียวกัน

จาก การเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม เรื่อยมาจนถึงการได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เดือนสิงหาคม เรื่อยมาจนถึงการเผชิญกับมวลน้ำมหาศาลจากภาคเหนือ ภาคกลาง ตีโอบล้อมกระทั่งไหลบ่าเข้ามายังกรุงเทพมหานคร

ยิ่งจุดประกายแห่ง "ความหวัง" ให้มลังเมลืองมากยิ่งขึ้น

จากวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจบสิ้นลง ผ่านมายัง วันที่ 25 ตุลาคม เป็นเวลา 2 เดือนของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

2 เดือนที่มวลน้ำถาโถมเข้ามากระหน่ำตีมหานครกรุงเทพฯ

ทั้งๆ ที่ ณ วันนี้ เป็นอันยอมรับโดยทั่วกันว่า ชะตากรรมของคนกรุงเทพมหานครก็มิได้แตกต่างไปจากชะตากรรมของคนพิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี อุทัยธานี สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม

นั่นก็คือ ชะตากรรมที่ต้องรับภัยอันมาจากน้ำท่วม

กระนั้น คำถามที่เสนอเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ ภัยอันมาจากน้ำท่วมครั้งนี้เป็นความรับผิดชอบของใคร

น่ายินดีที่รัฐบาลไม่ปัดปฏิเสธความรับผิดชอบนี้

ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องนอนวันละเพียง 2-3 ชั่วโมง ต้องซัดยาแอสไพรินเข้าก็เพราะความเครียดจากเรื่องนี้ ต้องกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อเผชิญกับคำถามซึ่งมิอาจให้คำตอบได้อย่างเป็นที่พอ ใจได้อย่างรวดเร็ว

ก็เพราะแบกรับอย่างเต็มเปาในฐานะรัฐบาล ในฐานะอันเป็นนายกรัฐมนตรี

จิตใจรับผิดชอบประสานกับการทุ่มเททำงานโดยไม่มีวันหยุดจากรัฐบาล จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี้แหละที่กำลังเป็นปัจจัยสำคัญ

ปัจจัยสำคัญ 1 ก็คือ ประชาชนรับรู้ได้ลึกซึ้งเป็นจริงมากเพียงใดในการทุ่มเททำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

น่าสนใจก็ตรงที่เป็นการทุ่มเททำงานท่ามกลางการบ่อนเซาะจากปรปักษ์ทางการเมือง

ปรปักษ์ทางการเมืองไม่ยอมรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่แล้ว ไม่เคารพต่อเสียงอันเป็นรากฐานทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่แล้ว

เห็นได้จากการเปิดโปงเรื่องส่วนตัวบางเรื่อง แม้ว่าจะมิได้เป็นเรื่องจริง

เห็น ได้จากการขยายข้อมูลบางข้อมูลในเชิงเยาะเย้ยถากถาง และทำให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย แม้ว่าจะมาจากความผิดพลาดเฉพาะตัวอันมิได้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างเช่นความผิดพลาดในเรื่องหญ้าแฝก หรือแม้กระทั่งการสวมรองเท้า

เห็นได้จากการดิสเครดิตกระบวนการทำงานของ ศปภ. แม้ว่าจะมีเจตนาดีต่อประชาชนมากน้อยเพียงใดก็ตาม

คำ ถามอยู่ที่ว่า การขยายข้อบกพร่อง การดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือเหล่านี้ของปรปักษ์ทางการเมือง ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากประชาชนมากน้อยเพียงใด หากเมื่อใดประชาชนเห็นด้วยนั่นหมายถึงวาระสุดท้ายของรัฐบาล วาระสุดท้ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ขณะ เดียวกัน ปัจจัย 1 ซึ่งสำคัญอันเป็นลักษณะชี้ขาด คือ ปัจจัยอันเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จและความล้มเหลวจากการบริหารจัดการของ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอง

หากบริหารจัดการกับปัญหาเบื้องหน้าล้มเหลวก็ยากยิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยืนอยู่ได้

ตรงกันข้าม หากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถนำพาประชาชนและฟื้นฟูประเทศชาติได้ตามที่ประชาชน ภาคธุรกิจ เรียกร้องต้องการ นั่นหมายถึงความสำเร็จ

อันเท่ากับดับฝันของปรปักษ์ทางการเมืองลงได้อย่างน้อยก็ระยะหนึ่งและระยะหนึ่ง

บขส.แจ้งปิดสายใต้ใหม่ ย้ายไปโรงเบียร์ฮอลแลนด์พระราม 2

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



บขส.ประกาศแจ้งปิดสายใต้ใหม่ย้ายไปให้บริการที่โรงเบียร์ฮอลแลนด์ พระราม 2
จนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันนี้เป็นต้นไป
ส่วนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเที่ยวเย็นให้เจ้าหน้าที่โทรไปแจ้งลูกค้าแล้ว...

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
เปิดเผยว่า บขส.ได้ย้ายการให้บริการผู้โดยสารจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่
ถนนบรมราชชนนี ไปยังบริเวณโรงเบียร์ฮอลแลนด์ ถนนพระราม 2
เนื่องจากถนนบรมราชชนนีถูกน้ำท่วม ทำให้การสัญจรลำบาก
และโรงเบียร์ฮอนแลนด์อยู่ใกล้สถานที่เดิม รวมทั้งมีพื้นที่เพียงพอ
จึงใช้สถานที่นั้นไปก่อน โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันนี้เป็นต้นไป
ส่วนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเที่ยวเย็นในวันนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ บขส. โทรศัพท์ไปแจ้งลูกค้าแล้ว
แต่หากผู้โดยสารที่ไม่ทราบข้อมูล
และยังไปสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ได้ประสานให้รถ ขสมก. ไปรับและมาส่งยังโรงเบียร์ฮอลแลนด์แล้ว.


http://www.thairath.co.th/content/eco/213260

นายกฯมังกรจี้ 'ยิ่งลักษณ์' เร่งเอาผิดทหารไทยสังหารลูกเรือสินค้าจีน 13 ศพ

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีนออกโรงเรียกร้องให้ทางการไทย
เร่งดำเนินคดีกับทหาร 9 นายที่ก่อเหตุสังหารโหด 13 ลูกเรือจีน
บนเรือสินค้า 2 ลำกลางลำน้ำโขงใกล้สามเหลี่ยมทองคำ
พร้อมย้ำให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ว่า
นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีนออกโรงเรียกร้องให้ทางการไทยเร่งดำเนินคดีกับทหาร 9 นาย
ที่ก่อเหตุสังหารโหด 13 ลูกเรือชาวจีนบนเรือสินค้า 2 ลำกลางลำน้ำโขงใกล้สามเหลี่ยมทองคำ
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีจีนย้ำให้รัฐบาลไทย
ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ท่าทีล่าสุดของ นายกรัฐมนตรีจีน มีขึ้นหลังจากที่ลูกเรือชาวจีนจำนวน 13 คน
บนเรือสินค้า 2 ลำ ชื่อ หัวปิง และหยูชิง 8 ถูกโจมตีโดยกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือ
กลางแม่น้ำโขง ใกล้สามเหลี่ยมทองคำ บริเวณเขตรอยต่อพรมแดนไทย-เมียนมาร์
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา และในเวลาต่อมาได้พบว่า
กลุ่มคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว เป็นทหาร 9 นาย สังกัดกองทัพภาคที่ 3 ของไทย
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลความมั่นคงแถบพื้นที่ชายแดนทางตอนเหนือของ ประเทศไทย



รายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นหลายสำนักในจีน ยังระบุว่า
นายกรัฐมนตรีจีนยังได้เรียกร้องให้มีการกำหนดกลไกด้านความมั่นคง
และการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันระหว่างจีน ไทย ลาว และเมียนมาร์
เพื่อรับประกันความปลอดภัยในการเดินเรือในแม่น้ำโขงด้วยเช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า นายเหลียง กวงลี่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีน
ได้พบหารือกับ พล.ท.ดวงใจ พิจิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศของลาว
ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันอาทิตย์ (30) ที่ผ่านมา โดยการพบหารือดังกล่าวมีขึ้น
เพื่อเพื่อหาทางกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและลาว ในการดูแลความมั่นคงในแม่น้ำโขงร่วมกัน
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีนได้แสดงความขอบคุณทางการลาว
ที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลความปลอดภัยให้กับเรือสินค้าจีน และลูกเรือชาวจีนด้วยดีมาตลอด.


http://www.thairath.co.th/content/oversea/213258

ปีหน้าฟ้าใหม่.....อย่าเจอะเจอ

ที่มา thaifreenews

โดย vinitaya

ปีหน้าฟ้าใหม่.....อย่าเจอะเจอ

ประเทศเกิดมหันตภัยคนไทยทุกข์
กลายเป็นยุคย่ำแย่คนแพ้พ่าย
ทิ้งบ้านช่องห้องหอลอยคอชาย
หนีน้ำว่ายลุยน้ำช้ำชอกใจ

บ้านที่อยู่ถูกน้ำย่ำแย่งยื้อ
เข้าเถือถือทรัพย์สินสิ้นวิสัย
จะยื้อยุดฉุดกระชากจะลากไป
มันก็ให้เกินกำลังจะรั้งดึง

ต้องตัดใจหนีจากลำบากบุก
ลุยน้ำรุกเดินหน้าพาไปถึง
โบกรถราพาอาศัยใจคำนึง
ไปให้ถึงที่พิงพักเป็นหลักชัย

ทำไมหนอแม่คงคาพาพิโรธ
จึงเกรี้ยวโกรธโกรธาไหลบ่าใหญ่
ท่วมถิ่นฐานผ่านแหลกให้แปลกใจ
เพราะเหตุใดไหนเล่าเศร้าใจครวญ

แม่คงคารู้ไหมหนาข้าเป็นทุกข์
ถูกแม่รุกบุกทำลายเสียหายถ้วน
เรือกสวนบ้านทรัพย์สินสิ้นเซซวน
ถูกแม่ล้วนรุกรานผ่านทำลาย

แทบสิ้นเนื้อประดาตัวกลัวในอก
ให้วิตกทุกข์ยิ่งสิ่งเสียหาย
ค่าเทอมลูกพลิกผันฝันทลาย
ไม่มีของจะให้ขายสวนไร่จม

ต้องกู้หนี้ยืมก่อนมาผ่อนสู้
พอจะใช้ไถถูแก้ขื่นขม
จ่ายค่าเรียนลูกยาไม่ปรารมภ์
แม้ใจตรมหน้าชื่นต้องฝืนใจ

แม่คงคาเจ้าขาที่แม่ทำ
ลูกรับกรรมยากเกินกู้รู้หรือไม่
เมื่อชีวิตยังไม่สิ้นต้องดิ้นไป
ขอปีหน้าฟ้าใหม่.......อย่าเจอะเจอ

วินิตยา
31/10/2554

อะไรใต้น้ำ

ที่มา มติชน



โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2554)


ถ้าไม่ใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะจัดการกับภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่แตกต่างไปจากนี้หรือไม่?

อาจ แตกต่างในรายละเอียด อาจทำได้ "ดี" กว่า หรือ "เลว" กว่าในรายละเอียด อาจวางแผนประชาสัมพันธ์ได้มีประสิทธิภาพกว่านี้ และอาจอื่นๆ อีกมาก แต่หลักใหญ่ใจความแล้ว ผมออกจะเชื่อว่าไม่ต่างกัน

ความ เหมือนนี้น่าประหลาดนะครับ เพราะทั้งมิตรและศัตรูของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่างคาดหวังว่า รัฐบาลนี้จะต่างจากรัฐบาลทุกรัฐบาลที่เคยมีในประเทศนี้มาก่อน เกือบสามเดือนที่ผ่านมา ทุกคนต่างรอคอยว่า เมื่อไรรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำอะไรที่ต่างเสียที เพื่อจะได้โจมตีหรือเพื่อจะได้ชื่นชมก็ตาม แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังทำอะไรเหมือนรัฐบาลไทยโดยทั่วไป ทั้งเวลาในตำแหน่งที่สั้นมากเสียจนทุกคนยอมรับว่า "ลายยังไม่ออก" หรือ "แสงสว่างยังไม่ปรากฏ"

แต่ อุทกภัยครั้งใหญ่เกิดขึ้นเสียก่อน ทำให้นายกฯต้องยกขบวนลงมาบริหารจัดการเต็มตัว จึงทำให้เห็นความไม่ต่างได้ชัดจากการบริหารจัดการยามวิกฤตนี้เอง

ความ รู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ในเมืองไทยนั้นมีมาก แต่จะบริหารจัดการอย่างไร ให้ความรู้ประสบการณ์นั้นได้ถูกนำมาใช้เพื่อวางนโยบายสาธารณะ และบริหารนโยบาย รัฐบาลไทยไม่เคยทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ

ตั้งแต่ น้ำท่วมพิษณุโลก ความรู้และประสบการณ์ที่มีในเมืองไทยสามารถบอกได้แล้วว่า หน้าน้ำปีนี้จะมีความร้ายแรงแค่ไหน หากจะตั้ง ศปภ. ก็ควรตั้งได้แล้ว ก่อนที่น้ำจะมาถึงนครสวรรค์ด้วยซ้ำ

ความรู้และประสบการณ์ที่มีใน เมืองไทย จะสามารถบอกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หลังจากนครสวรรค์ น้ำจะกระจายออกเต็มท้องทุ่ง ด้วยปริมาณที่หลากล้นอย่างไร ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนไปแล้วด้วยว่า จะต้องปล่อยอะไร และจะต้องเก็บอะไร และเมื่อตัดสินใจได้ชัดเจนแล้ว ก็รู้ว่าจะทุ่มเทกำลังไปทำอะไรได้บ้าง ซึ่งโดยหลักใหญ่คือสองอย่าง

หนึ่งคือ ทุ่มเทกำลังไปเก็บส่วนที่อยากเก็บ เพราะจำเป็นและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายซ้ำเติม ส่วนที่อยากเก็บนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรุงเทพฯเท่านั้น เช่นเส้นทางคมนาคมและการสื่อสาร เพื่อสะดวกในการอพยพโยกย้าย และส่งความช่วยเหลือ

อย่างที่สองก็คือ ส่วนที่ต้องปล่อยเพราะไม่มีทางจะสู้ได้ ก็ต้องบรรเทาความเสียหายเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นการไม่ขวางน้ำในที่หนึ่ง จนทำให้น้ำท่วมหนักในอีกที่หนึ่ง เป็นต้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้คนจำนวนมากจะได้รับความเดือดร้อนสาหัสจากน้ำท่วม คนเหล่านี้ไม่อาจช่วยตัวเองได้

ความช่วยเหลือที่คนไทยทำอย่างแข็งขันเพื่อช่วยผู้ประสบภัย แสดงให้เห็นพลังอันมหาศาลของสังคมไทย ที่จะฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้

แต่ พลังนั้นจะมีผลมากขึ้นกว่านี้อย่างเทียบกันไม่ได้ หากมีการจัดองค์กร และผู้ที่จะจัดองค์กรได้ดีที่สุดคือรัฐ เพราะรัฐสามารถจัดได้ตั้งแต่การขนส่งความช่วยเหลือ จัดลำดับความสำคัญได้ว่า บริจาคอะไรก่อนอะไรหลังในท้องที่ใด

แน่นอนว่า ข้อมูลและการดำเนินการคงต้องมาจากองค์กรในท้องถิ่น แต่รัฐก็อาจช่วยให้ท้องถิ่นจัดองค์กรเพื่อการบรรเทาทุกข์ได้ง่ายขึ้น เพื่อไม่ให้มีใครตกสำรวจ และยากลำบากมากขึ้น

ยิ่งกว่านี้รัฐเองยัง กุมทรัพยากรไว้ในมือจำนวนมาก ฉะนั้นรัฐสามารถทุ่มซื้อหรือจัดหาสิ่งที่สังคมไม่สามารถจัดหาได้อย่างรวด เร็ว เช่นเรือแพ, เครื่องกรองน้ำจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายไปถึงชุมชนหรือครอบครัว, โรงพยาบาลสนามที่กระจายไปกว้างขวาง, ยาที่จำเป็นในสภาพน้ำท่วม, ฯลฯ

ภารกิจ อย่างที่สองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไรก็จะมีผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมเป็นล้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะบริหารจัดการน้ำหลากในครั้งนี้อย่างไร และคนที่เดือดร้อนที่สุดคือคนเล็กๆ ซึ่งไม่ค่อยมีปากเสียง ไม่สามารถย้ายไปไหนได้ นอกจากเข้าศูนย์อพยพ หรืออยู่เฝ้าทรัพย์สินกลางน้ำ

นี่คือเหยื่อระดับบรมมหาเหยื่อของภัยพิบัติทางธรรมชาติเสมอ

ไม่ แต่เพียงในยามวิกฤตนี้เท่านั้น เมื่อน้ำลด คนเหล่านี้ก็จะยังตกเป็นเหยื่อต่อไป เช่นสิ้นเนื้อประดาตัวจนต้องเป็นหนี้นอกระบบมหาศาล หมดเงินที่จะส่งลูกไปโรงเรียนต่อ

รัฐสามารถวางแผนที่แน่นอนชัดเจนได้ ตั้งแต่บัดนี้ โดยไม่ต้องรอน้ำลดว่า จะช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง ทำข้อตกลงกับ ธ.ก.ส., ธนาคารออมสิน, ธนาคารพาณิชย์ ฯลฯ กันในลักษณะใด จึงจะทำให้คนเหล่านี้พ้นความเดือดร้อนได้เร็วที่สุดทันทีที่น้ำลด เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้

เศรษฐกิจนั้น ไม่ได้เดินได้เพียงเพราะนิคมอุตสาหกรรมได้รับการกอบกู้เท่านั้น แต่คนเล็กคนน้อยต้องเงยหน้าอ้าปากได้ไปพร้อมๆ กัน แค่เด็กๆ มีเงินซื้อกล้วยแขกกินสักถุง ก็ทำให้น้ำมันขายได้ดีขึ้น ลูกคนขายกล้วยแขกพอจะซื้อรองเท้าใหม่ได้ ไล่ไปเรื่อยๆ ก็ถึงนิคมอุตสาหกรรมเอง

แต่ก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ที่เคยปกครองประเทศนี้มาก่อน ชะตากรรมของคนเล็กๆ ในภัยพิบัติครั้งใหญ่มักได้รับความเอาใจใส่หลังสุดเสมอ แม้แต่ ศปภ.ก็มาตั้งขึ้นเมื่อน้ำจ่อจะเข้ากรุงเทพฯแล้ว และจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ใครๆ ก็รู้สึกได้ว่าภารกิจหลักของ ศปภ.คือบรรเทาผลกระทบที่จะมีต่อกรุงเทพฯ แน่นอนว่าย่อมปฏิเสธความสำคัญของกรุงเทพฯไม่ได้ แต่กรุงเทพฯเป็นพื้นที่หนึ่งในภาพรวมของการบริหารจัดการน้ำของประเทศเท่า นั้น อย่างไรเสียก็ต้องยอมรับผลกระทบระดับหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดัง ที่กล่าวแล้วว่า ความล้มเหลวไม่สามารถบริหารจัดการความรู้และประสบการณ์ของคนในประเทศ เพื่อการเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ก็ตาม ความล้มเหลวที่จะดูแลสวัสดิภาพของคนเล็กคนน้อยก็ตาม ความล้มเหลวที่จะเตรียมการอย่างเป็นระบบเพื่อเผชิญปัญหาก็ตาม ฯลฯ ไม่ได้เป็นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เพียงรัฐบาลเดียว อุทกภัยใน พ.ศ.2528, 2538, 2549 ก็เกิดความล้มเหลวในลักษณะเดียวกันมาแล้ว

แต่ ทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์คาดหวังว่า รัฐบาลนี้จะต่างจากรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญแก่คนเล็กคนน้อย ไม่ปล่อยให้เขาเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่ไปตามยถากรรม แม้ไม่ได้ปฏิเสธการทุ่มเทความพยายามช่วยเหลือนิคมอุตสาหกรรม และบ้านจัดสรรของผู้ดีมีทรัพย์ แต่ก็อยากเห็นความพยายามทุ่มเทที่เท่าเทียมกันแก่คนเล็กๆ ด้วย

เหตุใดรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงไม่พยายามต่างจากรัฐบาลอื่น?

ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก็หนีไม่พ้นอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 อย่างนี้

1.โดย เนื้อแท้แล้ว รัฐบาลนี้ก็เหมือนกับรัฐบาลอื่น ในแง่ปูมหลังของตัวบุคคล, มาตรฐาน, เป้าหมาย, อุดมคติ, เครื่องมือ, ฯลฯ เราเองต่างหากที่ไปคิดว่ารัฐบาลนี้ควรต่าง

2.รัฐบาลไม่กล้าต่าง ต้องรอเวลาที่เหมาะสมจึงจะแสดงความต่างได้ หรืออาจไม่อยากต่างตลอดไปเพื่อความอยู่รอด

3.จะ ทำอะไรให้ต่างได้ ต้องมีฐานมากกว่า "เสื้อแดง" เช่นมีข้าราชการที่พร้อมจะเป็นเครื่องมือให้ทำต่าง มีแรงสนับสนุนจากคนชั้นกลางให้ทำต่าง ฯลฯ แต่รัฐบาลไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

4.นโยบายปรองดองของรัฐบาลหมายถึงทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ฝ่าย "อำมาตย์" ยอมรับรัฐบาลชุดนี้

น้ำท่วมอาจทำให้มองไม่เห็นอะไรไปหลายอย่าง แต่ก็ทำให้เห็นว่าจะหวังอะไรจากรัฐบาลชุดนี้ได้มากน้อยเพียงไร

ศปภ.ยกเลิกคณะกก.ผันน้ำลงทะเล ตัดปัญหางานซ้ำซ้อน

ที่มา ข่าวสด


วันที่ 31 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า มีคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ฉบับที่ 37/2554 ลงนามโดยพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผอ.ศปภ. เรื่องยกเลิกคณะกรรมการผันน้ำลงทะเล ที่มีนายอุเทน ชาติภิญโญ เป็นประธาน เนื่องจากทางศปภ.เกรงว่าคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานซับซ้อนกับคณะทำงานบริหาร จัดการระบายน้ำในพื้นที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรง ที่มีนายวีระ วงศ์แสงนาค เป็นประธานคณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่เกิดสาธารภัยร้ายแรง

นาย อุเทน กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ใช่การยกเลิกคณะกรรมการผันน้ำลงทะเล แต่เป็นคำสั่งยุบรวม โดยคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลจะเข้าไปสนับสนุนข้อมูลให้กับคณะกรรมการบริหาร จัดการระบายน้ำฯ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ตนเองและส.ส.สมุทรปราการที่เป็นคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลก็ไม่ขัดข้อง เพราะเราเป็นนักปฏิบัติ ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง

สื่อ-เว็บจีนแพร่ภาพ 13 ศพ "กัปตัน-ลูกเรือจีน" ดับสยองสามเหลี่ยมทองคำ!

ที่มา ข่าวสด


หมายเหตุ : จากกรณีเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 54 ที่ผ่านมา มีกัปตันและลูกเรือจีน 2 ลำ รวม 13 ราย ถูกปิดตามัดมือยิงทิ้งฆ่าโหด ขณะแล่นเรือขนส่งสินค้าเข้ามายังแม่น้ำโขง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ในเบื้องต้นทิศทางของคดี จนท.ฝ่ายไทยระบุว่าโยงใยกับขบวนการค้ายาเสพติด ล่าสุดคดีพลิกปรากฎว่ามีทหารไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุฆ่า 13 ลูกเรือจีนดังกล่าว ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยต้องเร่งสอบสวนที่มาของคดีโดยละเอียด ขณะที่รัฐบาลจีนกดดันให้ไทยคลี่คลายคดีนี้อย่างโปร่งใส ล่าสุด เว็บไซต์ข่าวและเว็บบอร์ดชื่อดังของจีน ได้เผยแพร่ร่องรอยกระสุนบนเรือ และสภาพศพของลูกเรือจีนที่ถูกยิงและทิ้งศพในแม่น้ำโขง จนกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่ที่สังคมจีนให้ความสนใจในขณะนี้















ภาพจาก : http://shanghaiist.com , http://news.qq.com

อ่านข่าวประกอบ :
พันตรี-9ทหารสู้คดี 13 ศพจีน โร่มอบตัวยังปฏิเสธ - ตร.คุ้ยปม

ตรวจสอบด้วยว่า หมอตุลย์กับพวกหายไปไหน โดนน้ำพัดลงทะเลไปแล้วหรือยัง

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย

ก่อนน้ำมาครั้งใหญ่ ผมขับรถผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิทุกวันศุกร์ ก็จะเห็นหมอตุลย์กับพวกสลิ่ม ออกมาชุมนุมอะไรก็ไม่ทราบ ประมาณ 50-100 คน

แต่ช่วงน้ำท่วมมานี่ หมอตุลย์หายไปไหน จมน้ำไปแล้วหรือเปล่า หรือว่าโดนน้าพัดไปพร้อมกับกอสวะ ลงทะเลไปแล้ว

จริงๆ หมอตุลย์ทำงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯซึ่งเป็นของสภากาชาดไทย แสดงว่าหมอตุลย์นั้นเป็นลูกจ้างของสภากาชาดไทย กินเงินเดือนที่เป็นของกาชาด น่าจะออกช่วยเหลือคนถูกน้ำท่วมอย่างเต็มที่ งานนี้ กาชาดไทย น่าจะเป็นพระเอก โดยมีหมอตุลย์เป็นผู้แสดงนำ ระดมสลิ่ม ออกไปช่วยน้ำท่วมจัดรถเป็นขบวนยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา หรือไม่อย่างนั้นก็เปิดโรงพยาบาลจุฬาฯ ทำอาหารแจกผู้ประสบภัย ให้ช่อง 3 ของสรยุทธ์ เอาไปแจก

นี่กาชาดไทย ของหมอตุลย์ ทำงานไม่ได้เท่าขี้เล็บของสรยุทธ์ หรือแม้แต่กลุ่มเสื้อแดงที่ระดมกันออกไปช่วยผู้ประสบภัยจำนวนมาก

พวกเสื้อเหลือง และเสื้อหลากสี สลิ่ม โดนน้ำพัดปลิวไปกับสวะแล้วหรือ

มีแต่เศษสลิมไม่กี่คนที่ออกมาสร้างกระแสด่านายกฯ ปู เช่น น้องเอิน เป็นต้น

หมอตุลย์หายไปไหน เวลาคนไทยต้องการ หมอตุลย์กับพวกจมน้ำหายไปไหน

หลักฐานปล่อยน้ำท่วมทำลายรัฐบาล

ที่มา Thai E-News

ปริศนา ปล่อยน้ำในเขื่อนสิริกิติ์จนแห้งผาก (ที่มา:facebook)
ที่มา:ไทยโพสต์ , 30 ตุลาคม 2554

พระเจ้าสร้างโลกก็จริงอยู่แต่คนดัตช์สร้างประเทศฮอลแลนด์เอง ส่วนเมืองไทยนั้นต้องว่ากันวันต่อวัน

ที่มา Thai E-News

ประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา วิศวกรชาวดัตช์ได้เสนอแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ แต่คนไทยปฏิเสธ ผมคิดว่าประสบการณ์จากภาวะน้ำท่วมครั้งนี้ จะเป็นความทรงจำที่เลวร้าย และทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่อยากแก้ปัญหามันในอนาคต

แต่ก็เราก็เคยเห็นมาแล้ว ว่าความสนใจในเรื่องนี้อาจจะหมดไปอย่างรวดเร็ว อีก 2-3 เดือนคนไทยก็ต้องเผชิญกับปัญหาฤดูร้อน ความแห้งแล้ง

โดย ผู้สื่อข่าวพิเศษไทยอีนิวส์ ในฮอลแลนด์
31 ตุลาคม 2554

น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร

หนังสือพิม พ์NRC Handelsblaad ตีพิมพ์เป็นภาษาดัตช์ รายงานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กินบริเวณกว้างในเขตชานเมืองทางเหนือและทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงของไทย และกำลังหายนะจากน้ำท่วม รวมทั้งสนามบินสนามบินดอนเมือง เช้าวันนี้นักโทษเกือบ 800 คนต้องได้รับการย้ายให้ไปพักชั่วคราวที่สนามบินเพราะเรือนจำ 3 แห่งถูกคุกคามโดยน้ำท่วม

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่าเช้านี้มีโอกาสที่ 50% ของเมืองชั้นในของกรุงเทพฯจะได้รับน้ำท่วม เมื่อวานนี้เธอประกาศว่าผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้จะต้องคำนึงถึงระดับน้ำใน ท้องถนนที่จะขึ้นสูงครึ่งเมตรถึงหนึ่งเมตรครึ่ง

แม้ว่าส่วนใหญ่พื้นที่อาจจะยังแห้งอยู่ แต่ประชาชนก็ได้เตรียมพร้อมตุนอาหารและสิ่งที่จำเป็นแล้ว ร้านค้าบางแห่งดำเนินการให้มีการปันส่วนให้กับผู้ซื้อข้าวและไข่ และน้ำดื่มจำนวนมาก ซึ่งจัดจำหน่ายน้ำดื่มที่มีตราที่ประชาชนยอมรับ เพราะเกรงว่าจะมีสิ่งปนเปื้อนในน้ำ ร้านค้าบางแห่งก็ขายสินค้าหมดไปแล้ว

หน่วย งานที่มีหน้าที่ก็เร่งทำงานอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่สำคัญไม่ให้เกิดความเสียหาย เช่น พระบรมมหาราชวังที่จะถูกน้ำท่วม อีกทั้งสถานที่ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เช่นโรงงานผลิตไฟฟ้า ก็เสริมกระสอบทรายเป็นคันป้องกันน้ำมากขึ้น (ข่าว Reuters, AP, AFP)

วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญชาวดัตช์ได้ให้คำปรึกษาคณะรัฐบาลที่กรุงเทพฯเกี่ยวกับวิธีการ จัดการกับสถานะการณ์น้ำที่กำลังท่วมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศขณะนี้ : โดยแนะว่า คนไทยจำเป็นต้องขยายพื้นที่ในแม่น้ำทุกสาย

สถาณการณ์น้ำท่วมในไทยครั้งนี้เลวร้ายกว่าที่เคยเกิดขึ้นที่ผ่านๆมา และเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ การสร้างและต่อเติมอาคารจนเกิดความแออัด การตัดป่าไม้และการขุดลอกคลอง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้น - ผู้เชี่ยวชาญชาวดัตช์กล่าว

********
บทความเพิ่มเติมโดยบรรณาธิการ Floris VAN STRAATEN จาก Rotterdam
ประเทศ ฮอลแลนด์พยายามช่วยด้านความรู้ในการบริหารจัดการน้ำแก่ประเทศไทยซึ่งอาจใช้ ความรู้นี้ให้เป็นประโยชน์กับสถานะการณ์น้ำท่วมที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปีและพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯอาจจะเกิดน้ำท่วม

วิศวกร ของสถาบัน Deltares ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการน้ำโครงการ Deltarกำลังให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลไทยตั้งแต่หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนบัดนี้ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม Adri Verwey ได้อยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่สนามบินดอนเมือง,ทั้งวันและคืน และสนามบินนี้ก็ถูกน้ำท่วมตั้งแต่เมื่อวาน และระงับการการบริการการบินแล้ว

เพื่อน ร่วมงานของ Verwey คือ Tijtte Nauta เพิ่งกลับมาจากประเทศไทย แต่เขาก็ยังติดตามสถานะการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ในระหว่างการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เขาตอบคำถามว่า

คุณคิดว่าในวันสองวันนี้สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายหรือไม่?

"ใช่..ปริมาณ น้ำจำนวนมากจากจังหวัดอยุธยามีจะต้องไหลมาทางใต้ สัปดาห์หน้าระดับน้ำในทะเลจะสูงขึ้น และคันกั้นน้ำบางส่วนเปราะบาง แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถระบายน้ำได้สูงสุด 3.700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น น้ำที่เหลือควรจะต้องไปที่ไหนสักแห่งนั่นคือปัญหาที่จะเกิดขึ้น"

2-3ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสถานะภาพที่จะเกิดความเสี่ยงน้ำท่วมหรือไม่?

"แน่ นอน..ไม่เพียงแต่ประเทศไทย รวมทั้งฮอลแลนด์ด้วย ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นและเรากำลังจัดการกับสถานการณ์นี้ สิ่งหนึ่งจะต้องพิจารณาให้มีแผนเพิ่ม"พื้นที่ในแม่น้ำ" ในประเทศไทยแม่น้ำตื้นเขินมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้คนจำนวนมากได้เข้ามาอยู่อาศัยจนแออัด คลองหรือน้ำสายเล็กๆจากหลายแห่งไหลลงสู่แม่น้ำแม่น้ำและนอกจากนี้การโค่นป่า ถางป่าจำนวนมากเป็นเหตุให้น้ำที่ไหลจากป่าสู่ชุมชนได้เร็วขึ้น โอกาสสำหรับน้ำท่วมก็มากขึ้น แต่ก็ผมก็ต้องบอกว่าปีนี้เรามีฝนตกหนักมากด้วย"

อะไรที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมขึ้นอีกครั้ง?

"เรา ได้บอกเขาตั้งนานมาแล้วว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนระดับชาติ เพื่อดำเนินการบริหารจัดการน้ำและจัดการพื้นที่ แบบบูรณาการ แผนดังกล่าวไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอะไรในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่าจะต้องมีผู้รับปัญหานำไปสู่การดำเนินตามวัตถุประสงค์ไม่ว่าในระยะ สั้น ระยะกลาง และระยะยาว"

ทางการไทยเห็นด้วยกับแนวทางนี้หรือไม่?

"ใน ขณะนี้เขาเห็นด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ซึ่งผมได้คุยด้วยเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้วที่กรุงเทพฯ ทราบรายละเอียดและเห็นความจำเป็นในเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ก็เราก็เคยเห็นมาแล้ว ว่าความสนใจในเรื่องนี้อาจจะหมดไปอย่างรวดเร็ว อีก 2-3 เดือนคนไทยก็ต้องเผชิญกับปัญหาฤดูร้อน ความแห้งแล้ง และคุณภาพของน้ำ เพราะอ่างเก็บน้ำในทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่เก็บน้ำเพื่อการชลประทานและผลิตกระแสไฟฟ้า ระดับน้ำได้สูงปริ่มขอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก่อนที่จะมีฝนตกหนัก นี่ก็เป็นกรณีของการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ดี"

สถาบันDeltares จะช่วยให้การดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติดังกล่าวนี้หรือไม่?

"เราต้องการที่จะช่วยนะ องค์กรหนึ่งของอเมริกันก็ได้ช่วยจัดหาเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นเริ่มต้นของแผนนี้มาให้แล้ว"

ประมาณ 40 ปีที่ผ่าน(คศ.1970)มาวิศวกรชาวดัตช์ได้เสนอแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพ มหานครและสภาพแวดล้อม แต่คนไทยปฏิเสธ นี้หมายความว่าเราจะต้องเสียใจเกี่ยวกับโอกาสในการวางแผนดำเนินการครั้งใหม่ นี้หรือไม่?

"เรา แน่ใจว่าจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าประสบการณ์จากภาวะน้ำท่วมครั้งนี้ จะเป็นความทรงจำที่เลวร้าย และทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่อยากแก้ปัญหามันในอนาคต มันเลวร้ายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความเสียหายทางเศรษฐกิจยังคงเพิ่มขึ้น และระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นจะสูงต่ออีก 3 ถึง 4 สัปดาห์ รัฐบาลจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:สูตรแก้น้ำท่วมระยะยาว:ตัวอย่างจากฮอลแลนด์

ฮอลแลนด์เป็นประเทศที่เคยเจอปัญหาภัยภิบัติทางน้ำ มาอย่างหนักที่ตึกทรุดจมลงในน้ำ และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 2,500 คนมาเล้ว

จนภายหลังรัฐบาลฮอลแลนด์ก็ได้ใช้ Deltar Plan ป้องกันภัยนี้อย่างเบ็ดเสร็จ

ซึ่งใน Deltar Plan ก็มีส่วนหนึ่งคือการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กั้นน้ำทะเลเป็นแนวยาวตามชายฝั่ง ทะเลด้วย บางส่วนนั้นเขื่อนถมดินขึ้นสูง แต่ละท้องที่ก็จะมีวิธีดูแลเขื่อนต่างๆกัน ปลูกหญ้าคลุมบ้าง

ที่Callantsoogสร้างเป็นเขื่อนคอนกรีต แนวเขื่อนตกแต่งด้วยอิฐบล็อกแข็ง ถนนผสมหินปูเป็นเส้นทางยาวเลียบตามฝั่งทะเล กลายเป็นที่ท่องเที่ยว พักผ่อนของประชาชนและนักท่องเที่ยว

จนมีคำกล่าวเป็นสำนวนฝรั่งว่า
"ถึงพระเจ้าสร้างโลกก็จริงอยู่ แต่คนดัตช์สร้างประเทศเนเธอร์แลนด์เอง"

การเมืองท้องถิ่นพ่นพิษเผาเสื้อแดงทิ้งประท้วงจตุพร

ที่มา Thai E-News

เผาทิ้งเลิกเป็นเสื้อแดง-ชมรม พะเยาอาร์มี่ พากันถอดเสื้อแดงโยนทิ้งและเผาประท้วง ประกาศเลิกเป็นคนเสื้อแดง หลังจากไม่พอใจที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ไปหาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ.พะเยา ช่วยฝั่งตรงกันข้าม เผยเข้าร่วมเป็นร่วมตายทั้งผ่านฟ้า ราชประสงค์ จนโดนศอฉ.เรียกตัว กลับไปเอาคนอื่นลงสมัคร ผลักมิตรเป็นศัตรู ไม่ขอร่วมสังฆกรรม (ภาพ:เดลินิวส์)

ผู้สมัครนายกอบจ.พะเยา แกนนำเก่าเสื้อแดงไม่พอใจจตุพร-ก่อแก้วลงพื้นที่หาเสียงช่วยคู่แข่ง กล่าวหา่ว่าไปอยู่พรรคภูมิใจไทยแล้ว นำทีมเผาเสื้อแดงประชดต่อหน้า ประกาศจะเลิกใส่เสื้อแดงและจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย เรียกร้องการเลือกตั้งท้องถิ่นจะต้องให้คนในท้องถิ่นมีอิสระในการเลือกคน มาบริหารท้องถิ่นเอง ส่วนการเลือกตั้งระดับชาติพวกเราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แม้แต่ชีวิตก็ยังเสียสละไปกินนอนกันมาแล้วทั้งสี่แยกคอกวัว และที่ราชประสงค์

อย่างไรก็ตามจนขณะนี้ยังไม่มีถ้อยแถลงใดๆจากนายจตุพร หรือนปช.ต่อกรณีดังกล่าว แต่ผู้สนับสนุนนายจตุพรกล่าวในเว็บบอร์ดกระดานสนทนาการเมืองว่า แกนนำเสื้อแดงรายนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่คัดเลือกลงเป็นผู้สมัครนายกอบจ.ก็ ไม่ควรโวยวาย ยิ่งหากไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยด้วยแล้วก็ยิ่งไม่สมควร

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายงาน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2554 ว่า เสื้อแดง อ.ปง.กว่า 300 ฮือไล่ 'จตุพร-ก่อแก้ว' สองแกนนำใหญ่ นปช.ยัวะพรรคเพื่อไทยสนับสนุนเสี่ยอี๊ด-วรวิทย์ บุรณศิริลงสมัครชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ.พะเยา สู้คนเสื้อแดงเคยผ่านศึกราชประสงค์ที่มาลงสมัครเช่นกัน แถมยังไปดึงอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยถากถางเพื่อไทยมาเป็นเลขาฯ เลยกลายเป็นแดงฟัดแดง ประธานพะเยาอาร์มี่ชี้ การเมืองระดับชาติทำลายวัฒนธรรมการเมืองท้องถิ่น สร้างความแตกแยกให้แก่ประชาชนที่ต้องเลือกข้าง นำทีมราดน้ำมันจุดไฟเผาเสื้อ ประกาศเลิกใส่สีแดง ซัดแกนนำ นปช. ไม่มีอุดมการณ์

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 30 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณตลาดนาปรัง ต.นาปรัง อ.ปง จ.พะเยา ซึ่งเป็นย่านการค้าหลักของ อ.ปง นายจตุพร พรหมพันธ์ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ได้ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้กับนายวรวิทย์ บุรณศิริ ผู้สมัคร นายก อบจ.พะเยา หมายเลข 1 และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน โดยการขึ้นรถยนต์กระบะแห่ผ่านหน้าตัวตลาด ซึ่งระหว่างที่กลุ่มของนายจตุพรกำลังหาเสียงอยู่นั้น ได้มีกลุ่มเสื้อแดงพะเยาอาร์มี่ ประมาณ 300 คน นำโดยนายอนุรักษ์ โป่งสุยา ประธานชมรมฯ พร้อมรถยนต์กระบะติดตั้งเครื่องขยายเสียง กล่าวโจมตี นายจตุพร และก่อแก้ว หาว่าทั้งสองคนทิ้งอุดมการณ์ นปช. กลายเป็นคนเพื่อไทยไปแล้วที่มาหาเสียงให้นายวรวิทย์ ผู้สมัครหมายเลข 1 ที่ไปเด้งนายธนสรร ธรรมสอน อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขต 3 สมัยที่แล้ว ซึ่งเคยกล่าวโจมตีพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงเคยเหยียดหยามคนเพื่อไทยว่าอยู่ใต้กระโปรงผู้หญิงมาเป็นเลขาฯ

ทั้งนี้กลุ่มพะเยาอาร์มี่ ได้โห่ร้องขับไล่ขบวนรถหาเสียงของนายจตุพร ที่มีนายวรวิทย์ ผู้สมัคร นายก อบจ. เบอร์ 1 ยืนอยู่บนรถด้วย แต่นายจตุพรไม่ได้ตอบโต้อะไรกลุ่มพะเยาอาร์มี่ มีเพียงนายก่อแก้วเท่านั้นที่ยังประกาศผ่านไมโครโฟนขอเสียงสนับสนุนให้กับ นายวรวิทย์ โดยมีขบวนรถคนเสื้อแดงกว่า 10 คัน ที่สนับสนุนนายวรวิทย์ขับตามหลัง เมื่อกลุ่มพะเยาอาร์มี่ เห็นว่า นายจตุพร ไม่ยอมลงมาเจรจาด้วย กลุ่มคนเสื้อแดงพะเยาอาร์มี่ จึงพร้อมใจถอดเสื้อซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงออก แล้วปาใส่รถในขบวนรถของสองแกนนำ นปช. และนำเสื้อที่ถอดรวมกันกว่า 50 ตัว ราดน้ำมันเผากลางถนนต่อหน้าขบวนรถของนายจตุพร จนเกือบเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่าย

ด้านนายอนุรักษ์ โป่งสุยา ประธานชมรมพะเยาอาร์มี่ กล่าวว่า ที่พวกตนออกมาประท้วงครั้งนี้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวแกนนำ นปช.ที่ไม่มีอุดมการณ์ นปช.หลงเหลืออยู่ เนื่องจากการเลือกตั้งนายก อบจ. เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย ไม่ควรลงมาสนับสนุนผู้ใดอย่างออกหน้าออกตาโดยใช้กระแสคนเสื้อแดง ซึ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชุมชน ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นจะต้องให้คนในท้องถิ่นมีอิสระในการเลือกคนมาบริหาร ท้องถิ่นเอง ส่วนการเลือกตั้งระดับชาติพวกเราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แม้แต่ชีวิตก็ยังเสียสละไปกินนอนกันมาแล้วทั้งสี่แยกคอกวัว และที่ราชประสงค์ อีกทั้งยังมีผู้สมัคร นายก อบจ.เบอร์ 3 คือนายจิรโรจน์ กีรติศักดิ์สกุล ก็ลงสมัครในนามคนเสื้อแดง เคยร่วมหัวจมท้ายกับแกนนำ นปช.มาก่อนที่จะถูกสลายการชุมนุม

ประธานชมรมพะเยาอาร์มี่ กล่าวอีกว่า นายไพรัตน์ ตันบรรจง อดีต นายก อบจ.พะเยา ที่ลงสมัคร หมายเลข 2 ก็เคยสนับสนุนคนเสื้อแดงมาตลอด ดังนั้นจึงมีมวลชนที่ซ้ำซ้อนกัน และการที่นายจตุพร นายก่อแก้ว มาหาเสียงให้อีกคนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง พวกตนจึงต้องออกมาประท้วง ซึ่งหลังจากที่เผาเสื้อแดงไปแล้ว พวกตนซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อใน อ.ปง ทั้งหมด จะเลิกใส่เสื้อแดงและจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ตลอดจนกระบวนการ นปช.ทั้งหมด เพราะรู้เนื้อแท้ของแกนนำแล้วว่า ไม่ใช่ทองแท้อย่างที่เข้าใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงชมรมพะเยาอาร์มี่เผาเสื้อเสร็จแล้ว ก็ได้เคลื่อนขบวนไปดักหน้าขบวนของนายจตุพร ที่บริเวณเยื้องกับ สภ.ปง บนถนนสายขุนยม เมื่อขบวนสวนกันก็มีการใช้เสียงตอบโต้กัน แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ รายงานในวันนี้ว่า “แดงพะเยาอาร์มี” ขอสลายตัว หลัง “ตู่” เผยธาตุแท้-ชี้แกนนำมีที่ยืนกลับหมิ่นรากหญ้า โดยรายงานตอนหนึ่งว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ชมรมพะเยาอาร์มีซึ่งเป็นเสื้อแดงส่วนหนึ่ง ขอประกาศสลายตัวและไม่มีเสื้อแดงใน อ.ปง อีกต่อไป ขอกลับมาเป็นชาว อ.ปง คนพะเยาที่ไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกในเครือญาติพี่น้องอีกต่อไป

นายอนุรักษ์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาการต่อสู้ที่กรุงเทพฯ พวกตนได้ไปร่วมต่อสู้จนต้องถูกหมายเรียกไปที่ ศอฉ.ก็เพราะสู้เพื่ออุดมการณ์ของคนเสื้อแดง แต่เวลานี้ แกนนำมีที่อยู่ที่ยืน ขณะที่เสื้อแดงบ้านนอกยังยึดมั่นอุดมการณ์อย่างมั่นคง กลับต้องมาถูกดูหมิ่นน้ำใจด้วยเหตุผลทางการเมืองบางประการ ตนและเสื้อแดง อ.ปง จึงรับไม่ได้ ประกาศตัวสลายตัวเสื้อแดงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เวทีแดงพะเยาเกือบวงแตก-แกนนำเก่าเผา “เสื้อแดง” ไล่

ขณะที่เว็บไซต์ผู้จัดการASTVรายงานเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมว่า เวทีเสื้อแดงหนุนผู้สมัครนายก อบจ.เมืองกว๊านฯ เกือบวงแตก เจอแกนนำเก่า-ว่าที่ผู้สมัครฯ ท้าทาย “เผาเสื้อแดง” ไล่กลางวง จนต้องเคลียร์กันวุ่น แถมถล่มผู้สมัครรายอื่นอ่วม ด้าน ส.ส.แดง เตรียมยกทีมขึ้นเวทีที่เชียงรายต่อวันนี้ (30 ต.ค.)

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคเพื่อไทย จ.พะเยา และแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ได้จัดเวทีปราศรัยเพื่อหาเสียงสนับสนุนให้กับนายวรวิทย์ บูรณะศิริ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พะเยา ณ บริเวณสนามกีฬาเทศบาลเมืองพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา ค่ำวานนี้ (29 ต.ค.)

โดยมีการจัดให้แกนนำ นปช.และมีฐานะเป็น ส.ส.ของพรรคหลายคนไปปราศรัย เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายดนุพล ปุณณกัณฑ์ รวมทั้งนางเรืองวัลย์ บัวนุช อดีตผู้ว่าราชการ จ.พะเยา, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ, น.ส.อรุณี ชำนาญ สอง ส.ส.พะเยา เข้าร่วมด้วยท่ามกลางประชาชนที่ไปฟังการปราศรัยประมาณ 700-800 คน

การปราศรัยครั้งนี้ได้พยายามเชิญชวนให้ประชาชนได้เลือกนายวรวิทย์เป็นนายก อบจ.พะเยา หลังจากที่ในอดีตที่ผ่านมานายไพรัตน์ ตันบรรจง ผูกขาดการดำรงตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน โดยอ้างว่านายวรวิทย์ เป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ส่วนคนอื่นแม้จะเป็นมาแล้วหลายสมัย ก็ไม่เป็นที่นิยมของชาวบ้านระดับรากหญ้าที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันยังโจมตีว่า บุคคลอื่นมาจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพึ่งแพ้การเลือกตั้ง ส.ส.พะเยาด้วย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายจตุพรกำลังปราศรัยอยู่นั้นได้มีนายจิรโรจน์ กีรติศักดิ์วรกุล หรือโย ประธานกลุ่มพะเยารักประชาธิปไตย และผู้ประสานงาน นปช.ซึ่งเป็นแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญอีกคนหนึ่ง แต่ได้หันจะไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.พะเยา ในนามกลุ่มอิสระ เดินทางไปยังบริเวณสถานที่ปราศรัยด้วย และได้ทำการเปิดเครื่องเสียงใกล้เวทีปราศรัย ก่อนที่จะมีการประกาศเรียกร้องท้าทายให้นายจตุพรลงมาพบตัวเองด้วย เพราะต้องการจะสอบถามกรณีที่นายจตุพรได้กล่าวโจมตีผู้สมัครคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม นายจตุพรกลับไม่กล้าลงไปพบ ทำให้นายจิรโรจน์นำเสื้อแดงของตัวเองออกมาเผาทิ้ง ก่อนที่จะมีคนห้ามปรามและเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางความสนใจของผู้เข้ารับฟัง

ทั้งนี้ นายจิรโรจน์ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวในนามแกนนำมวลชนคนเสื้อแดง ใน จ.พะเยา มาอย่างยาวนาน เคยจัดเวทีปราศรัยช่วงที่คนเสื้อแดงออกมาต่อสู้ทางการเมืองหลายครั้ง และแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้อำนาจรัฐไปแล้ว แต่ก็ยังมีการเคลื่อนไหวในทางหมิ่นเหม่โดยมีกระแสว่ามีส่วนในการจัดประชุม อย่างลับๆ ในหมู่บุคคลที่มีพฤติกรรมกระทบต่อเบื้องสูงในพื้นที่หลายครั้งด้วย

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า หลังจากเวทีที่ จ.พะเยา สิ้นสุดลงแล้ว นายจตุพรและคณะมีกำหนดจะไปร่วมเวทีปราศรัยของกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเชียงรายนำโดย น.ส.จิรนันท์ จันทวงษ์ ณ บริเวณร้านอาหารวังลิ้นจี่ เลขที่ 219 ถนนเด่นห้า-ดงมะดะ ม.6 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งมีการติดป้ายสนับสนุนนายสุวิทย์ แก้วพนัส นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่กรณ์ ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.เชียงราย ในเย็นวันนี้ (30 ต.ค.) โดยคาดว่าจะมีการปราศรัยสนับสนุนนายสุวิทย์ เหมือนกรณีสนับสนุนนายวรวิทย์อีกเช่นเคย

ดอกไม้ในซากความพ่ายแพ้

ที่มา มติชน



โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

(ที่มา คอลัมน์ที่เห็นและเป็นไป หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2554)


เหมือนว่า เราแพ้แล้ว!

คือสภาพที่ทุกคนต้องยอมรับ

ถึง นาทีนี้ ทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการประจำต่างยอมรับสภาพแล้ว ว่าไม่สามารถป้องกันเมืองหลวง "กรุงเทพมหานคร" ไม่ให้จมอยู่ใต้มหาอุทกภัยได้

ความพยายามอย่างมากมายที่จะ ป้องกันกรุงเทพฯไว้ ยอมให้ต่างจังหวัดทยอยพินาศไปทีละจังหวัด ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่สุดน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯอยู่ดี

แผนรับมือสารพัดที่คิดว่าชาญฉลาด ไม่สามารถต้านทานธรรมชาติของน้ำได้

เรามีภูมิปัญญาไม่พอที่จะเข้าใจธรรมชาติของน้ำ

ไม่มีใครมีบารมีพอที่จะผนึกใจคนไทยทุกคนให้สู้ในทิศทางเดียวกัน

ความรู้ไม่พอ ความขัดแย้งแตกแยกที่เป็นอุปสรรคมากเกินไป ทำให้เราอ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับน้ำที่หลั่งทะลักลงมา

เหมือนว่า เราแพ้แล้ว!

น้ำ กำลังค่อยๆ ไหลผ่านกรุงเทพมหานครลงทะเล พัดพาความสูญเสียมาตอกย้ำ นำหวาดผวามาให้ ผู้คนต่างหนีเอาตัวรอดไปต่างจังหวัด ไปอยู่ในที่ปลอดภัย

กรุงเทพฯไม่ร้าง แต่สภาพชวนให้ห่อเหี่ยวคืบคลานเข้าปกคลุม

จะเป็นเช่นนี้ต่อไปนับเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน

เหมือนว่าเราแพ้แล้วนั้นจริง แต่ที่จริงกว่านั้นคือ ชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป

ไม่ว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่ที่สุดแล้วสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่จะต้องผ่านไป

ใน แต่ละชีวิต แม้จะเสียหายและสูญเสีย แต่น้ำท่วมไม่ได้พรากทุกอย่างไปจากเรา จะจัดการอย่างไรให้สิ่งที่เหลืออยู่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในวันข้าง หน้า

สร้างความหวังใหม่กันขึ้นมาจากความเป็นจริงในปัจจุบัน ปล่อยอดีตให้ผ่านไป

ใน ฐานะชุมชนและสังคม ความทุกข์ร่วมกันแม้จะมาจากความสูญเสีย แต่สิ่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่มากก็น้อยคือความร่วมมือร่วมใจจากเพื่อน บ้านที่บางทีอาจจะเป็นคนแปลกหน้า

จะรักษาและสานสัมพันธ์ที่ดีงามนั้นไว้ได้อย่างไร

ความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน เป็น "สมบัติที่ล้ำค่าของชีวิต" เพราะเป็นปัจจัยแห่งความสุข

ใน ส่วนของรัฐบาล ในความพ่ายแพ้ หากได้ทบทวนถึงสาเหตุ แปลความพ่ายแพ้นั้นให้เป็นความรู้ เป็นประสบการณ์ ทั้งในเรื่องคน เรื่องระบบการบริหาร เครื่องมือ เครื่องไม้

ทบทวนและหาทางปรับปรุง สร้างประสิทธิภาพเตรียมไว้ หากต้องเผชิญกับอนาคตเช่นนี้ซ้ำ

จะได้แข็งแกร่งพอที่จะไม่พ่ายแพ้อีก

เหมือนกับว่า เราแพ้แล้ว!

แต่อย่างที่บอก ชีวิตต้องดำเนินต่อไป หลังความสูญเสีย การเริ่มต้นใหม่จะต้องเกิดขึ้น

เราจะเริ่มกันอย่างไร จะมุ่งไปทางไหน

จะสะสางความผิดพลาด และความไม่เข้าท่าของทุกเรื่องราวอย่างไร

เหมือนว่าเราแพ้แล้ว!

แต่หากมองให้ลึก น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องเลวร้าย บทเรียนมากมายจะเป็นโจทย์ที่ดีให้เราแก้

ทำให้การจัดการหลังน้ำท่วมเป็นปัจจัยที่จะสร้างชัยชนะในอนาคต

ความกล้าหาญและเด็ดขาดที่จะต้องจัดการเป็นเรื่องสำคัญ

หากคิดจะเริ่มต้นจากความเป็นจริงที่ยับเยิน เพื่อสร้างอนาคตใหม่ที่มีความหวัง

มัลดีฟส์โมเดล?

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน
มันฯ มือเสือ



ช่วงวิกฤตการเมืองปี཭ ก่อนรัฐประหาร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ลาออกแล้วขอนายกฯ พระราช ทาน ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ

จนได้รับฉายา 'มาร์ค ม.7'

มาปีนี้ประเทศไทยเผชิญวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ นายอภิ สิทธิ์ได้ฉายาใหม่

'มาร์ค มัลดีฟส์'

เรื่องเริ่มจากเมื่อวันที่ 22 ต.ค. นักข่าวไปรู้มาว่านายอภิสิทธิ์แอบบินไปอังกฤษเงียบๆ ตั้งแต่คืนวันที่ 20 ต.ค.

สอบถามไปทางโฆษก ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ได้คำตอบสั้นๆ ว่า "ไม่ได้ไปไหน ตอนนี้หัวหน้าอยู่กับครอบครัว พรุ่งนี้ก็มาแล้ว"

รุ่ง ขึ้น 'เด็จพี่' จากเพื่อไทยให้ข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ไปอังกฤษแต่ไปมัลดีฟส์ พร้อมระบุสายการบิน เที่ยวบิน เวลาไป-กลับเสร็จสรรพว่า

นายอภิสิทธิ์จะกลับมาถึงเที่ยงคืนวันที่ 23 ต.ค.

วันที่ 24 ต.ค. 'วอลเปเปอร์' ตอบคำถามเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง นายอภิสิทธิ์ยังอยู่เมืองไทยและกำลังประชุมพรรค

กระทั่งวันที่ 25 ต.ค. นักข่าวถึงมีโอกาสสอบถามนายอภิสิทธิ์โดยตรง

"ผมไม่เอาเรื่องนี้มาเล่นการเมือง วันนี้ทุกคนต้องช่วยกันคิดในการแก้ปัญหา"

ตอบแบบให้การภาคเสธ

ขณะที่นายชวนนท์แถลงใหม่ว่านายอภิสิทธิ์ไปตามคำเชิญประธานาธิบดีมัลดีฟส์ที่ทาบทามไว้นานแล้ว และ การหารือก็คุยปัญหาน้ำท่วมเป็นหลัก

ส่วนวอลเปเปอร์บอกว่า นายอภิสิทธิ์หารือเกี่ยวกับการขอเงินช่วยเหลือจากยูเอ็น ตามอย่างที่มัลดีฟส์เคยทำมาก่อน

พูดพร้อมกับโชว์รูปถ่ายนายอภิสิทธิ์ ในชุดเสื้อแขนสั้นปล่อยชาย ยืนคู่กับประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด นาชีด

แต่ ปรากฏว่า แอนดรูว์ สปูนเนอร์ นักข่าวอิสระที่เกาะติดเรื่องนี้ ตรวจสอบจากเว็บไซต์ ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ กลับไม่พบบันทึกเข้าพบของนายอภิสิทธิ์

ก็เลยมีข้อสงสัยว่าเหตุผลการไปมัลดีฟส์ของนายอภิสิทธิ์ ตามที่โฆษกประชาธิปัตย์และวอลเปอร์ชี้แจงนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรแน่

ทำไมนายอภิสิทธิ์กลับมาแล้วถึงไม่ยอมเปิดเผยผลหารือกับประธานาธิบดีนาชีดต่อสาธารณชน หนำซ้ำยังทำท่าลับๆ ล่อๆ ไม่อยากพูดถึง

หลายคนอยากรู้ 'มัลดีฟส์โมเดล' จะช่วยประเทศไทยหายจากน้ำท่วมได้หรือไม่

ถ้านายอภิสิทธิ์ได้ไอเดียอะไรดีๆ มาก็ไม่จำเป็นต้องอมพะนำเอาไว้

จะได้ลบล้างข้อครหา 'ดีแต่พูด' เสียที

เผยน้ำท่วมเต็มพื้นที่ "พุทธมณฑล" แล้ว-สำนักพุทธฯ อพยพหนี

ที่มา ข่าวสด

  • ภาพ : แฟ้ม ภาพ/ประชาชน​จำนวน​มาก​เดินทาง​ไป​ร่วม​พิธี​ทำบุญ​ตักบาตร พิธี​เจริญ​พระ​พุทธ​มนต์ ถวาย​เป็น​พระ​ราช​กุศล​แด่​พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่อง​ใน​โอกาส​เฉลิม​พระชนมพรรษา 84 พรรษา และ​โอกาส​แห่ง​การ​ผนวช​ครบ​ปี​ที่ 55 พร้อม​ร่วม​ประกอบ​พิธี​บวงสรวง​เทพยดา พระ​แม่​คงคา พระ​แม่​ธรณี ให้​ช่วย​บรรเทา​ภัยพิบัติ​จาก​อุทกภัย​ซึ่ง​กำลัง​เข้า​โจมตี​กรุงเทพฯ​และ ​พื้นที่​ปริมณฑล​อยู่​ขณะ​นี้ ที่​พุทธมณฑล เมื่อ 22 ตุลาคม 2554

  • วันที่ 31 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นายกนก แสนประเสริฐ ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ล่าสุดในพื้นที่พุทธมณฑล ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีน้ำท่วมเข้าไปเต็มบริเวณทุกพื้นที่ในพุทธมณฑลทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา

    นายกนก ให้สัมภาษณ์ "ข่าวสด" ว่า ระดับน้ำท่วมในพุทธมณฑลสูงกว่า 1 เมตร ส่วนองค์พระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ หรือ องค์หลวงพ่อใหญ่พุทธมณฑล น้ำยังไม่ท่วมถึงองค์พระ แต่ท่วมตรงบริเวณขอบลานชั้นบนหน้าองค์พระเท่านั้น ซึ่งหลังจากน้ำลด สำนักงานพุทธมณฑลจะต้องสำรวจความเสียหายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพุทธฯ สั่งการให้สำนักพุทธฯ ย้ายที่ทำการออกจากพื้นที่พุทธมณฑลทั้งหมดจากปัญหาน้ำท่วมแล้ว คาดว่าจะไปใช้พื้นที่ของวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม และวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นที่ทำการของสำนักพุทธฯ ชั่วคราวไปก่อนจนกว่าน้ำจะลด

    ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 31/10/54 น้ำใจมากกว่าน้ำท่วม..กับพวกแล้งน้ำใจ

    ที่มา blablabla

    โดย

    ภาพถ่ายของฉัน



    พวกหนึ่งเลว โดนสันดาน สามานย์นัก
    พวกหนึ่งรัก เกื้อหนุน จุนเจือให้
    พวกหนึ่งจ้อง แตกสามัคคี ยามมีภัย
    พวกหนึ่งไซร้ กักตุน หมกมุ่นโกง....


    พวกสื่อเลว สื่อชั่ว มั่วอคติ
    พวกอุตริ พวกชิบหาย พวกตายโหง
    พวกปล่อยข่าว โง่งม ผสมโรง
    พวกไอ้โม่ง หลังฉาก ปากอัปรีย์....


    พวกเอาวิกฤต เล่นการเมือง กุเรื่องเท็จ
    พวกทุเรศ จ้องใส่ร้าย มุ่งป้ายสี
    พวกอุบาทว์ พวกชาติชั่ว ตัวกาลี
    พวกดักดาน 65 ปี...ที่สารเลว....


    ยามบ้านเมือง เรานี้ มีปัญหา
    กลับตั้งตา เร่งรุด ฉุดลงเหว
    บ้างหาเรื่อง ใส่ไคล้ สุมไฟเปลว
    จนแหลกเหลว ทั่วถิ่น แผ่นดินไทย....


    ขอชื่นชม คนดีดี ที่โอบเอื้อ
    คอยหนุนเกื้อ พี่น้อง ยามหมองไหม้
    แม้นทุกข์ยาก จากน้ำท่วม อ่วมอรทัย
    ยังแบ่งปัน น้ำใจ ให้ถึงกัน....


    ๓ บลา / ๓๑ ต.ค.๕๔

    กวีตีนแดง: ความตายของประชาชน

    ที่มา ประชาไท

    บทกวีโดย Homo erectus
    เนื่องในวันครบรอบ 5 ปี การต่อต้านรัฐประหาร ของลุงนวมทอง ไพรวัลย์

    ชาติหน้าขออย่าพบเจอรัฐประหาร
    โลกแห่งจินตนาการลุงวาดไว้
    ห้าปีแล้วหลังลุงสิ้นลมหายใจ
    สังคมใหม่เติบใหญ่อยู่ในครรภ์

    ใกล้แล้วลุง...ใกล้แล้ว...ใกล้แล้วลุง!
    นั่นไงรุ้งพุ่งทแยงแสงสีสัน
    ใต้ผืนฟ้ากาลสมัยปัจจุบัน
    ความใฝ่ฝันของลุงรุ่งรำไร
    ไม่ต้องรอไปจนถึงชาติหน้า
    ประชาชนเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดหมาย
    เผด็จการมีเบื้องหลังอำพรางกาย
    หากก็มีความตายรายล้อมรอ
    ลุงล่วงแล้วข้ามลับไปยังขอบฟ้า
    ทิ้งดวงใจปรารถนาให้สานต่อ
    วีรชนเดินทางไกลไม่เคยพอ
    ถมเส้นทางสานทอประชาธิปไตย
    ความตายของลุง คือความตาย...ของประชาชน
    คือตำนาน แห่งผู้คน ในยุคใกล้
    ทั้งเคยเป็น คงอยู่ และต่อไป
    รัฐประหาร สังคมไทย จักไม่มี
    ไม่ต้องรอไปจนถึงชาติหน้า
    ปีที่ห้า จากที่นั่น ถึงที่นี่
    เกิดนวมทองมากมายทบทวี
    ขึ้นโดยสารแท็กซี่ทยานแล้ว!
    ชาติหน้าขออย่าพบเจอรัฐประหาร
    เผด็จการตัวสุดท้ายยันปลายแถว
    ต้องลบทุกผลพวงทะลวงแนว
    ชาติหน้าจึงคลาดแคล้วลาจากกัน
    ชูดวงจิตลุงนวมทองขึ้นสูงเด่น
    เพื่อไม่ต้องพบเห็นรัฐประหาร
    ถอนรากร้ายต้นไม้พิษนิรันดร์กาล
    ล้างผลพวงรัฐประหารให้สิ้นไป
    ลบผลพวงรัฐประหารให้สิ้นไป!!!
    ลบผลพวงรัฐประหารให้เป็นจริง!!!
    รำลึก 5 ปี การต่อต้านรัฐประหารของลุงนวมทอง ไพรวัลย์
    ชาติหน้าขออย่าพบเจอรัฐประหาร
    โลกแห่งจินตนาการลุงวาดไว้
    ห้าปีแล้วหลังลุงสิ้นลมหายใจ
    สังคมใหม่เติบใหญ่อยู่ในครรภ์
    ใกล้แล้วลุง...ใกล้แล้ว...ใกล้แล้วลุง!
    นั่นไงรุ้งพุ่งทแยงแสงสีสัน
    ใต้ผืนฟ้ากาลสมัยปัจจุบัน
    ความใฝ่ฝันของลุงรุ่งรำไร
    ไม่ต้องรอไปจนถึงชาติหน้า
    ประชาชนเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดหมาย
    เผด็จการมีเบื้องหลังอำพรางกาย
    หากก็มีความตายรายล้อมรอ
    ลุงล่วงแล้วข้ามลับไปยังขอบฟ้า
    ทิ้งดวงใจปรารถนาให้สานต่อ
    วีรชนเดินทางไกลไม่เคยพอ
    ถมเส้นทางสานทอประชาธิปไตย
    ความตายของลุง คือความตาย...ของประชาชน
    คือตำนาน แห่งผู้คน ในยุคใกล้
    ทั้งเคยเป็น คงอยู่ และต่อไป
    รัฐประหาร สังคมไทย จักไม่มี
    ไม่ต้องรอไปจนถึงชาติหน้า
    ปีที่ห้า จากที่นั่น ถึงที่นี่
    เกิดนวมทองมากมายทบทวี
    ขึ้นโดยสารแท็กซี่ทยานแล้ว!
    ชาติหน้าขออย่าพบเจอรัฐประหาร
    เผด็จการตัวสุดท้ายยันปลายแถว
    ต้องลบทุกผลพวงทะลวงแนว
    ชาติหน้าจึงคลาดแคล้วลาจากกัน
    ชูดวงจิตลุงนวมทองขึ้นสูงเด่น
    เพื่อไม่ต้องพบเห็นรัฐประหาร
    ถอนรากร้ายต้นไม้พิษนิรันดร์กาล
    ล้างผลพวงรัฐประหารให้สิ้นไป
    ลบผลพวงรัฐประหารให้สิ้นไป!!!
    ลบผลพวงรัฐประหารให้เป็นจริง!!!

    หมายเหตุ:

    รำลึก 5 ปี การต่อต้านรัฐประหารของลุ
    งนวมทอง ไพรวัลย์

    การเมืองเรื่องของน้ำ

    ที่มา ประชาไท

    ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ เสนอว่ามหัตภัยสังคมที่ร้ายกว่ามหันตภัยแห่งสายน้ำคือการฉกชิงโอกาสภัย พิบัติของประชาชนเป็นหอกทิ่มแทงเพื่อกำจัดศัตรูทางการ เมือง

    ประเทศไทยเป็นภาคการเกษตรที่ปลูกข้าวเป็นหลัก จากอดีตปลูกเฉพาะนาปี แต่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการปลูกข้าวเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาด ทำให้มีการปลูกข้าวนาปรังเพิ่มขึ้นถึง 2 ครั้งในฤดูแล้ง น้ำจึงเป็นปัญหาหนึ่งของภาคการเกษตร ที่ยังแกว่งไกวตามตลาดโลก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนแต่มีผลต่อระบบบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันแม้เราจะมีกฎหมายเกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรน้ำหลายฉบับภายใต้ การบริหารของหลายกระทรวง ทำให้การบริหารจัดการน้ำของไทยยังขาดเอกภาพและขาดกติกาที่ชัดเจนในการจัดสรร ทรัพยากรน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้ระบบเสรีที่ มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรส่วนรวมตามมา

    การขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งภาคการเกษตร การขยายเมืองและการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ภายใต้วาทกรรม การ พัฒนา ” ส่งผลให้เกิดการช่วงชิงทรัพยากรน้ำ ระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างภาคเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม ระหว่างประชาชนกับกลุ่มทุน นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนและระหว่างประชาชนด้วยกัน เอง ความขัดแย้งในการจัดสรรทรัพยากรน้ำได้กลายเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทย การ ปล่อยให้การเข้าถึงทรัพยากรน้ำโดยเสรีที่แท้จริงยังขาดความเป็นธรรม ผู้มีอำนาจมากกว่าย่อมได้รับประโยชน์มากกว่า การใช้น้ำจึงไม่เกิดการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เอื้ออำนวยให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ขาดสมรรถนะที่จะยืดหยุ่น ไปตามสถานการณ์ความต้องการ และที่สำคัญคือคนยากคนจนจะถูกเอารัดเอาเปรียบเสมอมา

    มีการกล่าวกันว่าประเทศไทยมีแหล่งกักเก็บน้ำ 45,434 ล้านลูกบาศก์ เมตร (จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบเพราะมีหลายกระทรวง ที่มีงบประมาณรวมแล้วหลายหมื่นล้านต่อปีที่ใช้ในการขุดลอก ขุดสระ ขุดบ่อ ทุกๆ ปีแต่ไม่อาจกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้น) ปริมาณน้ำที่ใช้ทั้งด้านการเกษตร อุปโภคบริโภค การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม มีถึง 57,604 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ขาดแคลนน้ำถึง 4,000 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร และกล่าวกันว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรเพิ่มเป็น 72.8 ล้านคน ความต้องการน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 77,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ขาดแคลนน้ำเพิ่มขึ้นกว่า 9,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เราจะวางแผนแก้ไขปัญหานี้อย่างไร

    ปัญหาการขาดแคลนน้ำมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น บางปีเกิดภาวะภัยแล้ง ทำให้พื้นที่การเกษตรเสียหาย ประชาชนเดือดร้อนขาดน้ำอุปโภคและบริโภค เป็นวิกฤติที่นับวันมีความรุนแรง เพิ่มขึ้น แต่คนเมืองไม่ได้รับรู้ปัญหาเหล่านี้

    ขณะเดียวกันวิกฤตน้ำอีกด้าน ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือเรื่องน้ำท่วมน้ำ หลาก ซึ่งทุกๆ ปีชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ลุ่มในภาคกลาง หรือชุมชนบริเวณริมน้ำ จะประสบปัญหาน้ำท่วมนานนับเดือนถึงสองเดือนเกิดความเสียหายและเดือดร้อน อย่างต่อเนื่อง แต่คนกรุงเทพฯไม่ได้รู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เพราะที่ผ่านมาน้ำอาจจะมีไม่มากนักและได้ถูกจัดการไม่ให้เข้าสู่กรุงเทพมหา นคร ความเดือดร้อนเรื่องของน้ำจึงตกกับชาวชนบทและคนชานเมืองตลอดมา เราจะเห็นคนและสัตว์เลี้ยงขึ้นอยู่บนหลังคา หรือไม่ก็ลอยคออยู่ในน้ำ เรือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต หลายคนพูดกันว่า คนกรุงนั่งรถ..คนชนบทนั่งเรือ” หรือ ศักดินานั่งรถ...ไพร่ชนบทนั่งเรือ” สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมจะเห็นภาพของการบริหารจัดการ น้ำที่ไม่เป็นธรรมในสังคมไทย มีการเฉลี่ยทุกข์ให้คนชนบท เฉลี่ยสุขให้กับคนเมือง การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขจึงเป็นเพียงวาทกรรมของฝ่ายการเมืองทุกยุคทุกสมัย ปัญหาของน้ำจึงมีมากมายมหาศาลทั้งน้ำขาดและน้ำล้น

    ในปีนี้พื้นที่เกินครึ่งหนึ่งของประเทศประสบกับปัญหาน้ำท่วมรุนแรงและยาว นานก็เป็นปัญหาจากการจัดการน้ำของ ทุกรัฐบาลที่ไม่ได้วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เราจะโยนภาระการจัดการและความรับผิดให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นผู้รับผิดชอบ เพียงผู้เดียวคงจะไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็เจอกับสภาพน้ำท่วมน้ำหลาก อย่างต่อเนื่องมาถึงเดือน กรกฎาคม แต่ก็ไม่ได้วางแผนเตรียมการใดๆไว้เช่นกัน..รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ยังไม่ได้เริ่มงานอย่างจริงจังก็พบกับปัญหาน้ำท่วมตามมาอย่างต่อเนื่องจาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ ส่งผลให้ฝ่ายการเมืองโทษกันไปมา ปัดแข้งปัดขากันนัวเนีย ลูกหาบของแต่ละฝ่ายก็ออกมาแฉพฤติกรรมต่อกัน เดือดร้อนไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลแม้น้ำไม่ท่วมไปถึงสุพรรณบุรีก็ตาม เพราะกล่าว กันว่า กรมชลประทานไม่ยอมปล่อยน้ำลงแม่น้ำท่าจีนเพราะกลัวน้ำ เข้าท่วมสุพรรณบุรี” ส่งผลให้การผันน้ำลงอ่าวไทยฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ มีปัญหาน้ำท่วมรุนแรงในฝั่งธนบุรี และนนทบุรี ซึ่งทิ่มตรงกล่องดวงใจของนายบรรหาร ศิลปอาชา คนโตเมืองสุพรรณฯ ส่วนกรุงเทพมหานคร ที่มีอิสระในการบริหารงานก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับ ศปภ.ให้น้ำผ่านเข้ากรุงเทพมหานคร ทั้งๆ ที่มีคูคลองมากมายในการดูดซับน้ำและช่วยผันน้ำลงอ่าวไทยแต่กลับปล่อยให้คู คลองเหล่านั้นน้ำแห้งขอด เพราะกลัวน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงของตน อาจจะเสียคะแนนนิยมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งๆที่หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน น้ำคงไม่รุนแรงมากขนาดนี้ จนนายกรัฐมนตรีต้องประกาศใช้มาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันภัยฯ เพื่อใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเข้าไปจัดการ ซึ่งทิ่มตรงเข้า กล่องดวงใจนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้บริหารกรุงเทพมหานคร

    สำหรับการผันน้ำในฝั่งตะวันออกก็บอกว่า ศปภ.ไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้น้ำระบายลงสู่ทะเล โดยเร็ว ไม่มีภาวะผู้นำ นายกขาดความรู้ความสามารถ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้คือ ข้อกล่าวหาที่แต่ละฝ่ายทิ่มแทงต่อกัน และยังหาวาทกรรมทิ่มแทงใส่กันอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญหายนะภัยครั้งนี้ประชาชนได้รับรู้ความจริงว่า มีการปัดแข้งปัดขากันเพื่อหวังผลทางการเมือง กลายเป็นการเมืองเรื่องของน้ำเน่า” ไปเรียบร้อยแล้ว

    การแย่งชิง การปัดแข้งปัดขาแม้ในสภาวะวิกฤตของชาติอย่างไม่หยุดหย่อน แสดงให้เห็นถึงความจริงของสังคม ที่ว่าความแตกแยกในสังคมไทยได้บาดลึกรุนแรงยากที่จะเยียวยา การปลุกเร้าให้เกิดความเชื่อทางการเมือง ความเกลียดชัง การแบ่งแยกฝ่าย สามารถอยู่เหนือความหายนะของประชาชน และอยู่เหนือความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ประชาชนไม่ยินดีสละความแตกต่างทางความคิดไว้ข้างหลังเป็นการชั่วคราว แล้วหันหน้าจับมือกันฟันฝ่ามหันตภัยน้ำไปด้วยกัน การฉกชิงโอกาสภัยพิบัติ ของประชาชนเป็นหอกทิ่มแทงเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองจึงเป็นเสมือนสิ่งที่ ยอมรับได้ และดูยิ่งรุนแรงมากขึ้น นี่คือมหัตภัยสังคมที่ร้ายกว่ามหันตภัยแห่งสายน้ำ

    นักเคลื่อนไหวเน็ตสากลร้อง ทั่วโลกหยุดส่งออกเทคโนโลยีปราบปรามประชาชน

    ที่มา ประชาไท

    ตัวแทนจากภาคประชาสังคมเรียกร้องรัฐบาลทั่วโลกสั่งห้ามส่งออกเทคโนโลยี ที่นำไปใช้ปราบปรามพลเมือง โดยออกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ในประเทศปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณขององค์กรที่จะไม่ทำลายพลเมืองประเทศอื่นๆ และคุ้มครองให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียม

    เมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในการประชุมระดับโลกว่าด้วยธรรมาภิบาลอินเทอร์เน็ต (Internet Governance Forum - IGF) ณ สหประชาชาติ ประเทศเคนยา กลุ่มตัวแทนจากภาคประชาสังคมร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลทั่วโลก เกี่ยวกับนโยบายด้านอินเทอร์เน็ตในฐานะเครือข่ายอันทรงพลังเพื่อส่งเสริม ขบวนการประชาธิปไตยดังที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ

    Amira Yahyaoui บล็อกเกอร์และนักเคลื่อนไหวด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ตจากประเทศตูนิเซีย เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ในนามกลุ่มภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมประชุม ซึ่งมาจาก บาห์เรน เบลารุส บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย อิหร่าน มาเลเซีย ไนจีเรีย ปากีสถาน รัสเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา

    ใจความหลักในแถลงการณ์ เรียกร้องต่อรัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลกให้สั่งห้ามมิให้ส่งออกเทคโนโลยีที่นำ ไปใช้ปราบปรามพลเมือง โดยขอให้รัฐบาลออกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ในประเทศของตนเองสามารถปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณขององค์กรที่จะไม่ทำลาย พลเมืองประเทศอื่นๆ และคุ้มครองให้เกิดสนามการแข่งขันที่เท่าเทียม

    นอกจากนี้ ตัวแทนภาคประชาสังคมจากประเทศต่างๆ ยังเรียกร้องให้ผู้ให้บริการร่วมส่งเสริมขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งต้องเปิดให้มีการสื่อสารทางสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย นั่นคือต้องรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิที่จะไม่เปิดเผยชื่อด้วย


    แถลงการณ์ตัวแทนภาคประชาสังคมโลก ว่าด้วยธรรมาภิบาลด้านอินเทอร์เน็ต ปี 2554

    แถลงการณ์นี้จัดเตรียมให้ Amira Yahyaoui แห่งตูนิเซียเป็นผู้กล่าวในฐานะตัวแทนภาคประชาสังคมจากหลายภูมิภาค
    30 ก.ย. 2554 กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา

    ก่อนอื่น เราขอแสดงความยินดีที่มีโอกาสได้มาประชุมในที่ประชุมว่าด้วยธรรมาภิบาลด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Governance Forum - IGF) ที่ประเทศเคนยา ในฐานะชาวตูนิเซีย ดิฉันมีโอกาสได้เห็นกับตาถึงขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในทวีปแอฟริกาที่ ได้รับประโยชน์จากวิธีการสื่อสารใหม่ๆ เมื่อมีการประชุมสุดยอดโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on the Information Society - WSIS) ที่ประเทศดิฉันเมื่อปี 2548 รัฐบาลในสมัยนั้นคิดว่าเป็นการประชุมที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จ การของตนเอง แต่เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนั้นจำนวนมาก เช่นเดียวกับคนจำนวนมากในห้องประชุมแห่งนี้ พวกเราที่มาจากตูนิเซียและต้องการอนาคตใหม่จึงได้รับแรงบันดาลใจมากมายจาก เพื่อนต่างชาติที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพของพวก เรา ในโอกาสที่มีผู้เข้าประชุมจากทั่วโลก และต่างคนต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างหลากหลาย เป็นเหตุให้การประชุมครั้งนั้นส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลที่กดขี่ปราบปราม ตรงข้ามกับความคาดหวังของระบอบเผด็จการ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์ให้กับเผด็จการในที่อื่นๆ ว่าพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของชุมชนโลกที่มี การสื่อสารกันอย่างงดงาม

    เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เข้า ร่วมการประชุม IGF ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพด้านอินเทอร์เน็ต เรามาจากประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น บาห์เรน เบลารุส บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย อิหร่าน มาเลเซีย ไนจีเรีย ปากีสถาน รัสเซีย ไทย ตูนิเซีย และสหรัฐอเมริกา

    ในท่ามกลางความหลากหลาย เราเห็นชอบร่วมกันดังนี้

    เราขอเรียกร้องให้ประเทศ ประชาธิปไตยทั้งหลาย นำนโยบายและกฎหมายมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบเผด็จการกดขี่ประชาชนได้ต่อ ไป ซึ่งรวมถึงการสั่งห้ามอย่างเป็นระบบไม่ให้ส่งออกเทคโนโลยีไปยังรัฐบาลที่นำ เทคโนโลยีเหล่านั้นไปใช้ปราบปรามพลเมืองของตนเอง จรรยาบรรณที่กำหนดขึ้นโดยสมัครใจของบริษัทขนาดใหญ่นับเป็นก้าวย่างในเชิงบวก แต่ในอีกด้านหนึ่งรัฐบาลในแต่ละประเทศก็ควรออกกฎหมายที่เข้มแข็งเพื่อสนับ สนุนการปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณเหล่านั้นด้วย บางบริษัทได้ให้ความเห็นว่า ยินดีหากจะมีกฎหมายเช่นนั้นเพื่อให้สนามแข่งขันเท่าเทียมกัน

    นักกิจกรรมและพลเรือนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในประเทศเผด็จการ ต้องการพื้นที่ที่ปลอดภัยและเปิดเผยเพื่อการสื่อสาร รวมทั้งการสื่อสารทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เราได้เห็นแล้วว่าเครือข่ายเช่นนั้นเป็นเครื่องมืออันทรงพลังเพื่อต่อต้าน การปราบปราม ผู้ให้บริการจึงควรพยายามส่งเสริมให้ขบวนการประชาธิปไตยสามารถสื่อสารกันใน ลักษณะที่ปลอดภัยได้ ด้วยเหตุดังกล่าว สิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิที่จะไม่เปิดเผยชื่อจึงเป็นปัจจัยหลักเพื่อ ประกันความปลอดภัยดังกล่าว การจำกัดสิทธิเหล่านั้นให้กระทำได้โดยกำหนดเป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะกรณีที่มีเงื่อนไขพิเศษและมีการกำหนดเป็นกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิ อย่างชัดเจนและเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักการปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

    ผู้เผด็จการมักมีข้ออ้างสวยหรู เพื่อจำกัดเสรีภาพของเรา บ้างก็อ้างความมั่นคงในราชอาณาจักร บ้างก็อ้างการต่อต้านฝ่ายหัวรุนแรง บ้างก็อ้างการปกป้องศีลธรรม การคุ้มครองวัฒนธรรม การเคารพต่อศาสนา หรือการคุ้มครองเจ้าพนักงานจากการดูหมิ่น ข้ออ้างเหล่านี้ได้ถูกใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนการจำกัดสิทธิมนุษยชนของเรา ทั้งโดยผ่านการเซ็นเซอร์และการปิดกั้นการเข้าถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางเวทีธรรมาภิบาลอินเทอร์เน็ตควรแสดงจุดยืนคัดค้านอย่าง เข้มแข็ง

    ข้อเรียกร้องที่สำคัญเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นข้อกังวลทั้งหมดของประชาคมสิทธิมนุษยชน แต่หากได้รับการตอบสนอง ย่อมจะมีส่วนส่งเสริมบรรยากาศธรรมาภิบาลด้านอินเทอร์เน็ตอย่างชัดเจนในโลก


    ขอบคุณค่ะ Asante sana



    ที่มา: http://www.ilaw.or.th/node/1248
    ที่มาภาพ: freefotouk (CC BY-NC 2.0)

    น้ำท่วมบางพลัด-ปิ่นเกล้ากว่า 1 สัปดาห์ หลายครอบครัวยังอยู่ในพื้นที่

    ที่มา ประชาไท

    (30 ต.ค. 54) สถานการณ์น้ำท่วมที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมานคร ซึ่งดำเนินมาเกือบ 1 สัปดาห์อันมีสาเหตุมาจากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มสูงขึ้น และน้ำท่วมซึ่งหลากมาจาก จ.นนทบุรี นั้น ล่าสุดน้ำยังคงท่วมกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง มีประชาชนจำนวนหนึ่งทยอยอพยพขนทรัพย์สินบางส่วนออกจากบ้าน ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งตัดสินใจอาศัยอยู่ในบ้าน เพื่อดูแลทรัพย์สินของตัวเอง

    ที่สะพานซังฮี้แม้จะมีการปิดการจราจรเนื่องจากน้ำ ท่วมตั้งแต่เชิงสะพานฝั่งธนบุรีแต่ยังมีผู้นำยานพาหนะส่วนตัวมาจอดจำนวนมาก ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย





    สะพานกรุงธนบุรี (ซังฮี้), 30 ต.ค. 54



    ถ.สามเสน

    รถเมล์สาย 53 วิ่งผ่านถนนสามเสน ซึ่งมีน้ำขังเป็นจุดๆ โดยน้ำที่ทะลักออกจากท่อระบายน้ำเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในบาง พื้นที่ของ ถ.สามเสน

    สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า, 30 ต.ค. 54

    ชี้รัฐล้มเหลวใช้ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ’ อนุ กสม.ย้ำต้องเจรจาดับไฟใต้

    ที่มา ประชาไท

    ชี้รัฐล้มเหลวใช้ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ’ ศูนย์ทนายเผยเหตุคดียกฟ้อง มาจากผลซักถาม เวทีประชาชนชายแดนใต้จี้ยกเลิก อนุกสม.ย้ำต้องเจรจาดับไฟใต้

    จี้เลิกพ.ร.ก. - เครือข่าวประชาสังคมคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 19 องค์กร ร่วมอ่านแถลงการณ์ ขอให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใน 30 วัน ที่ห้องห้องประชุมอาคารวิทยนานาชาติ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2554

    เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2554 ที่ห้องห้องประชุมอาคารวิทยนานาชาติ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี เครือข่ายประชาสังคมคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดเวทีสาธารณะ วาระประชาชน : ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีนักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมกว่า 1,500 คน



    เวลา 10.30 น. มีการเสวนาในหัวข้อ ชะตากรรมประชาชนใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วจะเอาไงต่อ? โดยนายสุทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวเสวนาว่า ที่ผ่านมามูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ว่าความทั้งหมดประมาณ 600 คดี เป็นคดีความมั่นคงทั้งหมด ปัจจุบันเหลือประมาณ 400 คดี โดยร้อยละ 90 ของจำเลยทั้งหมด มาจากผลการซักถามระหว่างถูกควบคุมตัวในชั้นการควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และมีถึงร้อยละ 80 ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง



    “คดีที่ผู้ถูกควบคุมตัวถูกซ้อมทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพ ระหว่างถูกควบคุมตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือแม้แต่การทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพระหว่างที่ตกเป็นผู้ต้องหาแล้วก็ตาม การใช้คำรับสารภาพมาเป็นหลักฐานนั้น ศาลจะไม่รับฟัง จึงทำให้มีคดีความมั่นคงถึง 80% ที่ศาลยกฟ้อง และ 99% ของจำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัวและส่วนใหญ่เป็นอุสตาซ (ครูสอนศาสนาอิสลาม)” นายสุทธิพงษ์ กล่าว



    นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2554 ประธานศาลฎีกาได้ออกแนวปฏิบัติตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าการขอขยายเวลาการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยต้องนำตัวมาที่ศาลด้วย รวมทั้งการปล่อยตัวก็ต้องนำตัวมาแสดงตัวที่ศาลด้วย แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม แต่ที่ผ่านมาการขอขยายเวลาควบคุมตัวเจ้าหน้าที่นำเพียงเอกสารมาชี้แจงต่อศาล จึงทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวไม่มีโอกาสมาแถลงคัดค้านการขยายเวลาควบคุมตัว



    นางสาวภาวิณี ชมศรี เจ้าหน้าที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวในวงเสวนาว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาแล้วถึง 6 ปี ไม่บรรลุเป้าหมายเพื่อการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน เพราะทุกวันนี้ยังมีเหตุการณ์ไม่สงบอยู่ ถามว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นกฎหมายที่เหมาะสม และสามารถช่วยประชาชนได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการใช้อำนาจเพื่อใช้ควบคุมคนมาซักถาม ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ



    นางสาวภาวิณี กล่าวว่า การควบคุมตัวคนในช่วงแรก เจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ซึ่งไม่ต้องมีการออกหมายใดๆ เมื่อได้ข้อมูลมาชุดหนึ่งแล้ว จึงออกหมายควบคุมตัวตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถามว่า ใช้เพื่อเพื่อการรักษาความปลอดภัยของประชาชนตรงไหน



    นางสาวภาวิณี กล่าวว่า ที่ประเทศฝรั่งเศสมีการใช้กฎหมายฉุกเฉินเช่นกัน ในสถานการณ์ที่กฎหมายปกติใช้ไม่ได้ แต่การขอขยายเวลาการใช้กฎหมายพิเศษ รัฐบาลต้องขอความเห็นจากรัฐสภาด้วย โดยต้องนำผลการปฏิบัติตามกฎหมายพิเศษมาแถลงต่อรัฐสภา และต้องชี้แจงด้วยว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องขอขยายเวลาการใช้กฎหมายพิเศษ ซึ่งการขอความเห็นจากที่ประชุมสภานั้น จะทำให้ประชาชนทราบด้วย การขยายเวลามีความเหมาะสมหรือไม่ แต่ในประเทศไทยไม่มี เพราะการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นอำนานของนายกรัฐมนตรีคนเดียว แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้ใคร



    พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ กล่าวในวงเสวนาว่า เหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมาตั้งแต่อดีต ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ รัฐบาลไม่เคยประกาศใช้กฎหมายพิเศษ แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็สงบลงไปเอง เช่น เหตุการณ์หะยีสุหลง เหตุการณ์ดูซงญอ เป็นต้น



    พล.ต.ต.จำรูญ กล่าวว่า การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำได้ 2 วิธี คือการสร้างกระแสให้การเมืองเห็นด้วยกับการยกเลิก และการใช้กระบวนการทางนิติบัญญัติ โดยการออกกฎมายยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อเพื่อขอแก้ไขกฎหมาย โดยการออกกฎหมายยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินสามารถทำได้ แต่จะเริ่มเมื่อไหร่ ใครจะเป็นคนเริ่ม หรือมีคนเริ่มแล้วแต่ยังไม่มีผู้ตาม ซึ่งกลุ่มนักศึกษาเป็นแกนนำเริ่มเรื่องนี้ได้



    นายสงวน อินทร์รักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตาบา อำเอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในฐานะประธานอนุกรรมการเฉพาะกิจภาคใต้ ประจำจังหวัดนราธิวาส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวในวงเสวนาว่า ตนมองในมุมของชาวพุทธและเป็นข้าราชการ มองว่า แม้มีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประชาชนไม่ว่าพุทธหรือมุสลิม ก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามวิถีปกติ



    นายสงวน กล่าวว่า การใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินของเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบกับคนที่ไม่ หวังดีต่อประเทศและต่อคน แต่คนที่ถูกควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังไม่ใช่คนผิด ยังไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่สิ่งที่ตนได้เข้าไปดูสถานที่ควบคุมตัวทั้งในค่ายทหาร หรือที่ควบคุมอื่นๆ พบว่าบางคนไม่ทำผิด แต่ถูกเชิญตัวมาสอบสวน ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้หลายวิธีที่จะให้สารภาพ เช่น บังคับ ขู่เข็ญ มีการละเมิดสิทธิโดยการตบ ต่อย



    นายสงวน กล่าวว่า มีคนหนึ่ง ถูกควบคุมตัวที่หน่วยเฉพาะที่ 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ถูกเจ้าหน้าที่ทรมาน เอาผ้าพันแล้วทุบ ทำให้ไม่มีรอยแผล นอกจากนี้ยังมีการละเมิดด้วยคำพูด มีการดูถูก ดูแคลนคนในพื้นที่ ซึ่งนี่เป็นเงื่อนไขที่สร้างความเจ็บแค้นในคนในพื้นที่ ตนเคยบอกแม่ทัพภาคที่ 4 ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ปัญหาไม่จบ แม้เวลาผ่านไป เหตุการณ์สงบลงแล้วก็ตาม เพราะยังคาอยู่ในใจ



    “การล่ารายชื่อเพื่อเสนอยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินสามารถทำได้ เพราะมีมวลชน แต่คนที่ไม่อยากให้ยกเลิก คือทหาร ส่วนนายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จริงอยู่ว่า รัฐบาลคือการเมือง ต้องคุยกับการเมือง เราก็เอาการเมืองมาเป็นเครื่องมือคุยกับทหาร น่าจะได้ผลกว่า” นายสงวน กล่าวว่า



    นายสงวน กล่าวว่า วันนี้มีครูเสียชีวิตเป็นรายที่ 149 จากเหตุระเบิด ถามว่า ครูที่โดนฆ่า เพราะอะไร ความจริงถ้าจะฆ่าครูวันหนึ่งเป็นร้อยคนก็ได้ ทำไมเขาต้องฆ่าทีละคน ถามว่าทำไมวันนี้ ต้องฆ่าประชาชน วันนี้ฆ่าครู วันนี้ระเบิดทหาร วันนี้ฆ่าพระ ต้องวิเคราะห์ให้ได้ คนไม่หวังดีต้องการอะไร



    “ผมเชื่อว่า คนไม่หวังดีมี 10% อีก 90% เป็นคนที่ต้องการความสงบ เพราะคน 90% ต้องผลักดัน ต้องเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐให้ได้ หลายคนบอกผู้นำในรัฐว่า เจรจากันเถอะ เจรจากันเถอะ วันนี้ตำรวจและผู้นำบอกว่า ไม่รู้จะเจรจากับใคร ผมไม่เชื่อ วันนี้เห็นว่า มีการเลี้ยงไข้ปัญหาความไม่สงบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ ถามว่างบประมาณเป็นแสนล้านที่ใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดแดนภาคใต้ ประชาชนได้อานิสงเท่าไหร่และงบส่วนนั้นไปไหนบ้าง



    นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวแสดงความเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน.มีข้อดี คือ ทำให้คนหายลดลง เพราะเจ้าหน้าที่สามารถคุมคนได้ 30 วัน เป็นการยืดเวลาการควบคุมตัวต่อจากกฎอัยการศึกได้ เพราะถ้าควบคุมตัวในเวลาสั้นๆ เพียง 7 วัน ตามกฎอัยการศึกอย่างเดียว ทำให้มีหลายคนหายตัวไป เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวต่อได้ ดังนั้นงานหนักคือ ถ้ายกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังมีกฎอัยการศึกอยู่



    ในช่วงบ่าย เครือข่าวประชาสังคมคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 19 องค์กร ได้อ่านแถลงการณ์ ขอให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2554 ซึ่งจะครบกำหนดในอีกไม่กี่วัน หากรัฐบาลยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ทางเครือข่ายจะยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล

    เสนอทัพภาค4ถอนกำลังออกจาก ร.ร.รับเปิดเทอม

    ที่มา ประชาไท

    สมาพันธ์ครูชายแดนใต้วอน ชี้ละเมิดสิทธินักเรียน กลัวภาพทหารถืออาวุธสงครามติดตา อยากเห็นพ่อแม่เด็กรับส่งอย่างปกติ

    นายสงวน อินทร์รักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตาบา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในฐานะประธานอนุกรรมการเฉพากิจภาคใต้ ประจำจังหวัดนราธิวาส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยในวงเสวนาหัวข้อ ชะตากรรมประชาชนใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วจะเอาไงต่อ ในเวทีสาธารณะ วาระประชาชน : ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้องห้องประชุมอาคารวิทยนานาชาติ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานีว่า กองทัพภาคที่ 4 ได้มีคำสั่งให้ถอนทหารออกนอกพื้นที่โรงเรียนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
    นายสงวน กล่าวว่า หากในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 นี้ ซึ่งเป็นวันเปิดภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนไหนยังมีทหารอยู่ในบริเวณโรงเรียน สามารถสอบถามไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) หรือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ ว่าเหตุใดจึงยังไม่ถอนทหารออกไป
    นายสงวน กล่าวว่า ทหารจะถอนออกไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่อยู่ในเขตโรงเรียน เพราะนี่เป็นการละเมิดสิทธินักเรียน การถอนทหารออกไป จะทำให้นักเรียนไม่ต้องเจออาวุธสงครามทุกเช้า พอตอนเย็นก่อนกลับบ้าน หลับตาก็เห็นปืนเอ็ม 16 อยากเห็นภาพที่พ่อแม่มาส่งและรับลูก ให้สลามทักทายหรือลากันอย่างปกติ ถ้ามีทหารถือปืนอยู่ในโรงเรียน ภาพนี้จะติดตานักเรียน
    นายสงวน เปิดเผยว่า การถอนทหารดังกล่าว เป็นไปตามที่สมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เสนอต่อกองทัพภาคที่ 4 ให้ถอนทหารออกไปจากบริเวณโรงเรียน

    ทหารไทยมอบตัวคดียิง-ฆ่าลูกเรือจีน 13 ศพ

    ที่มา ประชาไท

    นายทหารไทยพร้อมลูกน้องเข้ามอบตัวคดีฆ่า-ทารุณลูกเรือจีนกลางน้ำโขง 13 ศพ เหตุเกิดเมื่อ 5 ต.ค. หลังทูตจีนกดดดันหนัก ด้านนายตำรวจไทยปัดเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับกองทัพเป็นเรื่องบุคคล เล็งเรียกผู้ต้องหามาสอบเพิ่มอีก

    หนังสือพิมพ์เชียงรายธุรกิจ รายงาน เมื่อวานนี้ (29 ต.ต.) ในช่วงบ่ายวันที่ 29 ต.ค. ทหารจาก กกล.ผาเมือง ที่ ตร.ออกหมายเรียกคดียิงเรือสินค่าจีน และฆ่าลูกเรือ 13 ศพอย่างทารุณ ได้ทยอยเดินทางเข้ามอบตัวกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ ห้องดุรงควิบูลย์ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย จนกระทั้งเวลา 16.00 น.พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา รอง ผบ.ตร.ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าคดีเรือหยี่ชิง 8 และเรือหัวผิง เรือบรรทุกสินค้าจีน ที่ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงถล่มในแม่น้ำโขงจนลูกเรือทั้งสองลำเสียชีวิต 13 ศพ ยึดยาบ้าได้ 920,000 เม็ด เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งประเทศจีนได้ส่งคณะทำงานมาติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

    พล.ต.อ. ภาณุพงษ์ สิงหรา กล่าวว่า ผบ.ตร.แต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าชุดทำการสืบสวนสอบสวน ทำคดีดังกล่าว มีการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนกระทั่งได้หลักฐานจนสามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหาได้ และวันนี้ได้ออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหา จำนวน 9 ราย เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ณ ห้องดุรงค์วิบูลย์ บก.ภ.จว.ชร.ซึ่งทั้งหมดเป็นทหารจากกองกำลังผาเมือง ซึ่งทาง ตร.ได้มีพยานหลักฐานเชื่อว่าเป็นผู้กระทำผิด ได้แจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และข้อหาเคลื่อนย้ายทำลายศพ ซึ่งจากการสอบสวนทางกองทัพไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดใดๆ ทั้งสิ้น เป็นความผิดเฉพาะตัว ผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องการประกันตัวนั้น เมื่อทางผู้ต้องหาเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ก็ได้ปล่อยตัวให้กลับกองทัพไป สำหรับความคืบหน้าอื่นๆ ยังไม่แถลงใดๆ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    ตั้งแต่เวลา 14.00 น.มีการเรียกผู้ต้องหาที่เป็นทหาร ทยอยเดินทางเข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ที่ห้องดุรงควิบูลย์ อย่างต่อเนื่อง มีการสอบสวนอย่างลับโดยไม่ยอมให้คณะสื่อมวลชนเข้าร่วมบันทึกภาพจนกระทั่ง เวลา 16.00 น.จึงออกมาแถลงข่าวดังกล่าว

    ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่าทหารที่เข้ามอบตัวนายหนึ่งมียศพันตรี และมีลูกน้องระดับประทวนรวม 9 นาย

    นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาที่ จ.เชียงราย เพื่อรับฟังความคืบหน้าของคดีเพิ่มเติมด้วยตนเอง ก่อนที่จะมีการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกจีน ที่ จ.เชียงรายในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2554 และมีรายงานข่าวว่า จะมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอีกเป็นชุดที่ 2 ในเร็ววันนี้

    ยิ่งน้ำท่วมสูง ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ยิ่งปรากฎสู่ผิวหน้า

    ที่มา Thai E-News

    ไม เคิล มอนเตซาโน นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ เขียนบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมไทยว่า ยิ่งอุทกภัยครั้งนี้รุนแรงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในไทย ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปไตย และ ‘อุดมการณ์จารีตนิยมแบบเก่า’ ในสังคมที่ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น

    โดย ไมเคิล มอนเตซาโน
    ที่มา The JakartaGlobe
    แปลโดย นักแปลอิสระ


    As the Floodwaters Rise in Thailand, an Ideological Debate Comes to the Surface-ยิ่งน้ำท่วมสูง ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ยิ่งปรากฎสู่ผิวหน้า

    ภัยพิบัติน้ำท่วมที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนอย่างมาก ทั้งในแง่ของขนาดและผลกระทบ มันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมในประเทศไทย ที่อาจจะยังเข้าใจได้ยากในหลายมิติ

    งานหลายแสนตำแหน่งตกอยู่ในความเสี่ยง และผู้คนหลายล้านคนที่พึ่งพิงอยู่กับการมีงานทำของคนงานเหล่านี้ ก็เผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

    มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 350 คนจากอุทกภัยครั้งนี้ และคาดการณ์ว่าโรคต่างๆ ที่มาพร้อมน้ำท่วม เช่น ท้องร่วง ไทฟอยด์ ฉี่หนู และโรคติดเชื้อทางผิวหนัง จะมาซ้ำเติมวิบัติดังกล่าวให้แย่ลงไปอีกในอีกหลายอาทิตย์และหลายดือนที่จะมา ถึง

    คาดว่า รัฐบาลไทยน่าจะต้องใช้เงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ในการจัดการบ้านเมืองหลัง อุทกภัย ทั้งในการทำความสะอาด กู้ภัย และซ่อมแซมก่อสร้างใหม่

    แต่วิธีในการจัดการจะเป็นอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหน และนักลงทุนต่างชาติจะมีความเชื่อมั่นหรือไม่ในการกลับมาลงทุนในนิคม อุตสาหกรรมบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น อยุธยา ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป

    ทั้งหมดนี้ก็แย่พออยู่แล้ว หากแต่การรายงานของสื่อไทยเรื่องน้ำท่วม ได้ละเลยถึงมิติที่สำคัญมากที่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

    ปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ ได้จุดประเด็นการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองและทางอุดมการณ์เกี่ยวกับบทบาทของ สถาบันกษัตริย์ไทย โดยสภาวะการช่วงชิงนี้ เห็นได้จากหลายประการ

    ประการแรก เกี่ยวกับบุคคลผู้สำแดงความเป็นผู้นำเชิงสัญลักษณ์ในภาวะวิกฤติ เมื่ออาทิตย์ที่สองของเดือนสิงหาคม นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางเยี่ยมพื้นที่ในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิษถ์ แพร่ และน่าน ซึ่งนับเป็นการปรากฏตัวอย่างชัดเจนของเธอต่อสาธารณะหลังจากเข้ารับตำแหน่ง


    ในช่วงแรกของการเข้าเยี่ยมจังหวัดเหล่านั้น เธอถูกจับภาพในขณะเดินลุยน้ำในรองเท้าบู้ตยาง ซึ่งในขณะที่การกระทำเช่นนี้ของผู้นำรัฐบาลในประเทศอื่นๆ เป็นเรื่องที่ปกติและสมควร แต่ในบริบทของประเทศไทย มันกลับแปลได้เป็นความหมายอื่น

    เนื่องจากในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำประเทศที่ประชาชนไทยคุ้นชินกับการเดินทางเยี่ยมประชาชนในต่างจังหวัด คือ พระมหากษัตริย์ แต่ในวันนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มาถึงพระชนมมายุที่ไม่อาจทรงทำการเช่นนั้นได้อีกแล้ว

    และในขณะเดียวกัน พระบรมวงศานุวงศ์รุ่นถัดมา คือราชโอรส ราชธิดา และราชนัดดานั้น ก็เลือกที่จะเดินในสายอื่นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยวิทยาศาสตร์ การบินทางทหาร งานวิชาการ วรรณกรรม ดนตรี แฟชั่น และกฏหมาย ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของชนบทไทยมากเท่าพระมหากษัตริย์องค์ ปัจจุบันอีกแล้ว

    ในแง่หนึ่ง การแสดงความเป็นผู้นำของยิ่งลักษณ์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น นับว่าเป็นมิติที่น่ายินดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศนั้น พร้อมที่จะแบกรับความรับผิดชอบในยามที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติ

    หากแต่ในอีกแง่หนึ่ง มันนำเสนอภาพที่อาจจะขัดหูขัดตาต่อชาวไทยที่คุ้นชินกับสถานะของอำนาจเก่าที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานในประเทศของตนเอง

    ประการถัดมา เหตุการณ์ต่างๆ นับวันจะยิ่งเป็นการเมืองมากขึ้น กล่าวคือ ประชาชนไทยที่ไม่ยอมรับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคมที่ ผ่านมา ได้พยายามเอาภาวะยากลำบากที่รัฐบาลต้องประสบ มาฉวยประโยชน์ใช้ในทางการเมือง

    พวกเขาวิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีทำงานเพื่อเอาหน้ามากกว่าที่จะหามาตรการที่มี ประสิทธิภาพเพื่อแก้วิกฤติ และอ้างว่ายิ่งลักษณ์มัวแต่ดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมแต่พรรคพวกของตัวเอง มากกว่าจะมาจัดการกับภัยพิบัติน้ำท่วมที่กำลังถาโถมสู่ประเทศอย่างไม่หยุด หย่อน

    พวกเขายังได้ถือโอกาสใช้จังหวะความสับสนวุ่นวายมาโจมตีรัฐบาลซ้ำ หลังจากที่น้ำไหลเข้าท่วมศูนย์บรรเทาภัยพิบัติที่ดอนเมือง

    ข้อวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม นับเป็นเรื่องปรกติสำหรับประเทศที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นไปตามมีตาม เกิดเช่นประเทศไทย

    แต่ในกรณีนี้ การวิจารณ์มีอีกนัยยะหนึ่งโดยเฉพาะในอินเตอร์เน็ต ซึ่งพาดพิงถึงยิ่งลักษณ์ว่า เธอล้มเหลวในการนำภูมิปัญญาและความเชี่ยวชาญของพระมหากษัตริย์ในด้านการ จัดการน้ำมาปรับใช้ หรืออย่างน้อย ก็ไม่ใช้ภูมิปัญญาดังกล่าวอย่างเพียงพอ ดังนั้น จึงนับเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์

    ส่วนชาวไทยที่อยู่ฝั่งเสื้อเหลืองและต่อต้านทักษิณนั้น ก็ได้พยายามบอกกล่าวต่อๆ กันในอินเตอร์เน็ตว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้จัดตั้งศูนย์รับมือภัยพิบัติอีกแห่งหนึ่ง เพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วม

    และในการพิสูจน์หลักฐานดังกล่าว พวกเขาก็ได้เผยแพร่รูปของในหลวงที่กำลังประชุมอยู่กับเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังกางแผนที่อยู่อย่างขะมักเขม้น

    อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่า ภาพถ่ายดังกล่าว มาจากรายงานข่าวโทรทัศน์ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งในหลวงกำลังมีพระราชดำรัสกับผู้บริหารของโรงพยาบาล (ศิริราช) ซึ่งพระองค์ยังคงประทับอยู่ เพื่อหารือการสร้างถนนและการระบายน้ำในบริเวณรอบโรงพยาบาล

    ธรรมชาติของการโจมตีเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฝ่ายต่อต้านทักษิณและต่อต้านเสื้อแดงในการ เมืองไทย ที่ยังยืนกรานกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และสิ่งที่มาเสริมน้ำหนักการโจมตีดังกล่าวให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ก็เห็นจะเป็นความสนพระทัยในเรื่องการจัดการน้ำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวที่มีมาอย่างยาวนาน

    และบางที ยิ่งลักษณ์ก็ชิงป้องกันการโจมตีดังกล่าว ด้วยการเข้าเฝ้ากับในหลวงในปลายเดือนกันยายน เพื่อรายงานสถานการณ์ของรัฐบาลในการจัดการน้ำท่วม และปรึกษากับพระองค์ในเรื่องมาตรการต่างๆ

    ประการที่สาม วิกฤติการณ์น้ำท่วม ซึ่งแสดงถึงการช่วงชิงทางอุดมการณ์เหนือสถาบันกษัตริย์ ใน หลายแง่มุมแล้ว เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด เนื่องจากมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสนพระทัยที่ยาวนานในการจัดการน้ำของ พระองค์ รวมถึงการมีส่วนในการจัดการทรัพยากรน้ำด้วย

    พระมหากษัตริย์ได้ทรงเสนอแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำหลายครั้งผ่านพระราชดำรัสวันคล้ายพระราชสมภพของพระองค์ เขื่อนใหญ่ๆ ในภาคเหนือของไทยตั้งชื่อตามพระนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในขณะที่เขื่อนในภาคอีสานก็ตั้งชื่อตามราชธิดาทั้งสามพระองค์

    นอกจากนี้ กรมชลประทานยังเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 60 พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีพ.ศ. 2530 ด้วยการตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ซึ่งจัดทำโดยผู้อำนวยการของกรมชลฯ ในขณะนั้น ผู้ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาในพระองค์เรื่องการจัดการน้ำ

    ในปีพ.ศ. 2549 มีการจัดงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี และจัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพลังงานน้ำ”

    และในปีเดียวกัน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ยังได้ตีพิมพ์รูปถ่ายที่มีคำบรรยายใต้ภาพว่า
    “ในช่วงที่พระองค์เล่นอยู่ในป่าสวิสฯ ตอนเป็นเด็ก พระองค์ทรงแสดงความสนใจเรื่องการจัดการน้ำด้วยการสร้างเขื่อนจำลองด้วยดินเหนียว”

    นอกจากนี้ ในธนบัตรราคาหนึ่งพันบาท ยังแสดงรูปภาพของในหลวงที่อยู่หน้าเขื่อนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเขื่อนที่พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์อยากให้สร้าง โดยใช้ข้อความที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่ธรรมดาในพระราชดำรัสวันคล้ายวันราชสมภพ ของพระองค์ในปี 2536

    สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาพูดเร็วๆ นี้ว่า วิกฤติการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น สะท้อนความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการน้ำของประเทศไทย และในหมู่คนไทยตอนนี้ ก็มีความเข้าใจมากขึ้นว่า ปัจจัยระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำและพื้นที่รับน้ำ การเจริญเติบโตของเมือง และการทำอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดการน้ำของข้าราชการที่ไม่ยืดหยุ่น และการขาดความรู้ในการจัดการเขื่อน ต่างเป็นสาเหตุที่ชัดเจนของภัยพิบัติครั้งนี้ มากกว่าที่จะโทษเพียงปริมาณน้ำฝนที่มีมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา

    เหล่าผู้สังเกตการณ์การเมืองไทยมีข้อกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ จะมาเชื่อมโยงกับความสนพระทัยส่วนพระองค์ในด้านการจัดการน้ำ และอิทธิพลของพระองค์เหนือการจัดการทรัพยากรน้ำ

    หลายคนกังวลว่า ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในเรื่องนี้ อาจนำไปสู่สิ่งที่มีพลานุภาพทำลายล้างมากพอๆ กับภัยพิบัติน้ำท่วมในครั้งนี้ได้ทีเดียว

    ******
    รายงานเกี่ยวเนื่อง

    -ร้าวลึกการเมืองเรื่องน้ำท่วมนับถอยหลังพังกันไปข้าง

    -สื่อฝรั่งเศส:น้ำท่วมไทยและอุทกรัฐประหาร

    ข่าวส่งเสริมคนดี

    จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

    link to affordable web hosting
    Powered by web hosting provider .

    สถิติการเข้าชม DMNEWS

    eXTReMe Tracker