บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อำนาจสร้างชาติ หรือขบเหลี่ยมแตกหัก [24 ก.พ. 51 - 23:40]

หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว

ถือได้ว่าผ่านพ้นพิธีการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์

คณะรัฐมนตรีสามารถเดินหน้าในการทำงานขับเคลื่อน นโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยผ่านกลไกของรัฐได้เต็มตัว

สั่งราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้อย่างเต็มลูกสูบ

ถึงแม้โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ออกแนว “ขี้เหร่” ตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน แต่สังคมก็กัดฟันให้ โอกาสกับรัฐบาล

เพื่อเป็นการแสดงออกว่า ไม่ยอมรับการรัฐประหาร

เมื่อได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้มีหน้าตาขี้เหร่อย่างไร ก็ทนกล้ำกลืน ยอมให้เวลา ให้โอกาสกับรัฐบาลอย่างเต็มที่

และถึงแม้รัฐบาลจะใช้โอกาสที่สังคมมอบให้ในครั้งนี้ แบบเปลืองมาก

โดยเฉพาะกับการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี

เอาคนที่มีพฤติกรรมความประพฤติไม่เหมาะสมเข้ามารับตำแหน่ง

ทั้งกรณีการแต่งตั้งนายวัน อยู่บำรุง ลูกชายหัวแก้ว หัวแหวนของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.สาธารณสุข

และการแต่งตั้งนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ลูกชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย

สะท้อนให้เห็นถึงการลดมาตรฐานจริยธรรมในการแต่งตั้งบุคคล เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเข้ามาใช้อำนาจรัฐ

ไม่แคร์ความรู้สึกของประชาชน

สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับผู้คนโดยทั่วไป

และจากปมนี้เอง ทำให้นายชนม์สวัสดิ์ ต้องตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ รมว. มหาดไทย เพราะไม่อาจฝืนกระแสสังคมได้

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลชุดนี้จะขี้เหร่ มาตรฐานจริยธรรม ในการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งอยู่ในขั้นถดถอย

แต่สังคมก็ทนกล้ำกลืน ให้เวลา ให้โอกาส

เพราะอยากให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาทำงานแก้ไขปัญหาของ ประเทศที่หมักหมมสะสมอยู่มากมายหลังจมอยู่ในวิกฤติมา 2-3 ปี

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ น้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น สินค้าพาเหรดขึ้นราคา ข้าวยากหมากแพง

ปัญหายาเสพติดที่กลับมาระบาดหนัก ปัญหาอาชญากรรมโจรผู้ร้ายเกลื่อนเมือง รวมทั้งปัญหาความมั่นคง กรณีวิกฤติความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สังคมอยากเห็นรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้

อยากให้คณะรัฐมนตรีนำนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาไปสู่การปฏิบัติ ไม่อยากเห็น ความล้มเหลว

แถมยังช่วยลุ้นให้เกิดผลสำเร็จโดยรวดเร็ว

เพราะต้องการให้ประเทศชาติพ้นจากวิกฤติทั้งปวง พัฒนาเจริญก้าวหน้า ประชาชนโดยส่วนรวมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แต่ในท่ามกลางความคาดหวังของสังคม ก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่รัฐบาลที่ใช้อำนาจได้ตามปกติวิสัยเหมือนรัฐบาลทั่วไป

เพราะโดยพื้นฐานที่มาของพรรคพลังประชาชนที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล

มีอำนาจซ้อนอำนาจอยู่

อย่างที่รู้ๆกันโดยทั่ว ไปว่าสถานภาพของรัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลตัวแทน นายกรัฐมนตรีนอมินี รัฐมนตรีหุ่นเชิด

เพียงแต่ไม่มีการพูดออก มาชัดๆ

เพราะยังมีคดีที่พรรคพลังประชาชนถูกร้องเรียนว่าเป็นนอมินี พรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอาจเป็นเหตุนำไปสู่ การตัดสินยุบพรรครอบสองได้

แต่ถ้ามองถึงความเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง และความเป็น “นายใหญ่” ของพรรคพลังประชาชน

ย่อมทำให้รัฐบาลชุดนี้ เหมือนมีนายกฯ 2 ร่าง ซ้อนกันอยู่

ร่างหนึ่งมีสถานภาพในทางเปิดเผยชัดเจน คือ

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี

อีกร่างหนึ่ง เป็นใครก็เห็นๆกันอยู่ แต่จับต้องไม่ได้

อย่างการเปิดฉากการทำงานของนายกรัฐมนตรี ภารกิจสำคัญ คือ การเดินทางไปเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อแนะนำตัว

เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทั้งลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย

จากนั้นก็จะต้องไปเยือนประเทศมหาอำนาจและประเทศคู่ค้าทั้งหลาย อาทิ จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย

ตรงนี้ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นำใหม่ เป็นธรรมเนียมของสังคมโลก

แต่ก่อนที่นายสมัครจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 3 มีนาคม ตามกำหนดการที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานงาน

ก็มีกระแสข่าวออกมาว่า ทางสมเด็จฮุนเซนเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมตีกอล์ฟที่กัมพูชา ในวันที่ 3 มีนาคมเช่นเดียวกัน

ช่วงจังหวะพอดิบพอดีกับที่นายกฯสมัครเดินทางไปเยือน

แม้นายสมัครออกมายืนยันว่า ไม่รู้เรื่องนี้

พร้อมเน้นย้ำ “ถ้าจะมีการเจอกันผมควรจะต้องรู้ และถ้าพูดกันที่สุดแล้วผมเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะต้องไปเจออดีตนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยทางฝ่ายโน้นจะต้องแจ้งให้ผมรู้หน่อย นี่ผมไม่รู้เลย ไม่มีการบอก ไม่มีการนัดหมาย จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น”

เรื่องนี้เป็นแค่ช็อตแรก แต่ก็ทำให้คิดไปถึงบทบาทของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

เพราะการเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกของนายนพดล โดยได้เป็น รมว.ต่างประเทศ เครดิตสำคัญคือ เป็นทนายคู่ใจของ “ทักษิณ”

สังคมระหว่างประเทศเข้าใจอยู่แล้วว่า นี่คือสายตรง “นายใหญ่”

ฉะนั้น เมื่อให้เครดิตอดีตนายกฯทักษิณที่กว้างขวางในเวทีต่างประเทศ ก็ต้องให้เครดิตกับนายนพดล

อย่างไรก็ตาม ในยุคโลกไร้พรมแดน การสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันหมด การเคลื่อนไหวต่างๆของนายนพดล และ “นายใหญ่” บนเวทีต่างประเทศ

เสมือนมีสปอตไลต์คอยส่องอยู่ตลอดเวลา และยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องไปเยือน ฉะนั้น ต้องคอยติดตามดูว่าจะขยับขับเคลื่อนกันไปในแนวทางไหน

แต่ที่แน่ๆมีร่องรอยให้เห็นแล้วในการไปเยือนกัมพูชาของนายกฯสมัคร ที่มีเงาร่างของ “ทักษิณ” ตามประกบ

นอกจากนี้ เมื่อโฟกัสไปที่การนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล โดยเฉพาะกระทรวงที่เป็นหัวใจหลักและเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ

ทั้งกระทรวงการคลัง ที่ดูแลเรื่องตลาดเงิน ตลาดทุน ภายใต้กำกับของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง

กระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลเรื่องการซื้อขาย นำเข้า ส่งออก ภายใต้กำกับของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์

ล้วนแต่เป็นสายตรง “ทักษิณ” ทั้งสิ้น

การดำเนินการสั่งการให้ทำงานสอด-คล้องกันมาจากประเทศไหน มุมไหนของโลกก็ได้

ร่างเงาของนายกฯอีกคน ที่เห็นๆกันอยู่ แต่จับต้องไม่ได้ สามารถสั่งการได้

นอกจากนี้ในส่วนกระทรวงอื่นๆที่มีรัฐมนตรีหุ่นเชิดเข้ามากำกับดูแล ในทางลึก “นายใหญ่” ก็ได้จัดส่งทีมงานเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงานให้ทั้งหมดอยู่แล้ว

ในขณะที่นายกฯสมัครที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคมนาคม อยากดูแลแผนเมกะโปรเจกต์แบบครบวงจร

ด้วยเหตุนี้ แม้ “นายใหญ่-นายหญิง” ส่งคนสายตรงอย่างนายสันติ พร้อมพัฒน์ เข้ามานั่งเก้าอี้ รมว.คมนาคม

แต่นายสมัครก็มอบหมายงานให้คนสนิทอย่างนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ เข้าไปกำกับดูแลงานในส่วนของกระทรวงคมนาคมโดยตรง

จากภาพที่ปรากฏ การบริหารของรัฐบาล “นายกฯ 2 ร่าง” ชัดเจนว่า

ร่างแรก ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ดูแลงานกระทรวงที่เป็นหัวใจหลัก ทั้งด้านการต่างประเทศ และด้านเศรษฐกิจ

อีกร่างหนึ่ง ในฐานะนายกฯนอมินี ดูแลโครงการเมกะโปรเจกต์ภายในประเทศ

ถ้าทั้ง 2 ร่าง ประสานงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ใช้เวลาและโอกาสที่สังคมมอบให้

ทำงานเพื่อชาติอย่างจริงจัง

ก็จะส่งผลดีต่อประเทศและประชาชนโดยส่วนรวม

แต่ถ้าการทำงานเกิดปัญหาแตกคอกัน ต่างคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตคอรัปชัน

ย่อมส่งผลร้ายต่อประเทศ

อีกทั้งผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว จะพุ่งเข้าใส่ รัฐบาลเต็มๆ

เหนืออื่นใด เมื่อรัฐบาลชุดนี้ชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก สังคมให้โอกาสในการทำงาน ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น

เวลาจะให้คำตอบ

“องคุลีมาล” จะกลับใจได้หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์กัน.

ทีมการเมือง

คอลัมน์ ข่าวการเมือง(วิเคราะห์)

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker