เราจะเห็นตั้งแต่การเริ่มยึด TPBS ของ "สื่อมวลชนสายอำมาตย์" ทั้งหลาย และเริ่มขยายผล กรณี 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นมาทันที และก็มีการประสานเสียงไปยังเหล่าพวกพ้องทั้งหลาย มีการรับลูกส่งลูก จนเราสังเกตุกันเห็นได้ชัดว่าทำเป็นขบวนการ มีคนหนึ่งร้อง ที่เหลือกก็รับลูกกันในทันทีเหมือนกัน
กลุ่มพันธมิตรเพื่อรัฐประหาร อย่าง นายสุริยะใส ที่คอยเป็นหมากของพวกสื่อสายอำมาตย์เหล่านี้ เริ่มเขี่ยลูกฟุตบอล ก็เริ่มออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างกระแสขึ้นในทันที
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผมเห็นว่า มันเป็นเกมการเมืองที่พยายามสร้างขึ้น เหมือนกับเป็นการ “เริ่มยกที่สามของการต่อสู้ทางการเมืองที่ไม่จบยอมจบสิ้น” ต่อไปอีกในประเทศนี้ เพื่อให้การขัดแย้งกันขยายผลออกไปอีก คือ ยังจะเล่นไม่รู้จักเลิกนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมกล่าวถึงมานั้นคือ การเดินเกมของพวกชนชั้นนำในกลุ่มอำมาตย์ทั้งหลาย อาจจะเกิดจากการวางแผนกัน หรือการเล่นการตามจังหวะก็ได้ ดรงนี้ผมไม่รู้ แต่พอประเมินได้ว่า มีการพยายามพลิกเกมเพื่อให้ฝ่ายของตนกลับมาอีก
แต่กระแสอีกอันหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ จากประชาชนเดินถนนทั่วไปของทั้งสองฝ่ายคือ "ความเบื่อหน่ายของประชาชน ต่อความขัดแย้งที่ไม่รู้จักจบสิ้น" และไม่ได้นำไปสู่อะไร นอกจากความเดือดร้อนของชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้นำพาประเทศชาติก้าวหน้าไปสู่สิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความฉิบหายของประเทศ
ตัวอย่างชัดเจนของคนที่ทำงานผม พวกที่เกลียดทักษิณ และเชียร์ ปชป. ที่ผมเรียกเป็นกลุ่ม "แม่บ้าน" (ไม่ใช่แม่บ้านของสำนักงาน แต่ผมเรียกพวกผู้หญิงหัวอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย) ตอนนี้ยอมรับแล้วว่า การเมืองต้องเป็นไปตามกติกา และการเล่นนอกกติกานั้นไม่มีทางทำให้วิกฤตการณ์จบไปได้ เมื่อฝ่าย พปช. ชนะในการเลือกตั้ง คนเหล่านี้เรียนรู้ในหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาว่า "ต้องยอมรับผลของการเลือกตั้ง" เพราะไม่อย่างนั้นวิกฤตการณ์ไม่จบสิ้น
สิ่งที่พวกแม่บ้านคุยกับผมอีกอย่างหนึ่งคือ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ชอบพรรค พปช. อยู่ แต่พวกเขาก็ไม่เห็นด้วยกับเกมการยุบพรรคอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้ดีว่า มันไมได้นำไปสู่อะไรทั้งสิ้น เพราะมันก็จะเกิดพรรค พปช. ชื่อใหม่อีก แต่การเมืองไม่ได้เปลี่ยนขั้วแต่อย่างใด เป็นเกมการเมืองที่ไม่ได้นำไปสู่อะไรทั้งสิ้น นอกจากจุดไฟแค้นของทั้งสองฝ่าย ว่าเล่นไม่รู้จักเลิก
สรุปแล้ว คนเหล่านี้เรียนรู้ที่จะยอมรับว่า การเมืองต้องเป็นไปตามกติกา และเปิดโอกาสให้รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชทำงานไป
พวกแกนนำกลุ่มอำมาตย์ทั้งหลาย จะปลุกกระแสอย่างไร ผมเห็นว่าตอนนี้ประชาชนจะนิ่งเฉยครับ หรือเลิกสนใจไปเลย เพราะพวกเขาเบื่อหน่าย
เขาได้รัฐบาลมาจากเลือกตั้งแล้ว ประเทศเข้าสู่เส้นทางปกติที่ชนชาวโลกทั้งหลายเขายอมรับกันแล้ว จะชอบหรือไม่ชอบรัฐบาลอย่างไรก็ตาม ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่อดทนและรับได้แล้วครับ ไม่บ้าไปตามกลุ่ม "พันธมิตรเพื่อรัฐประหาร" หรือ "สื่อเสี้ยม" ทั้งหลายอีกแล้ว
จะเห็นได้ว่า ไฟ 6 ตุลาคม 2519 ก็เห็นแค่เล่นโยนกันไป โยนกันมาในสื่อเท่านั้น มีองค์กรที่เป็นตัวแสดงของคนพวกนี้ ลุกขึ้นมารำตามเล็กน้อย แต่ผมเห็นชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก ไม่เกี่ยวกับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่พวกเขาเผชิญอยู่ขณะนี้
และที่ผ่านมาหนึ่งปีนี้ ผมคิดว่าชาวบ้านเขาคิดว่า "มันเล่นเกมกันมากเกินไปแล้ว" จนชาวบ้านชาวเมืองเขาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว
สรุปคือ แม้กลุ่มอำมาตย์จะพยายามจุดไฟขึ้นมา แต่ผมว่าประชาชนทั่วไปจะไม่สนใจเท่าไหร่
อย่างผมตอนนี้ ข่าว 6 ตุลาคม หรือความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่อ่านครับ เบื่อ ขี้เกียจสนใจ และรำคาญด้วย
อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นชาวบ้านเขานิ่งเฉย คือการย้ายพวกข้าราชการที่ได้ดีมาจาก คณะรัฐประหาร สื่อจะสร้างกระแสอย่างไร หรือพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาตีกินอย่างไร ผมรู้สึกว่าชาวบ้านเขานิ่งเฉย เพราะในหนึ่งปีที่ผ่านมายุค รัฐประหาร ผู้มีอำนาจในขณะนั้นก็ย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม และข้าราชที่ได้ดีตอนนั้นก็มาจากอำนาจ เมื่อขึ้นมาไม่ถูกต้อง จะโดนเองบ้าง ชาวบ้านทั่วไปเขารู้สึกถึง “กฎแห่งกรรม” เป็นอย่างดีครับ ทำอะไรไว้ ก็ได้อย่างนั้นเป็นการตอบแทนนั่นเอง ตอนนี้ผมว่าประชาชน เริ่ม ชินชา ไม่มีความรู้สึกแล้วครับ
หาก กลุ่มอำมาตย์จะปลุกกระแส ต่อต้านทักษิณ ตอนทักษิณกลับประเทศ ผมว่า คงจะมีแต่พวกแกนนำไล่ทักษิณครั้งก่อนเท่านั้นที่เต้นอยู่ข้างเดียว ส่วนประชาชนที่จะลงไปบนถนน เหมือนปีที่แล้ว ผมว่าไม่มีแล้วครับ และที่ผมทราบนั้น มวลชนของ “กลุ่มพันธมิตรเพื่อรัฐประหาร” ส่วนใหญ่ คือ พนักงานของทีพีไอสายนายประชัย กลุ่มคนใต้ ที่ ปชป. เกณฑ์มา กลุ่มแฟนพันธ์แท้ของนายสนธิ ที่มีประมาณ 5,000 คน ในยุคที่ Peak รวม ๆ แล้วประมาณ 40,000 คน ผมไม่คิดว่า พวกนี้จะสามารถเกณฑ์คน 40,000 คน ลงถนนได้อีกต่อไปแล้ว
และแม้จะเกณฑ์ได้ หากไม่มีการทำรัฐประหาร ก็ไม่ทำให้รัฐบาลสมัคร ล่มได้แต่อย่างใด
พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน จะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน อีก ชะตากรรม ของ พล.อ.สนธิ
การเมืองไทย แม้จะมีคนพยายาม จุดกระแสอีก ผมไม่คิดว่ามันจะจุดติดแล้ว วิกฤตการณ์มันนานเกินไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนขั้วอำนาจไมได้ จะเริ่มวัฎจักรชั่วร้ายอีกรอบ ผมว่าไม่มีใครเอาด้วยอีกแล้ว
จาก ไทยฟรีนิวส์