สหายนักศึกษาในสายตาปัจจุบัน-ภาพลักษณ์ที่คนในยุคนี้รับรู้เกี่ยวกับการไปใช้ชีวิตต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยของนักศึกษา-ปัญญาชนหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในภาพยนตร์แนวคอมมอดี้เรื่อง"ฟ้าใสหัวใจชื่นบาน"(บน) หรืออาจรับรู้ผ่านชีวิตผู้นำนักศึกษาอย่างภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลาสงครามประชาชน(ล่าง) สำหรับบทความชุดนี้จะว่าถึงชีวิตของสหายนักศึกษาที่คนเขียนบอกว่าเป็นเพียงผู้ปฏิบัติงาน"ระดับล่างสุด"คนหนึ่ง
โดย วันลา วันวิไล
ที่มา หนังสือเรื่อง"ตะวันตกที่ตะนาวศรี"
25 ตุลาคม 2552
คำนำ
มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับการเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของ พ.ค.ท. ในป่าเขา ทั้งในรูปของเรื่องเล่า บันทึก เรื่องสั้น และนวนิยาย ในจำนวนเหล่านั้น ส่วนมากมักจะถูกกลั่นกรองจากสายตาและทัศนะของนักเขียน ศิลปิน อดีตผู้นำนักศึกษาในยุค 14 ตุลา ตลอดจนผู้นำในขบวนการปฏิวัติ
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมตั้งใจจะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วมขบวนการในป่ายุคหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา นั้น แต่ด้วยสายตาและทัศนะของผู้ปฏิบัติงาน "ระดับล่างสุด" เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง เชื่อมโยงกับความเข้าใจพื้นๆโดยไม่ต้องมีทฤษฎีวิเคราะห์ใดมาชี้นำ
อย่างไรก็ตาม ผมทิ้งบันทึกคร่าวๆไว้ร่วม 20 ปี จึงได้จับมาปัดฝุ่นแล้วเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ ด้วยความปรารถนาจะให้เหตุการณ์ผ่านไปให้เนิ่นนานพอที่จะให้เหลียวแลไปข้างหลัง แล้วมองปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอย่างพินิจพิจารณา และไม่มีฉันทาคติ รวมทั้งเอาความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันที่เติบโตและเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อนมาจับและอธิบาย
ผมไม่เคยเชื่อในหลักความเป็นกลาง แต่ไม่ได้ต้องการจะโน้มน้าวใครด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทัศนะที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นเพียงความรู้สึก ไม่ได้มีข้อทฤษฎีทางวิชาการใดมาสนับสนุน แต่ผมก็เชื่อและคิดอย่างที่เขียน
แม้จะไม่ค่อยหวังว่าจะมีคนอ่านมากนัก แต่สำหรับผู้ที่ได้อ่าน ถ้าเป็นผองเพื่อนที่เคยผ่านร้อนหนาวคล้ายกันก็ให้ถือเสียว่าเป็นการอ่านแก้เหงาดีกว่าอยู่เปล่าๆ
ถ้าเป็นเพื่อนพี่น้องที่ไม่เคยรู้เห็นเรื่องเหล่านี้ก็ขอเพียงให้รู้ว่ามันเคย "มี" เรื่องเช่นนี้ก็พอแล้ว ผมไม่เคยต้องการคำถามและคำตอบที่ชัดเจน และเชื่อว่าสิ่งที่เราอยากรู้ต่อไปมันอยู่ใน อนาคต และการใฝ่หาของทุกคนมากกว่า @
1.วันลา

ช่วงเวลานั้นผมกินข้าวมื้อละ 5-6 คำเท่านั้น ที่ทำอย่างนั้นเพราะรู้สึกว่า
มันมีอย่างอื่นต้องทำสำคัญกว่าการกินข้าว นั่นคือ การนั่งเฉยๆ
เมื่อถึงเวลาอาหาร เสียงระฆังที่ทำจากแผ่นเหล็กเขรอะสนิมก็ดังรัวขึ้น พวกเราเดินไปที่ลานบริเวณหน้าโรงครัว ถือช้อนชามส่วนตัวไปด้วย บางคนช่วยตักกับข้าวใส่จานสังกะสีหรือชามอะลูมิเนียมตั้งไว้แล้ว โต๊ะกินข้าวทำด้วยแผ่นปีกไม้ลวกๆ โย้เย้จนต้องเอาเชือกผูกขามัดกับโคนต้นไม้ ยามลมพัดแรงใบไม้กิ่งไม้ปลิวว่อน บ้างก็ตกลงมาในชามกับข้าว ถ้าเป็นช่วงหลังฝนตก สะเก็ดน้ำเย็นฉ่ำจะพรูลงมาปนกับน้ำแกง
ผมตักข้าวปนมัน 1 ทัพพี ตักแกงกับผักราดลงไปแล้วยืนกินเงียบๆ กับรสชาติอาหารที่คุ้นเคย มันก็อร่อยพอกินได้ แต่ผมไม่ค่อยอยากกิน เพราะจะรีบไปนั่ง. . . . . นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ทำผ่านมาและจะทำต่อไป เป็นการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง. . . . . .อีกครั้ง
คืนวันที่ 9 ตุลาคม 2523 ผมนอนไม่หลับเลย เสียงลมและสายฝนปรอยๆ เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่ายังมีความเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด รีบจัดข้าวของเสร็จตั้งแต่หัวค่ำ ใจก็คิดว่าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จริงสิ่งของที่เก็บก็แสนจะจุกจิก ไม่รู้ว่าจะเก็บและเอาอะไรไปได้บ้าง ทั้งของที่ว่าก็แทบไม่มีอะไรที่พอจะเรียกเป็นสมบัติติดตัวเลย ยามฝนตกในเทือกเขา ยิ่งดึกก็ยิ่งอากาศเย็น ผมนอนคิดว่ามีใครบ้างหนอที่ตั้งใจจะทำงานนี้ต่อไปแม้จะต้องยืนหยัดไปอีก 10 ปี, 20 ปี, 30 ปี หรือจนตัวตาย ผมตัดสินใจเร็วเกินไป หรืออยู่ที่นี่นานเกินไปกันแน่
ผมนอนดูขื่อและแปไม้ไผ่เลือนๆในความมืด ใจก็คิดเรื่อยเปื่อย ถึงวันพรุ่งนี้ซึ่งต้องเดินจากที่นี่ไปไม่หวนมาอีก คิดถึงวันต่อๆไป ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร จะไปอยู่ตรงไหน คิดถึงแม่ และอดคิดย้อนกลับไปเมื่อได้กลับไปเยี่ยมแม่ที่กรุงเทพฯเมื่อหกเดือนก่อนไม่ได้
หลังจากที่จากแม่มาอย่างเงียบๆ พี่เขียนจดหมายมาบอกว่าเกือบ 2 ปีที่ค่ำคืนผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน แม่นอนป่วยและร้องไห้เพราะคิดถึงลูกคนเล็ก แล้วคาดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้พบหน้ากันอีก
ผมหายไปจากแม่ถึง 3 ปีครึ่ง แต่แล้วในบ่ายเดือนเมษายนที่แสงแดดร้อนเร่า ขณะที่ผมเดินเลี้ยวเข้าซอยบ้านพี่ มีรถถอยเข้าออกสับสน ผมเห็นแม่กำลังก้าวลงมาจากรถสองแถวอย่างบังเอิญ ก็เดินเข้าไปเรียก พอแม่เห็นผมก็หน้าซีด พูดไม่ออก ทรุดลงนั่งกับพื้นถนน ต้องขอยาดมชาวบ้านมาช่วย เมื่อพยุงกลับถึงบ้าน แม่จึงร้องไห้ออกมาอย่างเต็มกลั้น
ผมคิดว่าผมใจดีที่ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่แม่บอกว่าผมใจดำ
7 วันต่อมาผมทิ้งจดหมายไว้แล้วหายตัวไปจากแม่อีกครั้ง หลายเดือนที่ได้เฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองจนคืนนี้จึงตัดสินใจว่าจะกลับบ้านแล้ว เสียใจ ? ผิดหวัง ? ล้มเหลว ? ก็ไม่ได้ฟูมฟายมากนัก ชีวิตเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบเองอยู่ดี มาก็ได้มาแล้ว ไปก็จะไปแล้ว มันจะยังไงอีก เพียงแต่ไม่รู้จะบอกแม่ว่าอย่างไรเท่านั้น ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้ผุหักลงดังโครมที่ไหนสักแห่ง รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ คลอเบ้าตา
เช้าวันที่ 10 ตุลาคม 2523 เมื่อเก็บของเสร็จแล้วทุกคนไปรวมกันกินข้าว
ยังสลัวๆ มัวๆ เหมือนมีหมอกหรือม่านบังตา รู้สึกใจหายจนกินข้าวไม่ลง มื้อนี้เป็น
ข้าวขาวแทนที่จะเป็นข้าวปนมันสำปะหลัง นัยว่าเป็นการเลี้ยงส่ง ทุกคนกินข้าว
อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างร่าเริงหรือหยอกล้อกันเหมือนเมื่อก่อน
4 ปีที่นอนกลางดินกินกลางทรายด้วยกันทำให้ผูกพันกันแนบแน่น เมื่อถึงเวลาออกเดินทางหลายคนมายืนรอจับมืออำลา ไม่มีน้ำตาทั้งๆ ที่รู้ว่าสำหรับบางคนคงจะไม่ได้พบกันอีก
ผมออกเดินมือเกะกะระใบไม้จนชุ่มน้ำค้างเย็นเฉียบ ปกติก่อนนั้นยามเดินมีเครื่องเป้อยู่บนหลังในมือก็ต้องถือปืนด้วย เป็น M16 เก่าๆ ที่ไม่เคยได้เหนี่ยวไกยิงเลยตลอดเวลาที่ถือมัน
คณะเดินทางเดินข้ามน้ำข้ามเขา และพักตามจุดพักอยู่ 3 คืน พอวันที่ 4 เดินทางแค่ครึ่งวันก็ถึงที่พักตีนเขา ทุกคนผูกเปลนอนอย่างเงียบๆ ความจริงก็เงียบตลอดการเดินทางทั้ง 4 วัน เหมือนกับว่าต่างคนต่างครุ่นคิด และคาดเดาว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร อากาศค่อนข้างร้อนน่าอึดอัด ตกเย็นต่างช่วยกันหุงข้าว พอกินข้าวเสร็จก็จัดของส่วนตัวพวกเสื้อผ้าคนละตัวสองตัวใส่ถุงกระดาษ ส่วนเครื่องนอน อันมีเปล มุ้ง ผ้ายางหลังคา และเป้รวมทั้งหม้อสนาม ถ้วยช้อนทั้งหมดทิ้งไว้ที่นั่นแล้วออกเดินทางไปที่ที่รถจะมารับกลับเมือง
ทางเดินช่วงนั้นไกลมาก พอตกค่ำก็มืดสนิทใช้ไฟฉายส่องนำทางไม่ได้ด้วยกลัวจะมีคนเห็นแสงไฟ ขึ้นลงเนินลูกแล้วลูกเล่า บางตอนก็เป็นไร่ข้าวโพด อยู่ที่สูงมองเห็นแสงไฟลิบๆ ของรถยนต์บนถนน ราวสัก4 ทุ่ม ก็ลงถึงที่ราบเป็นทุ่งหญ้าคาสูงถึงไหล่มียุงชุมมาก ทุกคนหาที่นั่งพักปัดยุงในป่าหญ้าคานั้น ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทหารเป็นชุดธรรมดาเสื้อเชิ้ตขาวลายเส้นแดงแขนยาวพับแขน ยังนึกว่าตัวเองคงจะหล่อน่าดูในชุดเช่นนั้น เพราะ 4 ปีมาแล้วที่ใส่เสื้อผ้าสีเขียวทหารหรือไม่ก็สีดำ
นั่งคอยอย่างกระวนกระวายอยู่นานมาก อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งผ่านไม่ไกลนัก 2 ชั่วโมงต่อมาก็มีรถกระบะแล่นเข้ามาจอด มีเพื่อน 2 คนเดินสวนทางกลับเข้าไปขณะที่เราจะออก เขาไปอยู่ที่อื่นเสียเกือบสองปี เวลาฉุกละหุกเราเดินผ่านกันโดยไม่ได้ทักทายเลย ผมขึ้นรถด้วยใจแป้ว รถวิ่งออกอย่างรวดเร็วทิ้งพวกเขาไว้ให้เดินทางกลับข้าไปอีกครั้ง
ในเส้นทางที่สับสน คนเราบางครั้ง บางช่วงมักจะเดินสวนทางกันกับคนอื่น สวนทางกับเหตุการณ์ สวนทางกับยุคสมัย แม้กระทั่งบางคนอาจสวนทางกับตัวเอง
รถวิ่งผ่านความมืด ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน พอรู้ตัวว่าเป็นถนนใหญ่ก็เริ่ม โล่งอก บางคนเริ่มพูดถึงบ้านพูดถึงพี่น้อง ถึงด่านตำรวจก็ทำพูดคุยเฮฮาให้ดูว่าเป็นพวกท่องเที่ยวและให้ผู้หญิงเป็นคนตอบคำถาม ราวตี 4 ก็ถึงตลาด พวกเราลงไปนั่งกินข้าวต้มได้ยินเสียงเพลง “ลำน้ำพอง” (ร้องโดย ชรัมภ์ เทพชัย) จากตู้เพลง เป็นเพลงที่ไพเราะจับใจ หลังจากไม่ได้ฟังเพลงฮิตที่คนทั่วไปเขาฟังกันกับเครื่องเสียงอย่างดีมานาน
รถถึงกรุงเทพฯในเช้ามืดของวันที่ 14 ตุลาคม 2523 บนถนนหนทางผู้คน
ยังบางตารถก็ไม่ติด เป็นวันใดของสัปดาห์ก็จำไม่ได้ เพราะชีวิตในป่าก่อนหน้านั้ นบางครั้งวันอะไรก็ไม่ได้มีผลอะไรมากนักกับชีวิตประจำวัน ผมลงรถที่ประตูน้ำกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง หลังจากเที่ยวตระเวนส่งคนอื่นๆ ตามบ้านหมดแล้ว รู้สึกว่าอะไรๆ มันแปลก และผิดปกติไปหมด 2 คนเดินอย่างเลื่อนลอยพอหิวก็ไปหาข้าวแกงกินกันอย่างว้าเหว่ ผู้คนที่เดินผ่านคล้ายกับไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อนในชีวิต
รู้สึกเหมือนเล่นละครเรื่องยาวจบลงแล้วตัวเองยังจมอยู่กับบทบาทนั้นไม่หาย ทั้งขัดเขินและเดียวดายไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และจะเริ่มอย่างไรต่อไป

