บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทำไมไทยจึงไปไม่ถึงโลกดาวอังคารสักที????.....


โดย : ป้าพลอย

วันพฤหัสบดีที่ 30 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2551

ในยุคที่เจริญแล้วนี้ไม่คิดเลยว่าจะยังมีคนหัวโบราณยังอยู่ในโลกใบนี้ ใครทราบช่วยแถลงไขให้คนที่ไม่ทราบให้ได้ทราบด้วย ตัวป้าเองก็อายุครึ่งค่อนคนไปแล้วไม่เห็นมีความคิดโบร่ำโบราณอยู่ในสมองเลย คิดแต่โลกใหม่ๆว่าทำอย่างไรจึงจะไปให้ถึงยังโลกดวงดาวแข่งกับอเมริกาที่ได้ไปเยียบพระจันทร์มาแล้ว

แต่โลกใหม่ที่อเมริกายังไปไม่ถึงเพราะหมดงบคือดาวอังคาร ตอนนี้สหภาพยุโรปรวมตัวกันกับรัสเซียจะปล่อยยานอวกาศขึ้นไปสำรวจยังดาวอังคารในไม่ช้านี้ ทำไมคนฝรั่งมันช่างคิดไปไกลจริงหนอน่าอิจฉาพวกเขา หันกลับไปมองไทยแลนด์บ้านเกิดมันเศร้า เศร้าที่สุด คนต่างประเทศพวกที่เรียนสูงๆ เขาต่างช่วยประเทศร่วมกันพัฒนาหาข้อมูลวิจัยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ต่างคิดค้นสิ่งใหม่ๆในระบบเทคโนโลยีใหม่ ต่างร่วมมือกันค้นคว้า แม้แต่ระดับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย เขาจะทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจังไม่มีใครมาเล่นการเมือง หรือออกมาสนับสนุนการเมืองพรรคไหน ต่างทำหน้าที่ของตน หน้าที่การเมืองปล่อยให้เป็นงานของนักการเมืองถล่มกันเอง โดยที่ไม่มีนักวิชาการคนไหนเข้ามาแทรกแซง เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ของตนที่รับผิดชอบไม่เข้าก้าวก่ายกัน

จะเห็นได้ว่าทุกองค์กรเขามีระเบียบวินัยผิดกับประเทศไทยเล่นแทรกแซงมั่วไปหมดบางอย่างไม่ใช่หน้าที่ของตนก็ยัง ส.เข้าไปจุ่นจ้านขาดวินัย ทั้งที่ร่ำเรียนมาสูงๆจบมีปริญญามาจากต่างประเทศอย่างโก้หรูทั้งนั้น แต่เปล่านอนกอดมันเอาไว้เฉยเลย ส่วนใหญ่ที่เห็นทำได้แค่ภาคทฤษฏี แต่ภาคปฏิบัติละที่ร่ำเรียนมาทำไมจึงไม่นำเอามาใช้แบบต่างประเทศบ้าง? ลองประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งให้โลกตลึงบ้างซิ? ประเทศเกาหลีใต้เขายังผลิตรถยนต์เอามาขายแข่งกับยุโรปเลย ฝรั่งยังซื้อขับกันมากมาย ประเทศไทยทำไมจึงต้องซื้อของต่างประเทศมาใช้? ญี่ปุ่นครองตลาดไทยมาหลายสมัย แล้วสินค้าในไทยมีแต่ของญี่ปุ่นแทบทุกอย่าง ประเทศไทยเสียดุลการค้ากับญี่ปุ่นปีหนึ่งเท่าไหร่? แล้วคนไทยเคยสังเกตบ้างมั๊ยว่า

สินค้าญี่ปุ่นที่ส่งไปขายในประเทศไทยและส่งไปขายยังต่างประเทศในเครือยุโรปมันแตกต่างกันเพียงใด? เอาง่ายๆบะหมี่ญี่ปุ่นที่ส่งมาขายในยุโรปเส้นหมี่ต้มแล้วจะนิ่มอร่อยรวมทั้งเครื่องปรุงก็ผิดกัน บะหมี่ญี่ปุ่นที่ส่งมาไทย หรือผลิตที่ไทยเส้นจะแข็งไม่นิ่มไม่เหมือนที่ส่งเข้าตลาดในต่างประเทศ เพราะได้ทดลองกับตัวเอง เพราะอะไรหรือเพราะว่าหากผลิตคุณภาพต่ำทางการต่างประเทศที่ตรวจสอบเกี่ยวกับอาหารเขาจะทดสอบของทุกชนิดก่อนออกมาจำหน่าย หากตรวจแล้วพบว่าคุณภาพต่ำเขาจะสั่งห้ามเข้าประเทศ เมื่อเร็วๆนี้ก็ได้ตรวจพบในบะหมี่ที่ชื่อว่ามาม่าของไทยในเครื่องปรุงพบสารชูรสมากเกินอัตรา ซึ่งอันตรายสำหรับผู้บริโภคที่กินเข้าไปมากๆ และก็สั่งห้ามใบมะกรูดไทยเข้ามา เพราะในใบมะกรูดตรวจแล้วพบเชื้อราตามใต้ใบที่มีจุดด่างสีดำๆเกาะอยู่ ร้านค้าของเอเชียทุกร้านต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ ฝ่าฝืนโดนปรับแพงมากและปิดร้านไปเลย เหมือนเช่นร้านอาหารหากในครัวสกปรกเตือนครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ยอมปฏิบัติสั่งปิดทันทีเมื่อมาตรวจพบคราวต่อไปร้านยังอยู่ในสภาพสกปรกเหมือนเดิม

นี่คือตัวอย่างกฎในต่างประเทศที่เป็นข้อบังคับของเขา ในประเทศไทยไม่ทราบว่าทำแบบต่างประเทศหรือเปล่า? นี่คือเรื่องจริง ฉะนั้นคนไทยที่อยู่ยังต่างประเทศจึงบริโภคอาหารทุกชนิดได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี สมองก็โปร่งเพราะผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดปราศจากสารพิษใดๆในอาหารในผักและในเนื้อสัตว์ต่างๆ นี่คือกฎหมายต่างประเทศ จะเห็นเขาพัฒนาทุกอย่างแม้แต่เรื่องสุขภาพของประชาชน ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต่างห่วงใยการกินอยู่ของประชาชนเข้มงวดตรวจตราของทุกอย่าง คิดแล้วเศร้าบ้านเราเทียบเขาไม่ได้จริงๆ


จาก thaifreenews

ผบ.สส.ชี้หน้าที่ตร.เคลียร์เหตุบึ้มกรุง2จุด

วันนี้ (30 ต.ค.) พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่าเหตุการณ์ระเบิดกลางกรุง 2 จุดเมื่อกลางดึกวันนี้ (29 ต.ค.) ว่าจะนำไปสู่ความแตกแยกหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง

นอกจากนี้ผบ.สส. ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะต่อสายเข้าความจริงวันนี้ ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ว่า ส่วนตัวไม่เคยพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหารก็ตาม และคงจะไปแนะนำอะไรมากไม่ได้ เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีเองก็เป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ทั้งนี้ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่ากรณีของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ ในฐานะที่ถูกศาลพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งบอกแต่เพียงว่าขณะนี้ได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาและต้องไปตรวจสอบกับนักกฎหมายเอง


ของของใครของใครก็ห่วง

บทความ โดย ปูนนก

ผมตั้งชื่อหัวข้อบทความเป็นเนื้อเพลงเพื่อให้ทุก ๆ ท่านที่อ่านบทความนี้ ได้รู้สึกบรรเทาการวิตกกังวลจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไปได้บ้าง ท่านทราบหรือไม่ว่ากว่าที่เพลงหนึ่งเพลง จะแต่งเนื้อเพลงสำเร็จออกมาให้นักร้องได้ร้องกันนั้น มันมีเบื้องหลัง มีที่มา มันมีความหมาย และเพลงทุก ๆ เพลงนั้นสามารถที่จะนำมาใช้ประกอบเข้ากับชีวิตใด ๆ ของเราตามแต่สถานการณ์ได้

เพลง หวงรัก เพลงนี้ท่าน ม.ร.ว ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ได้ขับร้องไว้อย่างไพเพราะมาก มีเนื้อเพลงดังนี้ครับ ของของใคร ของใคร ก็ห่วง ของใครใครก็ ต้องหวง ห่วงใย รักใคร่ ถ-นอม ใคร จะชิง ของ ใคร ใครยอม ถึงจน อด ออม ไม่ยอมขาย ให้ใคร.... รักของใคร ของใคร ก็ห่วง ของใคร ใครก็ ต้องหวง ห่วงคน รักดั่ง ดวงใจ ใคร จะยอม ยก ไป ให้ใคร รัก ใคร ก็ใคร ต่างหวงไว้ ครอบ ครอง…….เธอ เป็น ของ รัก ของหวงที่ห่วงอาลัย เป็น ดวง ใจ ฉัน จึง ห่วงใย ใฝ่ปอง กายและใจของเราต่างเป็น เจ้าของ หากไม่ครอบครอง เดี๋ยวของรักต้องหลุด ลอย ไป..... รัก จริง ถึง ห่วง ไม่ใช่หลอกลวงรักจริงถึงห่วง ดวง ใจ จะเป็น จะตาย ก็ ไม่ยอม ให้ใคร แม้ใครชิง แย่งไป ฉัน ยอม ตาย เอย...

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=musichousechampp&group=33&month=12-2005&date=25&blog=19

ในเนื้อเพลงนี้ได้บรรยายถึงความห่วงหวงบางสิ่งอย่าง หรือคนที่รักอย่างสุดจิตใจ จนกระทั่งยอมได้แม้แต่ชีวิตถ้าจะมีใครมาทำให้พรากจากไป ซึ่งแสดงถึงว่าของสิ่งนั้น หรือคนรักคนนั้นจะต้องมีความสำคัญต่อตัวของผู้ร้องเพลงนี้ มากยิ่งกว่าชีวิตของเขาอย่างแน่นอน ช่างเป็นบทเพลงที่มีเนื้อหาซาบซึ้งเสียนี่กระไร

วานนี้ กกต. ได้ลงมติยกคำร้องให้กับนายวิฑูรย์ นามบุตร สส. ระบบสัดส่วนจังหวัดอุบลราชธานี กรณีแจกบัตรชมภาพยนตร์เป็นการซื้อเสียง หลังจากที่ได้ใช้เวลาในการตรวจสอบคำร้อง และตั้งคณะกรรมการพิจารณาหลายต่อหลายชุด เป็นเวลากว่าปี ในในที่สุดโฆษกของ กกต. ได้ออกแถลงว่า กกต. มีมติให้ยกคำร้องนั้น และเป็นมติเอกฉันท์ แต่ไม่นานคุณ สดศรี สัตยธรรม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเธอเป็นผู้ลงมติ ให้ใบแดงกับ ส.ส. ทุกคนในกรณีนี้ ซึ่งขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม มติที่ออกมาก็คือ นายวิฑูรย์ นามบุตร ไม่ต้องถูกใบแดง และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยกับการยุบพรรค ที่พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัฌชิมาธิปไตย กำลังประสบอยู่

ย้อนหลังไปไม่กี่วันกองกำลังของ พธม. ยกทัพไปปิดล้อมรัฐสภา และต่อมาก็ไปก่อการจลาจลจะปิดล้อม บชน. โดยผู้ก่อการเสียชีวิตไปถึง 2 คน และสาเหตุการณ์เสียชีวิตก็มีเงื่อนงำอย่างมาก เพราะเสียชีวิตด้วยระเบิด ที่ตำรวจไม่ได้ใช้ เพราะตำรวจใช้เพียงแก๊สน้ำตา การกระทำของกองกำลัง พธม. วันนั้นไม่ต่างจากกองกำลังของผู้ก่อการร้าย แต่ในที่สุดหลังจากมีผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตกลับได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ที่ปกป้องชาติปกป้องราชบัลลังก์

ย้อนหลังกลับไปอีกเล็กน้อย ศาลปกครองมีมติยกเลิกหมายจับในคดีกบฏต่อราชอาณาจักร ของแกนนำ พธม. ทั้ง 9 คน และ ยอมอนุญาตให้ประกันตัวในคดีอื่น ๆ ที่ถูกฟ้องร้อง รวมทั้งคดีการบุกรุกสถานที่ราชการและการยุยงให้เกิดการต่อต้านการปกครอง ซึ่งหลังจากได้รับการประกันตัวเหล่าแกนนำ พธม. ก็ยังคงกลับมาทำผิดในรูปแบบเดิม ๆ

ย้อนหลังไกลอีกนิด ศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติเอกฉันท์ ให้ท่านนายกสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกด้วยมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม โดยพิจารณาตามพจนานุกรมคือ ท่านไปออกอากาศทำรายการอาหารในฐานะลูกจ้าง โดยศาลรัฐธรรมนูญลงมติตัดสินนี้ชนิดยอมขัดสายตากับคนทั้งโลก

ดูเหมือนว่า พธม. และคนในพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการคุ้มครองและออกรับแทนจากผู้มีอำนาจของประเทศนี้ ชนิดค้านสายตาคนทั่ว ๆ ไปอยู่เสมอ และที่สำคัญวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะรัฐประหารก็ได้รับการยอมรับว่า การกระทำอันเป็นการกบฏต่อแผ่นดินเป็นสิ่งที่ทำได้ และถูกต้องจากผู้มีอำนาจของแผ่นดินอีกเช่นกัน ทำไมสิ่งที่ดูไม่ปกติเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ดูว่าคนเหล่านี้ทำในสิ่งที่ไม่สมควร

เราคงไม่ต้องกล่าวถึงว่า ถ้าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่อยู่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน การทำในสิ่งที่ผิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย กลับไม่ได้รับการปกป้องแต่อย่างใด และยังจะได้รับการตัดสินอย่างร้ายแรงที่สุดด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนไม่ต้องมีการอธิบายใด ๆ

เวลานี้ประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตย กำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นเสรีภาพมาจากเผด็จการผู้ครองเมืองอยู่ อำนาจคือของรักของหวงที่เผด็จการอมาตย์พยายามยึดครองเอาไว้ไม่ให้ใครพรากเอาไปได้ ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญเผด็จการ, คณะกรรมการอิสระ, ตุลาการ, และอำนาจนอกระบบอื่น คือสิ่งที่เหล่าเผด็จการอมาตย์จะไม่ยอมให้หลุดมือไปเด็ดขาด

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในครั้งนี้ ก็คือการแย่งไข่ขวัญของงูจงอางไปจากรังดี ๆ นี่เอง ตราบใดที่วัฒนธรรมการปกครอง ประเพณีทางความคิด เกี่ยวกับวิธีการปกครองของคนไทย ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป การต่อสู้ทางทางความคิดระหว่างประชาธิปไตย กับเผด็จการก็จะยังคงอยู่ตลอดไป

ขณะที่เผด็จการอมาตย์หวง, ห่วง และป้องกัน อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับอิสรภาพจาก ประชาธิปไตย เราเองซึ่งเป็นที่ผู้รักและศรัทธาในประชาธิปไตย รักความเป็นอิสระ รักเสรีภาพ และรักในความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน ถ้านำเอาความรัก, ห่วง, หวง ในสิ่งที่เราศรัทธามาเทียบกัน ฝ่ายประชาธิปไตยรักสิ่งนี้จนยอมสละตนเองได้ และได้พิสูจน์มาแล้วโดย คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ในขณะที่ไม่มีเผด็จการอมาตย์แม้แต่คนเดียวที่กล้ากระทำเยี่ยงนั้น

วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้เป็นเวลาที่เราทุกคนจะแสดงความรัก, ความหวง, ความห่วง, และความคิดคำนึง ที่จะรักษาประชาธิปไตยตลอดไป ประชาธิปไตยไม่เคยได้มาด้วยการร้องขอ แต่จะได้มาด้วยการต่อสู้ คงจะยอมอีกไม่ได้แล้วที่จะให้เผด็จการอมาตย์ ซึ่งเป็นคนเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ในประเทศนี้จะเข้ามากดขี่ข่มเหงความคิดของคนไทยทั้งชาติอีกแล้ว ประเทศไทยจะต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่อะไรที่จะเป็นประเพณีการปกครองที่ล้าหลัง ที่เลวร้าย ที่เสื่อมทราม จำเป็นต้องทำลายทิ้งไปก็ต้องทำ

ทุกการต่อสู้ต้องมีการสูญเสีย เรารักประชาธิปไตยเสียไปเพียง 1 แต่จะเกิดอีกนับแสน อย่าให้วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่จะถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพื่อประชาธิปไตยนั้น ขาดชื่อของท่านไปด้วย อีกท่านจะสามารถพูดกับลูกหลานของท่านด้วยความภาคภูมิใจว่า พ่อ (แม่) ได้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันสมบูรณ์เพื่อประเทศนี้ ด้วยความยากลำบากและทุกข์ทรมาน ขอให้ลูก ๆ จงรักษามันไว้ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ

และนั่นแหละคือความภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ และได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ที่ไม่ใช่ทาส

ปูนนก

จาก thaifreenews

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หม่อมปลื้ม ชี้ สนธิ ปลุกระดม

ลุงหนวด วิภูแถลง พูดที่ ขอนแก่น

สมรภูมิ ของพันธมิตร ทิศทาง การเมือง การทหาร ฐานที่มั่น ทำเนียบรัฐบาล

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์

มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่างการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับการเคลื่อนไหวของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) เมื่อเดือนตุลาคม 2516

แตกต่างอย่างแน่นอนกับการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนตุลาคม 2519

แตกต่างอย่างแน่นอนกับการเคลื่อนของสมาพันธ์ประชาธิปไตย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535

แตกต่างตรงวิธีการและกระบวนการของการเคลื่อนไหว

เมื่อเดือนตุลาคม 2516 ศนท.สะสมกำลังโดยมีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นฐานที่มั่น แต่ในวันที่ 13 ตุลาคม ก็เคลื่อนไปบนถนนราชดำเนินและประสบความสำเร็จพลันที่สามารถกดดันให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ลาออกจากตำแหน่งได้ในวันที่ 14 ตุลาคม

กระนั้น ก็เกิดความเข้าใจผิดอันนำไปสู่การปะทะกัน ณ บริเวณหน้าสวนจิตรลดารโหฐาน

เมื่อเดือนตุลาคม 2519 ศนท.เคลื่อนกำลังจากสนามหลวงไปยืนหยัดอยู่บริเวณสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และถูกล้อมปราบ จับกุม และเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหด

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 เริ่มต้นที่ท้องสนามหลวงและเคลื่อนขบวนไปบนถนนราชดำเนินกระทั่งมีการปะทะ จับกุม และปราบปรามอย่างรุนแรง

แต่การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แตกต่างออกไป

ความแตกต่างนั้นดำรงอยู่ภายในความเหมือนอันเป็นจุดร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง แต่ได้มีการยกระดับไปสู่กระบวนการทางการเมืองซึ่งมีลักษณะกึ่งทหาร

ด้านหลักของ พันธมิตรคือการตรึงกำลังสร้างฐาน

นั่นก็คือ การตรึงกำลังอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551

นั่นก็คือ การตรึงกำลังอยู่ในทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551

ขณะเดียวกัน ด้านรองของพันธมิตรคือการเคลื่อนไหวในลักษณะดาวกระจาย แยกย้ายไปที่ถนนสีลม แยกย้ายไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น

ทั้งๆ ที่พันธมิตรตรึงกำลัง ณ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทั้งๆ ที่พันธมิตรตรึงกำลัง ณ ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่พันธมิตรก็ยังตรึงกำลังและยังดำรงจุดมุ่งหมายของตนไม่แปรเปลี่ยน

ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าคำขาดที่พันธมิตรยื่นต่อรัฐบาลจะประสบความสำเร็จเมื่อใด ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าชัยชนะของพันธมิตรจะเป็นเมื่อใด

ความเป็นไปได้ที่เห็นอย่างเด่นชัดก็คือ การต่อสู้ในลักษณะยืดเยื้อและยาวนาน

หากศึกษาบทเรียนจากอดีต ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนตุลาคม 2516 ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนตุลาคม 2519 ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535

การตรึงกำลังอยู่ในที่ตั้งเสมอเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป้าหมายคือการสะสมกำลัง

เมื่อสะสมกำลังได้พอสมควร และทดสอบความแน่วแน่มั่นคงของมวลชนได้ในระดับที่แน่นอนหนึ่งก็จะเริ่มเคลื่อนขบวน

การตรึงกำลังอยู่ในที่ตั้งอย่างเมื่อเดือนตุลาคม 2519 คือหายนะ

น่าสนใจก็ตรงที่การเคลื่อนไหวของพันธมิตรนับแต่เดือนพฤษภาคม 2551 เป็นต้นมา มีลักษณะการตรึงกำลังสร้างฐานเป็นด้านหลัก การเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายเป็นด้านรอง

ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบรัฐบาล

เพราะการตรึงกำลังนั่นเองทำให้พันธมิตรจำเป็นต้องพัฒนาไปสู่การจัดตั้งกองกำลังในแบบนักรบศรีวิชัย ในแบบการ์ดพันธมิตร

ในความเป็นจริง คือ การพัฒนาจากขบวนการทางการเมืองเป็นขบวนการทางทหาร

พัฒนาการนี้เคยมีบทเรียนมาแล้วในกรณีของกองกำลังติดอาวุธของมุสโลลินี เคยมีบทเรียนมาแล้วในกรณีของกองกำลังติดอาวุธของฮิตเลอร์

นี่เท่ากับเป็นพัฒนาการบนพื้นฐานแห่งแนวคิดแบบทหาร

ในทางการรบ มาตรการยึดที่ตั้งสร้างฐานทางเศรษฐกิจสะสมกำลังเพื่อขยายตัวมีความจำเป็น

แต่ในทางการเมือง การเคลื่อนไหวมวลชนในลักษณะสร้างฐานโดยการยึดทำเนียบรัฐบาลโดยการยึดถนน ถือได้ว่าเป็นของใหม่

เป็นของใหม่ซึ่งไม่มีใครคาดหมายได้ว่าที่สุดของการยุทธจะอยู่ ณ จุดใด

ตร.ไม่"ถอดยศ"ชี้คดี"แม้ว"ยังไม่ถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีในคดีซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ว่า เรื่องการถอดยศมีระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 กำหนดไว้อย่างชัดเจน ครอบคลุมถึงข้าราชการตำรวจที่ยังอยู่ในตำแหน่งและอดีตข้าราชการตำรวจ โดยขั้นตอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กองวินัย และกองกำลังพล ต้องตรวจสอบข้อมูลว่าบุคคลใดเข้าข่ายองค์ประกอบที่จะต้องถูกดำเนินการถอดยศหรือไม่ หลังจากนั้นจึงเสนอให้ ตร.พิจารณา

สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่เข้าข่ายถูกดำเนินการถอดยศ คือ ข้าราชการตำรวจผู้นั้นต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก และคดีต้องถึงที่สุดแล้ว กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ถือว่าคดีถึงที่สุด เพราะศาลยังเปิดโอกาสให้จำเลยนำพยานหลักฐานใหม่มายื่นต่อศาลได้ภายในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งหลังจากคดีถึงที่สุดแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพราะกระบวนการถอดยศไม่ได้สิ้นสุดแค่ระดับ ตร. แต่ยังต้องเสนอโปรดเกล้าฯให้ถอดยศด้วย

วันตัดสิน

หรือว่าประวัติศาสตร์จะกลับหน้ากัน?วันนี้แทนที่ประชาชนจะเรียกร้องเอาระบอบประชาธิปไตยคืนมากลับเป็นพลิกประชาธิปไตยกลับไปเป็นระบบการปกครองอย่างอื่นประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ จึงเต็มไปด้วยความยุ่งยากและวุ่นวายทำไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ในประเทศไทยพ.ศ.2551 ประเทศถูกแบ่งข้างประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย ตรงข้ามและเผชิญหน้ากันพยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองประชาธิปไตยที่มีอยู่ ไปสู่อะไรที่เป็นอื่นอ้างว่า เพราะประชาธิปไตยทำให้ประเทศมีปัญหาแต่เป็นเรื่องที่มีสาเหตุจากคนและจะไปเปลี่ยนระบบประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์กลับหน้ากันหรือ?

นี่คือคำถามของวานนี้ วันนี้ และวันพรุ่งนี้ของเมืองไทยว่านี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับปรากฏการณ์ทางการเมืองคนที่เคยต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างเช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เกือบจะเอาชีวิตทิ้งไปกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กลับเป็นฝ่ายที่เรียกร้องแต่ต่อต้านตรงกันข้าม กับเหตุการณ์สมัยเมื่อ 16 ปีที่ผ่านมาในอดีตรัฐบาลประชาธิปไตยปัจจุบันของนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ กำลังถูกต่อต้านและขับไล่ เพื่อนำการเมืองใหม่เข้ามาแทนที่ประชาธิปไตยประเทศไทยกำลังถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายที่พร้อมจะเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงตำรวจมีกฎหมายแต่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้เต็มความสามารถ และกลายเป็นผู้ถูกต่อต้านการใช้กฎหมาย

ทหารในกองทัพกับอำนาจที่มีอยู่เต็มไม้เต็มมือ ต้องสงบนิ่งยืนดูเหตุการณ์วันนี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถประกอบอาชีพและทำมาหากินอย่างปกติสุขได้ เพราะข้ออ้างเสรีภาพทางประชาธิปไตย แต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยที่มีอยู่แล้วออกไปหรือว่าวันนี้กำลังเร่งเร้าให้ประชาชนเจ้าของประเทศไทยตัวจริงออกมาแสดงพลังเงียบที่แท้จริงยุติความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงลงพลิกหน้าประวัติศาสตร์ไทยกลับมาว่าประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้วตัดสินด้วยการปฏิวัติประเทศไทยเสียทีงั้นหรือ?

มด คันไฟ

กรรมเวรประเทศไทย

เห็นจะต้องถาม..ประเทศไทยกันสักหน่อยว่า..ประเทศไทยใจดีเกินไปหรือเปล่า..
เป็นประเทศกันมานานกว่าพันปี..มีประเพณีมีพระมหากษัตริย์กันมากว่า 50 รัชกาล..มีกฎหมายบ้าน มีกฎมณเฑียรบาลมาหลายร้อยปีเคยมีปีไหน..ที่ประเทศไทยจะไร้ขื่อไม่มีแปแบบนี้อาชญากรรมชัดๆ ปรากฏอยู่ต่อหน้า..แต่เรากลับร่ำไห้เรียกหาความปรองดองสามัคคี ลองนึกกันดูว่า..หากพวกที่ยึดทำเนียบอยู่ในเวลานี้ เป็นประชาชนคนอื่น เป็นพนักงานห้างร้านบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ..เป็นคนไทยเหมือนกับที่พวกเราๆ ท่านๆ เป็นอยู่

แล้วก็พูดจาเรียกร้องความเป็นธรรมจากการทำงาน..พูดถึงประชาธิปไตยที่ทำให้ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก แล้วชุมนุมผู้คนอยู่ในทำเนียบไทยคู่ฟ้า..นึกกันหรือว่า พวกเขาจะอยู่ได้วันนี้..วันนับศพเรียงราย..คงจะผ่านพ้นไปแล้วพร้อมกับเสียงสมน้ำหน้ามากมายปีที่แล้ว..โดนจับเข้าคุกไปหลายราย เพราะเดินขบวนไปรบกวนท่านผู้หลักผู้ใหญ่..ถึงจะไม่มีล้มตายก็มีบาดเจ็บและเป็นคดีทำไม..คนกลุ่มหนึ่งทำไม่ได้ แต่ทำไม..คนอีกกลุ่มหนึ่งทำได้ทำไม..ตำรวจผู้กระทำการตามคำสั่งของรัฐบาล เพื่อให้การบริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญขับเคลื่อนไปได้..ทั้งๆ ที่ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงขอเพียงการเปิดทางให้..และเมื่อใช้กำลังผลักดันจนกระทบกันจนถึงขั้นบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย

ตำรวจทำท่าจะกลายเป็นอาชญากรซะเองประเทศของเรากำลังเป็นอะไร..มันกำลังจะไม่เป็นประเทศอยู่แล้ว..ประเทศตั้งอยู่บนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ถึงวันนี้รัฐธรรมนูญถูกบังคับใช้กับคนไทยกลุ่มใหญ่ แต่ไร้ผลบังคับกับคนกลุ่มน้อยประเทศไทยกำลังจะล่มสลายจริงหรือประเทศไทยวันนี้..เป็นอย่างที่ประเทศไทยเป็นมาเมื่อพันกว่าปีหรือไม่..ใครทำให้ประชาชนเปลี่ยนไปเรา..จะต้องอดกลั้น อดทน และเสียสละ กันไปอีกนานแค่ไหน..หรือจนกว่า..พวกเราจะล้มหายตายจากไปท่ามกลางวิบัติแห่งแผ่นดินกันเสียก่อนเรา..จะบอกลูกหลานของเราอย่างไรว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก..เพราะถูกผิดวันนี้มันกลับข้างกลับฝ่าย จนไม่รู้ว่าตรงไหนสวรรค์ ตรงไหนนรกกรรมเวรประเทศไทย

พญาไม้

ความวุ่นวายของเมืองไทยเกิดจากพวกคนแก่ที่ไม่ยอมเข้าวัดปฏิบัติธรรม: ชราธิปไตย

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

ผมไปอ่านบทความที่น่าสนใจบทความหนึ่งในเว็บไซต์ประชาไทย เรื่อง ว่าด้วยการปกครองแบบ ชราธิปไตย” : Gerontocracy ซึ่งเขียนโดยประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งบทความสรุปได้ว่า ปัญหาการเมืองไทยปัจจุบันนี้เกิดจาก “คนแก่” ที่ไม่ได้เคารพในแนวความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง


ผมคิดว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยที่ดำเนินมากว่า 3 ปีแล้วนี้ เกิดจากภาวะคนแก่ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พยายามที่จะยื้อยุดฉุดกระฉากสังคมไทยให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อที่พรรคพวกลูกหลานของตนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายจะได้ดำรงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตนไว้ต่อไป

เราจะเห็นได้ว่า แกนนำของพวกที่เราเรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย” ทั้งหลายนี้เป็น “คนแก่อายุกว่า 80 ปี แล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นมือที่มองไม่เห็น หรือแกนนำทางความคิดที่พยายามชักจูงสังคมทั้งหลาย เช่น นายแพทย์ประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุน หรือคนอื่น คนเหล่านี้ให้สัมภาษณ์หรือชี้นำทางความคิดล้วนแต่ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักของ “ประชาธิปไตย” แทบทั้งสิ้น




ลองดูบทสรุปรวบยอดแนวคิดทางการเมืองของ ผู้ชราเหล่านี้ ที่ อ.ประสิทธิ์ พยายามรวมรวมมาเสนอนะครับ


1. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พูดย้ำเรื่องคุณธรรม การเป็นคนดี (ทั้งๆ ที่ตนเองก็ถูกกล่าวหาหลายเรื่อง เช่น เรื่องการมีบทบาทกับโผทหาร รวมทั้งเรื่องการเมืองต่าง ๆ ทั้งที่ตนเองไม่มีตำแหน่งหน้าที่หรืออำนาจทางการเมืองแล้ว)

2.นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ที่เสนอให้คนไทยมีศีลห้า

3 นายอานันท์ ปันยารชุน ที่เห็นว่า การเลือกตั้งมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นของระบอบประชาธิปไตย

4 นายแพทย์ประเวศ วะสี กล่าวเรื่อง อารยะประชาธิปไตยที่ดูเป็นนามธรรมเลื่อนลอย ฟุ้งอยู่ในอากาศ (แต่หลายคนคิดว่าเป็นความคิดลึกซึ้ง) รวมถึงทรรศนะคติการเมืองภาคประชาชนที่ท่านเคยกล่าวว่าเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือที่ให้การศึกษาทางการเมืองอย่างกว้างขวาง อย่างไม่เคยมีมาก่อน คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสามารถให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่พันธมิตรอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ภาพใหญ่คือการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง”[1] รวมถึงการสนับสนุนการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์กรณีมาตรา 7

5 อาจารย์ เสน่ห์ จามริกที่เคยกล่าวว่า รัฐประหาร 19 กันยายนเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือกและอย่ามองว่ามันถอยหลัง

6 อาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ ที่วนเวียนอยู่กับการให้ความสำคัญของชนชั้นนำ (Elite) หรือพวกอภิสิทธิ์ชน (Aristocrat) ทั้งหลาย เเละเสนอว่าสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎรไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง

7 คุณสุเมธ ตันติเวชกุล ที่มักเสนอเรื่องความดี คุณธรรม รู้รักสามัคคี หรืออะไรที่ฟังดูเชยๆ

8 คุณปราโมทย์ นาครทรรพ ที่กล่าวหลังจากมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายนว่า เราจะต้องประกาศให้โลกเข้าใจดังต่อไปนี้ว่า[2]

1) การปฏิรูปคราวนี้มิใช่การยึดอำนาจ แต่เป็นการใช้กำลังตามความจำเป็นเพื่อป้องกันการใช้กำลังของระบอบทักษิณที่เริ่มขึ้นก่อนโดยการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อจะเคลื่อนกำลังตำรวจทหารและกองกำลังท้องถิ่นสนับสนุนรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม

2) การปฏิวัติต้องแปลว่า coup เพราะไม่มีคำอื่น ฝรั่งจึงเข้าใจไขว้เขวว่าเป็นการปฏิวัติเหมือนในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกาหรือประเทศโลกที่ 3 อื่นๆ แต่ของเราไม่เหมือนใคร การปฏิวัติครั้งนี้ไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว เป็นเพียงการแสดงพลังให้อีกฝ่ายยอมเสียดีๆ ซึ่งก็ได้ผล ควรจะเรียกว่า coup de grace หรือปฏิบัติการสายฟ้าแลบเพื่อพิชิตแม้วมากกว่า เป็นการแสดงบันเทิงแก่ชาวบ้าน เด็กๆ และนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ดูจากทีวี การปฏิบัติการสายฟ้าแลบซึ่งมิได้กระทบกระเทือนวิถีชีวิต ความเชื่อ และครรลองอื่นใดแบบประชาธิปไตยเลย….” เเละเคยกล่าวบนเวทีพันธมิตรว่า การชุมนุมของพันธมิตรเป็นสิ่งที่สวยงามนานาประเทศกล่าวชื่นชมอะไรทำนองนี้



อ.ประสิทธิ์ ได้สรุปสาระสำคัญของผู้สูงอายุดังกล่าว เอาไว้ดังนี้

(1) ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้ง โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่คนเหล่านี้เห็นว่า ไม่มีความรู้ดีพอที่จะเลือกผู้แทนเข้าไปทำงานจึงต้องมีกลุ่มบุคคลหนึ่งทำหน้าที่ตรงนี้แทน

(2) หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหลักความเสมอภาคของคนต่อกฎหมาย

(3) นำเรื่องศีลธรรมจรรยา หลักธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการเมืองไทย โดยเฉพาะความพยายามต้องการเห็นนักการเมืองเป็นคนดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม (ข้อเสนอนี้มักจะมีการใช้ถ้อยคำหรือหลักการให้ฟังแล้วดูดี แต่เป็นนามธรรมมากไปจนขาดแผนปฎิบัติการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่าจะทำอย่างไรจึงจะไปสู่เป้าหมายที่ทำให้นักการเมืองเป็นคนดีมีคุณธรรมได้)

(4) มีแนวคิดยึดติดกับ ตัวบุคคลมากกว่าการสร้างระบบหรือองค์กร

(5) คิดว่าประเทศไทยมีลักษณะพิเศษแปลกกว่าประเทศอื่นๆ เป็นประเทศที่มีความสุขสงบแล้วจึงไม่ต้องเลียนแบบหรือเดินตามประเทศอื่นๆ (ดังสะท้อนให้เห็นจากในทางการเมืองได้ปฎิเสธแนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกหรือในทางเศรษฐกิจได้ปฎิเสธทุนนิยมหรือโลกาภิวัฒน์ โดยโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นว่า ประเทศไทยไม่เหมือนใครในโลก ไทยจึงควรมีระบอบการปกครองเป็นของตนเอง โดยปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยๆ โดยลืมบอกกับประชาชนไทยว่า ระบบที่ตนเองเสนอนั้นมีผลทำให้ระบบชนชั้นอำมาตยดำรงอยู่ต่อไป)

(6) ส่งเสริมหรือเห็นว่าพระราชอำนาจอำนาจของสถาบันว่า เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเมืองไทย และ

(7) ลึกๆ ผู้สูงวัยเหล่านี้โหยหารัฐประหาร หากการเมืองยุ่งยากจริงๆ ก็พร้อมที่จะเห็นด้วยกับการทำ รัฐประหารเพื่อเป็นทางออก[3]


ผมเองเห็นด้วยกับข้อสรุปของ อ.ประสิทธิ์แทบทั้งหมดทีเดียว ถือว่าสรุปได้ชัดเจน และชี้ให้ชัดถึงต้นตอรากเหง้าของแนวความคิดของพวก “แกนนำ” กลุ่มอำมาตยาธิปไตย” โดยแท้


สำหรับผมแล้ว กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆ หรือใครก็ตามในประเทศนี้ เป็นเพียง “ตัวแทน” หรือตัวหลอกของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย หรือพวกผู้ชราเหล่านี้ทั้งสิ้น แนวคิดการเมืองใหม่คือ ระบอบ 70/30 นั้น สอดคล้องกันได้อย่างลงตัวกับแนวคิดของผู้ชราภาพที่ อ.ประสิทธิ์สรุปมาได้อย่างดีเลยทีเดียว คือ คนพวกนี้ไม่เชื่อมั่นระบบเลือกตั้ง ไม่เชื่อมันคนชั้นล่าง ไม่คิดว่าคนมีความเท่าเทียมกัน คิดว่า “สังคม” ต้องมีผู้มีบุญญาบารมีมาปกครอง ซึ่งเป็นแนวความคิดเก่า ๆ สมัยราชาธิปไตยนั่นเอง


คนไทยรุ่นเราที่เป็นคนยุคใหม่จำนวนมาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับผู้ชราเหล่านี้เหมือนกัน เพราะค่านิยมหลักของเราคือ ต้องเคารพคนแก่ ซึ่งมันอาจได้ผลในสังคมเกษตรกรรม ที่สภาพสังคมหยุดนิ่ง การเรียนรู้ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของคนสู่คน ซึ่งสังคมแบบนั้นใครอยู่นานกว่าคนนั้นก็มีความรู้มากกว่า แต่สังคมยุคใหม่ ที่มาของความรู้ ประสบการณ์ไมได้ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นกับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น อินเตอร์เนต เป็นต้น ซึ่งผมเชื่ออย่างยิ่งว่า คนชราที่มีชื่อข้างต้น ไม่สามารถเรียนรู้หรือแม้แต่เปิดคอมพิวเตอร์เป็น

ตอนนี้ เราก็ได้แต่หวังว่าเมื่อ “คุณปู่หรือคนชราเหล่านี้” จะถึงแก่อายุขัย และตายไป เมื่อนั้นบ้านเมืองก็จะสงบ และการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยก็จะเกิดขึ้น

พวกผู้ชราเหล่านี้แทนที่จะเข้าวัด ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น กลับข้องแวะอยู่กับ “โลกของลูกหลาน” จนวุ่นวายไปหมด ผมหวังว่า เมื่อสิ้นบุญคุณปู่เหล่านี้ บ้านเมืองจะได้สงบสุขเสียที

อ้างอิงจาก : http://www.prachatai.com/05web/th/home/14260



จาก thaifreenews

นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วย ส.ส.พปช.เสนอให้ พล.อ.เปรม ประสานทุกฝ่าย


รัฐสภา 29 ต.ค. - นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้งก่อนเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา ถึงกรณีที่นายสุชาติ ลายนำเงิน ส.ส.พรรคพลังประชาชน เสนอให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นคนกลางในการประสานระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ และทหาร เพื่อสร้างความสมานฉันท์ภายในประเทศว่า ไม่ควรไปพูดอย่างนั้น ซึ่งสิ่งที่ตนพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็เพียงหมายถึงว่า พล.อ.เปรม เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ให้ทุกคนอดทน ทนกลั้น และเสียสละนั้น เป็นแนวทางที่ดีที่จะนำไปใช้ให้เกิดความสงบเรียบร้อย เรื่องนี้ไม่ทราบมาก่อนว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้เสนอแนวทางเช่นนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม ทุกคนควรจะนำสิ่งที่ พล.อ.เปรม ได้แนะนำไปปฏิบัติ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปขอให้ พล.อ.เปรม ทำอะไร. -สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-10-29 17:49:26

'สุขุมพงศ์'เผย 60 ส.ว.หนุนตั้งสสร.3

วันนี้ (29 ต.ค.) นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 กล่าวว่า จากการเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และวิปวุฒิสภา พบว่า วิปทั้งสองฝ่ายต่างติดใจในประเด็นคุณสมบัติของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.3) ว่าห้ามไม่ให้ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา 5 ปี ก่อนหน้านี้ เป็น ส.ส.ร.3 จึงได้ส่งร่างให้แต่ละพรรคพิจารณาหาข้อยุติ

นอกจากนี้ นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า พร้อมให้แต่ละพรรค รวมถึง ส.ว.รวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไขไปยังนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา โดยไม่ได้เร่งรัดว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งคาดว่าจะสามารถรวบรวมรายชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาได้ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาทันในสมัยประชุมนี้ ขณะนี้ทราบว่า ส.ว.สามารถรวบรวมรายชื่อได้ประมาณ 50-60 คนแล้ว



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สมเพชอำมาตย์ ไม่รู้หรือว่าคนที่พยายามส่งออกมาเรียกหาสมานฉันท์นั้นไม่มีราคาสักคนเดียว

บทความ โดย Bugbunny

สุเมธ บวรศักดิ์ ประเวศ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มอำมาตย์ที่จัดให้มีการสัมมนาเรียกร้องความสมานฉันท์ โดยใช้บวรศักดิ์ สุเมธ เป็นตัวนำ และล่าสุดตามด้วยคำเรียกร้องของประเวศให้ไม่ใช้ความรุนแรงปะทะกันนั้นเป็นเรื่องการพยายามเคลื่อนไหวด้วยยุทธวิธีชะลอการรุกกลับของภาคประชาชนที่น่าสังเวชที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ทำไมพวกเขาไม่รู้เลยหรือว่า แต่ละคนมันมีประวัติชวนสมเพชขนาดไหน

บวรศักดิ์ นั้นรู้กันทั่วทั้งประเทศว่าเป็นเด็กสงขลาและสายตรงบ้านหลายเสา เคยสร้างรอยด่างสำคัญขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการ 2550 ตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและการปะทะกันทั้งทางความคิดและกายภาพที่เห็นกันอยู่ในวันนี้ ส่วนสุเมธ นั้น เข้ายึดครองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สุรพลกับปริญญา นักวิชาการนิยมเผด็จการศักดินาอำมาตย์เดินหน้าเป็นหัวหอกให้กับกลุ่มพันธมิตรในการเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานมาตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจ 19 กันยา 49

คนพวกนี้ได้รับการตอบแทนด้วยการแต่งตั้งเป็นสมาชิก สนช.ของเผด็จการ คมช. ออกกฎหมายเผด็จการจำนวนมากมาบังคับประชาชน แถมบางครั้งองค์ประชุมไม่ครบก็ยังดึงดันส่งไปลงในราชกิจจานุเบกษาประกาศเป็นกฎหมายมากดหัวประชาชน

ส่วนราษฎรเฒ่าสมองทารก ประเวศ นั้นคือตัวพีอาร์สำคัญของขบวนการนิยมเผด็จการศักดินาอำมาตย์ ร่วมกับ อานันท์ โสภณ ปรีดา ฯลฯ มีหน้าที่ออกมาพูดสร้างกระแสความชอบธรรมให้กับพวกตน จนถูกตั้งฉายาว่า สังเวช สัมภเวสี เขาทำงานต่อเนื่องมาตลอดจนถูกต่อต้านอย่างรุนแรงทุกครั้งในระยะหลัง ๆ

ปัญหาก็คือกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องความสมานฉันท์นั้นมีราคาจริงหรือ แค่ออกมาพูดเรียกร้องก็ถูกภาคประชาชนโห่ฮาขับไล่เปิดโปงเบื้องหลังกันอื้ออึง ลองคิดถึงวันที่นักวิชาการนิยมเผด็จการศักดินาอำมาตย์ เรียกร้องให้ ประเวศ อานันท์ มาเป็นคนกลางประสานความแตกแยกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพียงประกาศออกมาก็เรียกเสียงหัวเราะเยาะเย้ยหยามหยันกันไปทั่ว จนไม่มีใครกล้าโผล่หัว ต้องประกาศไม่ขอรับงาน เพราะถึงรับก็คงไม่ได้ผลเพราะทุกคนรู้ทัน ตอนนี้เขาออกมาเรียกร้องเพียงเพื่อสร้างกระแส แล้วทหารก็จะอ้างความสมานฉันท์เข้ายึดอำนาจ ซึ่งก็คงภายในไม่กี่วันนี้ เพราะถ้าวันที่ 1 พฤศจิกายนมาถึงเมื่อไร เสียงมหาชนก็จะกระหึ่มกลบเสียงสมานฉันท์ให้เบาสนิท แล้วพวกเขาก็จะต้องถอยกลับบ้านกันไปทีละคนสองคน

วันนี้กลุ่มกบฏและผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบกำลังถูกบีบคั้นและเปิดโปงจากมติมหาชนไทยและมติอารยประเทศทั่วโลกอย่างหนัก กลุ่มขุนศึกก็ถึงกับต้องออกมาข่มขู่ประชาชนด้วยข้อหาเดิม ๆ คือหมิ่น ฯ เพราะพวกเขาเองก็ยอมรับว่า กระแสเสื้อแดงนั้นแรงกว่าเสื้อเหลือง ลึก ๆ แล้วก็ต่างก็กังวลว่า หากยึดอำนาจตามคำชี้นำของผู้เอาแต่ใจตัวเองแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร เพราะไม่เฉพาะมติมหาชนโลกเท่านั้น ในประเทศเองความแตกแยกก็รุนแรงจนทายไม่ถูกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างที่เคยทำมาหรือไม่? ยิ่งหากยึดอำนาจแล้วล้มระบบเลือกตั้ง เอาการแต่งตั้งเข้ามาแทน แผ่นดินจะลุกเป็นไฟหรือเปล่า เสียงเรียกร้องความสมานฉันท์นั้นเพื่อให้ทหารอ้างความแตกแยกออกมายึดอำนาจ ไม่ได้ต่างจากก่อนการยึดอำนาจ 19 กันยา 49 เพราะวันนั้นม็อบของสนธิจำลองเหลือคนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่สวนลุมพินี และตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้ ขันทีตั้งมั่นอยู่ที่โคราชมาแล้วหลายวัน ระดมสมองวางแผนกันอยู่ และคราวนี้น่าจะรุนแรง เพราะอาจเตรียมใช้กำลังทหารกวาดล้างประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยในแบบกวาดให้หมด เก็บให้เรียบเลยก็ได้

ยุทธวิธีที่เอา บวรศักดิ์ สุเมธ ประเวศ ออกมาสร้างกระแสครั้งนี้ แสดงภูมิปัญญาของผู้วางแผนและตัดสินใจว่ามองสั้น ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มพวกเดียวกันที่ยกยอปอปั้นให้เสียคน แทนที่จะมองให้รอบด้านว่ากระแสสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นเรื่องน่าสมเพชที่ให้ราคากับกลุ่มคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมส่วนตัวจนไม่มองว่าคนส่วนใหญ่เขาคิดกันแบบไหน

จาก thaifreenews

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ ยังไม่ยืนยันพรุ่งนี้หรือไม่


27 ต.ค. - นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงการเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันพรุ่งนี้ (28 ต.ค.) ว่าการเดินทางลงพื้นที่ถือเป็นภารกิจหนึ่ง แต่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ (28 ต.ค.) หรือไม่ ยังไม่ทราบ จะต้องถามฝ่ายปกครองและทหารก่อน ถ้าเจ้าหน้าที่เตรียมการพร้อม สามารถเดินทางไปได้วันพรุ่งนี้ ก็เป็นเรื่องดี ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จะร่วมคณะด้วยหรือไม่ คงต้องหารือกันก่อน เพราะผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่

“ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ต้องไปดูสถานการณ์ในพื้นที่ แต่จะทำให้สถานการณ์ดีได้แค่ไหน คงบอกได้ว่า เราหยุดยั้งไม่ได้ แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุด ถ้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ร่วมกันด้วยสันติได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว .- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-10-27 17:41:30


ชาวบ้านอารยะขัดขืน ยกเลิกบริการTOT โทษฐานถ่อยเขวี้ยงรองเท้าใส่นายกฯ

ที่มา บอร์ดราชดำเนิน เวบพันทิป


24 ตุลาคม 2551

เรียน ผู้จัดการเขตหนองแขม บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน)

เรื่อง ขอยกเลิกการใช้บริการโทรศัพท์ และบริการอินเตอร์เน็ต

ที่ส่งมาด้วย สำเนาภาพถ่ายเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551

ตามที่ข้าพเจ้าได้เป็นลูกค้าบริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) ใช้บริการโทรศัพท์ และบริการอินเตอร์เน็ต มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน แม้นว่าจะได้รับการบริการที่ดีบ้าง และไม่ดีบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ข้าพเจ้าก็มิได้ใส่ใจมากนัก

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551 ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ และทางโทรทัศน์ว่า มีพนักงานของ บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) จำนวนหนึ่ง ได้แสดงอาการกร้าวร้าว ใช้ความรุนแรง โดยพนักงานของบริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) ได้วิ่งกรูกันเข้าไปใช้ “ มือตบ ” ขับไล่ พร้อมตะโกนด่า ขว้างปาขวดน้ำ และรองเท้า เข้าใส่ นายกฯ สมชาย ระหว่างการตรวจเยี่ยมการทำงานของกระทรวงเทคโนโลยี่สารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)

เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าเป็นผู้ซึ่งมิได้สนับสนุนการกระทำที่ใช้ความรุนแรง กร้าวร้าว ป่าเถื่อน และการแสดงออกทางวัฒนธรรมทางการเมืองที่เลวร้ายเยี่ยงการกระทำของ พนักงานของ บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) จำนวนหนึ่งดังกล่าว และใคร่ขอเตือนสติให้ผู้บริหารของ บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) ได้ทราบด้วยว่า ขณะนี้คนในบ้านเมืองแตกแยกกันอย่างมากซึ่งมิเคยปรากฏมาก่อน แทนที่พวกเราจะช่วยกันออกมาเตือนสติคนในสังคม ช่วยกันห้ามปราม แต่คนของบริษัท จำนวนหนึ่ง ได้ออกมาแสดงกริยาอาการดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ยากที่จะยอมรับได้อีกต่อไป.

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอยกเลิกการใช้บริการโทรศัพท์ และบริการอินเตอร์เน็ตจากบริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้าน และไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ไร้วัฒนธรรมของพนักงานของบริษัทของพวกท่านบางส่วน อย่างสันติวิธี ตั้งแต่นี้ต่อไป.

ขอแสดงความนับถือ


ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องจริงของสมาชิกเวบไซต์พันทิป ชื่อนามแฝงว่าFERRYMAN ได้เขียนบอกเล่าไว้ในห้องราชดำเนิน ดังมีรายละเอียดน่าสนใจดังต่อไปนี้




เล่าสู่กันฟัง เมื่อไปยกเลิกบริการ TOT แล้วเกิดอะไรขึ้น

หลังจากทราบข่าวจากทางหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ และ โทรทัศน์ ว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551 มีพนักงานของ บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) จำนวนหนึ่ง ได้แสดงอาการกร้าวร้าว ใช้ความรุนแรง โดยพนักงานของบริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) ได้วิ่งกรูกันเข้าไปใช้ “ มือตบ ” ขับไล่ พร้อมตะโกนด่า ขว้างปาขวดน้ำ และรองเท้า เข้าใส่ นายกฯ สมชาย ระหว่างการตรวจเยี่ยมการทำงานของกระทรวงเทคโนโลยี่สารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)

พอวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2551 วันเปิดทำการ ก็เดินทางไปที่ศูนย์บริการ TOT เขตหนองแขม พร้อมจดหมายเพื่อขอยกเลิกการใช้บริการโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต พอไปถึงก็กดบัตรคิวเพื่อขอตรวจสอบค่าบริการที่ยังค้างชำระที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระเงิน จัดการชำระเงินไปเจ็ดร้อยกว่าบาทเสร็จสิ้นแล้ว ก็เหลือบไปมองที่โต๊ะบริการลูกค้า มีเจ้าหน้าที่อยู่สองคน เป็นชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน ยังให้บริการลูกค้าอยู่ ก็เลือกเอาโต๊ะเจ้าหน้าที่ผู้ชายดีกว่า เผื่อว่ามีปากมีเสียงกัน จะได้ใส่ได้เต็มๆ หน่อย นั่งรอสักครู่ ก็ถึงคิวเราแล้ว บทสนทนาจึงเกิดขึ้น.

*** ผมมายื่นเรื่องขอยกเลิกบริการ TOT ทั้งโทรศัพท์ และ อินเตอร์เน็ต (พร้อมยื่นจดหมายตามข้างต้นให้เจ้าหน้าที่)

เจ้าหน้าที่อ่านไปได้สักพัก ก็ไม่พูดว่าอะไร ยื่นเอกสารการยกเลิกให้ผมกรอกหนึ่งฉบับ ผมนั่งกรอกรายละเอียดไปจนเสร็จ ก็ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่ก็เคาะข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แล้วบอกผมมาว่า

000 คุณต้องเสียค่าปรับในการยกเลิกการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็งสูง 3,000 บาท เพราะว่าผมใช้ไม่ครบหนึ่งปีตามสัญญา ที่ระบุไว้

*** ผมตอบกลับไปว่า ผมขอยกเลิกการใช้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นในจดหมายที่ได้แนบมา ไม่ยินยอมที่จะเสียค่าปรับ และ ให้ TOT ฟ้องคดีผู้บริโภคผมมา

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็บอกผมว่า งั้นเขาทำเรื่องให้ไม่ได้ แล้วเขาก็ยื่นเรื่องกลับมาให้ผม

ผมก็ยืนยันไปว่า ให้เขาเซ็นรับหนังสือจดหมายขอยกเลิกจากผมไว้ก่อน

ปรากฏว่าเขาไม่ยินยอมเซ็น แล้วจะคืนจดหมายและคืนเรื่องยกเลิกให้ผม แต่ผมก็ไม่ยินยอม จะให้เขาเซ็นต์รับเรื่องไว้ก่อน เขาก็ไม่ยินยอมเซ็นต์

ผมบอกไปว่า ขอพบผู้จัดการเขต เนื่องจากผมทำจดหมายถึง ผู้จัดการเขตหนองแขม เขาจึงเดินเข้าไปหาผู้จัดการพร้อมยื่นจดหมายแล้วเล่าเรื่องให้ผู้จัดการฟัง ผู้จัดการเขตเป็นผู้หญิง ก็ให้ผมเขาไปนั่งคุยด้วย ผู้จัดการอ่านจดหมายแล้ว ก็บอกว่า เขาได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2551 แล้ว เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะมีผลกระทบต่อองค์กร

ผมก็บอกเขาไปว่า ผมไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของพนักงาน TOT บางส่วน ที่กระทำการเช่นนั้น จึงขอยกเลิกการใช้บริการของ TOT เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้าน และไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ไร้วัฒนธรรมของพนักงาน TOT บางส่วน อย่างสันติวิธี .

ก็สนทนากันสักครู่ ผู้จัดการก็บอกผมว่า ให้เอาอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมาคืนเขา ผมบอกว่าจะเอาไปคืนในวันจันทร์นี้ แล้วเขาก็เซ็นต์รับหนังสือจดหมายของผมเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ก็ต้องยอมรับว่า ผู้จัดการเขตหนองแขม ของ TOT ให้บริการเป็นอย่างดี และเข้าใจถึงความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อองค์กรของเขา

000 สิ่งที่ผมได้ทำก็เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้าน คัดค้าน ไม่เห็นด้วย กับพฤติกรรมของคนบางกลุ่มในสังคม ที่มีพฤติกรรมการแสดงออกทางการเมืองอย่าง กร้าวร้าว รุนแรง ไร้วัฒนธรรม ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง 000

**จะประท้วงอะไรกัน ก็ประท้วงกันพองามเถอะครับ ถึงกับขว้างปา ขวดน้ำ รองเท้าใส่กัน มันก็เกินไป

จาก Thai E-News

กกต.คาดรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขต 11 ได้วันพฤหัสบดีนี้

กรุงเทพฯ 27 ต.ค. - เมื่อวานนี้มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 11 ใน กทม. ซึ่ง กกต. กทม. ก็จะนำผลการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ไปส่งให้กับ กกต.กลางในช่วงบ่าย เบื้องต้นก็ไม่พบว่ามีการร้องเรียนในเรื่องของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ซึ่งนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า กกต. จะประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.เขต 11 ได้ในวันพฤหัสบดีนี้.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-10-27 12:26:29

ทีมความจริงวันนี้แถลง พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสายตรงเข้ารายการไม่นำไปสู่ความแตกแยก

กรุงเทพฯ 27 ต.ค. - ทีมงานความจริงวันนี้สัญจรเชื่อกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต่อสายตรงเข้ารายการจะไม่นำไปสู่ความแตกแยกของสังคม แต่จะช่วยให้บ้านเมืองสงบสุข

นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจาตุรนต์ ฉายแสงและนายอดิศร เพียงเกษ ได้แถลงข่าวการจัดงานความจริงวันนี้สัญจร ครั้งที่ 2 ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ว่า จะเน้นเนื้อหาการต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการทุกรูปแบบ เริ่มในเวลา 15.00 -22.00 น. โดยจะเป็นการรวมตัวอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อสายตรงเข้ามาในนั้นเชื่อว่า ท่านเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีวุฒิภาวะจึงเชื่อว่าจะก่อให้เกิดความสงบในบ้านเมืองมากกว่าสร้างความวุ่นวาย

ทางด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากตรวจสอบพบว่าไม่มีการบรรจุเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่เคลื่อนการชุมนุม และเห็นด้วยกับข้อเสนอของนักวิชาการที่เสนอให้มีการเจรจากัน ส่วนกรณีที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาให้นำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อช่วงเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 มาใช้นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า คงไม่ใช่การส่งสัญญาณอะไร เพราะไม่ได้เป็นต้นเหตุของความรุนแรง

สำหรับบรรยากาศบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังคงมีการปิดการจราจรบนถนนราชดำเนินนอก มีการนำแผงเหล็กและล้อยางรถยนต์ มาวางปิดกั้นบริเวณถนนหน้ากองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 จนถึงเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่ได้เปิดให้มีการสัญจรไป - มาได้ 1 ช่องทาง โดยมีการตรวจสอบรถยนต์ที่ผ่านเข้า - ออกอย่างละเอียด ขณะที่ บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ยังคงมีการนำล้อยางรถยนต์มาวางผิดกั้น ไม่ให้มีการสัญจรไป – มา ส่วนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า การจราจรเป็นไปอย่างปกติ และไม่มีการชุมนุมของกลุ่มใด ๆ

ทางด้านนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีออกหนังสือเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เฝ้าติดตามการใช้ถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูงว่า หากพบว่าเข้าข่ายให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด พร้อมได้ให้ผู้ว่าฯ จัดเวรยามเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวตามสถานีวิทยุต่าง ๆ รวมถึงเวทีแสดงความคิดเห็น หากมีการพูดจาพาดพิง ให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน และรายงานให้ทราบเป็นระยะ

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีรายงานจากบางจังหวัดเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าภาคใดมีความเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษ.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-10-27 12:09:06




หุ่นกระบอกการเมือง (ตอนที่ ๒)

วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑

บทความตอนที่แล้วผมได้เรียนท่านผู้อ่านว่า ต้องถือเป็นความโชคดีของคนไทยทั้งประเทศที่เกิดปรากฏการณ์โจรครองเมืองในครั้งนี้ จึงทำให้เราได้เห็นพวกมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาในหลากหลายสาขาอาชีพ รวมตัวกันเป็นกลุ่มโจรเสื้อนอกแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ มาถึงตอนนี้ผมคงต้องแสดงความขอบคุณพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นอย่างสูง เพราะการเคลื่อนไหวของคุณสนธิและสมัครพรรคพวกตลอดจนกลุ่มบุคคลผู้ให้การสนับสนุนนั้น ได้กลายเป็นคุณูปการต่อคนไทยทั้งชาติ คุณูปการอันสืบเนื่องจากในแต่ละย่างก้าวที่กลุ่มพันธมิตรฯทำการเคลื่อนไหวนั้น ทำให้พวกเราสามารถเห็นรอยเชื่อมต่อว่า มันมีที่มาที่ไปอย่างไร และความต้องการที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่ แล้วใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความคิดว่า สิ่งที่เราเคยหลงเชื่อเคยศรัทธาชนิดงมงายมาแต่อดีตกาลเพราะถูกปลูกฝังและครอบงำมาหลายชั่วอายุคนนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เราเคยเข้าใจและยอมรับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า “มันเป็นของปลอม”

เมื่อฉบับที่แล้วผมได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการเพลี่ยงพล้ำหรือทำท่าว่าจะถึงทางตันไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้ ก็จะมีตัวละครน้าใหม่โผล่ออกมาพลิกฟื้นสถานการณ์ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ และก็รวดเร็วทันใจเมื่อเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เจ้าสำนักสี่เสาและเครือข่ายก็ออกมาปรากฏตัวเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักขานรับการเมืองใหม่ที่กลุ่มพันธมิตรเสนอไม่ว่าจะเป็นนายชัยอนันท์เจ้าเก่าหรือขาประจำอย่างประเวศ วะสี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๒๔ อธิการบดีจากมหาวิทยาลัยต่างๆที่มีนายสุรพล นิติไกรพจน์เป็นหัวหอกแถลงการณ์เสนอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะ กรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการเมืองการปกครองเพื่อแก้วิกฤติของชาติ ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน (ผมจะขอนำเสนอแบบถอดรหัสในตอนต่อไป)

เปรมเดินทางไปมอบทุนการศึกษา ของมูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์ ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 กันยายนและได้กล่าว กับบุคคลที่มาร่วมในงานว่า เป็นหน้าที่โดยตรงของพวกเราทุกคนที่จะต้องดูแลสั่งสอนเด็กเพื่อให้เด็กฉลาด รู้จักแยกแยะความดีกับความชั่วออกจากกันได้ และรู้จักหน้าที่ของตนเองที่มีต่อชาติบ้านเมืองว่าคืออะไร และที่สำคัญเปรมยังได้สอนเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนว่า "หากเราปฏิญาณตนว่าจะทำอะไรก็ต้องทำตามคำปฏิญาณนั้น ถ้าไม่ทำตามนั้นพวกเราจะไม่ประสบกับความสุขความเจริญ เพราะพูดเท็จ ซึ่งพระสยามเทวาธิราชมีจริงและคอยดูพวกเราทำหน้าที่ให้ชาติบ้านเมือง ถ้าใครที่ทำไม่ดี ท่านก็จะไม่ชอบ แต่ถ้าใครทำดีท่านก็จะยกย่องส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรักษาคำปฏิญาณและต้องปฏิบัติสม่ำเสมอตลอดชีวิต" (พระสยามเทวาธิราช ท่านก็จะไม่ชอบ..โอ้โฮอะไรจะขนาดนั้นครับ)

ไอ้การสอนให้งมงายในลักษณะอันเป็นการครอบงำอย่างนี้นี่แหละ ที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดวิชา ที่ทอดตาไปทั่วแผ่นดินไม่มีใครอีกแล้วครับที่ทำได้เหนือชั้นไปกว่าท่านเจ้าประคุณเปรมของผมคนนี้อีกแล้ว (กลับไปอ่านเปรมาธิปไตยลัทธิมอมเมาสังคม) ผมขอให้เปรมจำคำสอนนี้ไว้ให้ดีนะครับ และผมขอภาวนาให้พระสยามเทวาธิราชมีจริงและต้องศักดิ์สิทธิ์ด้วย เผื่อว่าพวกเราจะได้มีโอกาสเห็นเปรมฉิบหายขายตนก็ในคราวนี้แหละ เปรมเป็นนักโกหกแบบหน้าด้านๆให้จับได้หลายครั้งหลายหน จนกลายเป็นเรื่องคุ้นชิน เปรมจึงไม่ยี่หระกับการโกหกมดเท็จที่ถูกจับได้

การยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมาทุกคนทราบดีว่ามันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเปรมชนิดไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเปรมออกหน้าอึกทึกครึกโครมอย่างเปิดเผย จนกระทั่งผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เปรมกลับย้อนถามนักข่าวว่า “พวกคุณรู้นี่ว่าผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง” เปรมไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนใครว่าห้ามพูดเท็จ เพราะบนความเป็นจริงเปรมไม่เคยมีความจริงให้กับใครมาโดยตลอด และสำหรับเรื่องความดีความชั่วยิ่งแล้วไปใหญ่ เปรมเองก็ยังแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรคือดีและชั่ว เปรมอาศัยหน้าที่การงานที่มีความใกล้ชิดสถาบันฯ สร้างอิทธิพลและอำนาจให้กับตัวเองและพวกพ้อง แล้วใช้อำนาจอิทธิพลเหล่านั้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสนับสนุนให้กับกลุ่มบุคคลกระทำผิดกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มทหารโจรทำการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ดี หรือการสนับสนุนให้มีกลุ่มอันธพาลข้างถนนรวมตัวกันขับไล่รัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเหิมเกริมขนาดบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่งก็ดี นี่ยังไม่นับรวมการปิดกั้นถนนตามอำเภอใจซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ถ้าหากเปรมรู้ดีรู้ชั่วจริงดังเช่นที่ชอบสั่งสอนคนอื่น เปรมย่อมต้องรู้แน่นอนว่านั่นเป็นพฤติกรรมชั่วช้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะมันเป็นการย่ำยีและฝืนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ

นอกจากนี้แล้วเปรมยังได้กล่าวว่า “ยอมรับว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งที่เคยบริหารประเทศ ดังนั้นหลายคนจึงต้องช่วยกันคิด ส่วนตัวคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว” “สิ่งสำคัญแนวทางที่จะนำไปสู่ความเรียบร้อย คือ การรักษากฎระเบียบของกฎหมาย เชื่อว่าคนไทยจะกลับมามีความปรองดองเหมือนเดิมได้” โดยขอให้น้อมนำกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อย ที่สำคัญเปรมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า “แนวทางการแก้ปัญหาบ้านเมืองนั้นขอให้ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมือง ตอบสนองความต้องการของประชาชนคนไทย”

เนียนไหมครับท่านผู้อ่าน เปรมแนะแนวทางไปสู่ความสงบด้วยการรักษากฎระเบียบของกฎหมาย เปรมต้องรู้อยู่แก่ใจแล้วละครับว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองเราในวันนี้ มีไว้สำหรับปกป้องพวกโจรกับเครือข่ายเปรมที่ทำการเคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็ใช้กฎหมายที่พวกมันเขียนขึ้นนี่แหละเข่นฆ่าคุณทักษิณและพวกพ้องตลอดจนกลุ่มคนที่รักหวงแหนประชาธิปไตย โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนคนส่วนใหญ่ ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหาบ้านเมือง “ที่ขอให้ผู้มีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน” เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็เลยมีคำถามถึงเปรมว่า การสนับสนุนให้มีการยึดอำนาจล้มล้างระบอบประชาธิปไตยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุด และการให้เครือข่ายที่มีอยู่ปกป้องและสนับสนุนให้กลุ่มพันธมิตรฯป่วนเมืองอย่างผิดกฏหมาย จนงานบริหารบ้านเมืองซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้ และแม้แต่ที่ทำการของรัฐบาลยังสามารถูกยึดโดยไม่อาจใช้กฎหมายดำเนินการกับคนกลุ่มนี้ได้ “นี่หรือที่เป็นความต้องการของประชาชน” ผมคงไม่ต้องอธิบายความละครับ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูเอาแล้วกันว่าสิ่งที่เปรมพูดมาทั้งหมดนั้นมันสอดคล้องต้องกันกับความเป็นจริงแค่ไหนอย่างไร

ถ้าหากท่านผู้อ่านจะสังเกตสักหน่อยก็จะพบว่า การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ นอกจากมีการวางแผนกันอย่างเป็นระบบแล้ว ยังมีการคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถและเชี่ยว ชาญจากทุกสาขาอาชีพในทุกองค์กร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมาทำการโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณและทำลายพรรคไทยรักไทยเป็นการเฉพาะ นายสนธิถูกกำหนดให้เป็นหัวหอกมาเปิดประเด็นลูกแกะหลงทางและตีเสมอเจ้าขึ้นมาพิฆาตคุณทักษิณ แต่มีเป้าหมายไปไกลถึงขั้นกินรวบอำนาจอย่างชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กันอย่างโจ่งแจ้งด้วยความจงใจ จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบสามปี ที่กลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายเปรมกล่าวหาคุณทักษิณด้วยการยัดเยียดความผิดและโจมตีมาตลอด ผมว่าพวกมันเองก็คงจำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

การเคลื่อนไหวโจมตีของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงคุณทักษิณและนักการ เมืองพรรคไทยรักไทยเท่านั้น นายสนธิยังด่ากราดไปยังสมาชิกคนสำคัญของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลแบบชนิดครบถ้วนทุกคนโดยไม่ตกหล่น จนกระทั่งมีการยึดอำนาจและรัฐบาลโจรเข้ามาทำหน้าที่แทน ก็ไม่อาจที่จะหลุดรอดจากการบริภาษของนายสนธิได้ นับตั้งแต่ส่วนหัวอย่าง สุรยุทธ์, หม่อมอุ๋ย,และนายโฆษิต ตลอดจนหัวหน้าโจรอย่าง สนธิบัง เรียกได้ว่าโดนกันอย่างทั่วหน้าไม่มีการยกเว้น หรือแม้แต่เปรมวายร้ายตัวสำคัญ ก็ยังไม่พ้นที่จะถูกนายสนธิวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของธนาคารกรุงเทพและบริษัทซีพีในเชิงประจาน ที่สำคัญนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยถูกนายสนธิชี้หน้าท้าทายบนจอทีวีด้วยกิริยาที่ลบหลู่ดูหมิ่นมาแล้ว สรุปได้ว่าบุคคลสำคัญและผู้มีชื่อเสียงของประเทศตลอดจนนักการ เมืองที่มีหน้าที่บริหารบ้านเมืองไม่มีคนไหนรอดพ้นจากการเป็นขี้ปากของนายสนธิได้(เรียกว่าบนเส้นทางการเมืองหาคนดีไม่ได้อีกแล้วสำหรับนายสนธิ จึงต้องเรียกหาการ เมืองสูตรใหม่ ๗๐/๓๐ แบบสนธิ ลิ้มทองกุล....โถไอ้ธิ)

เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งเปรม, สุรยุทธ์,และสนธิบัง ซึ่งมีอดีตเคยดำรงตำแหน่งในส่วนหัวของกองทัพบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก อันเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของประเทศที่นายกรัฐมนตรีในทุกยุคทุกสมัยต่างก็ต้องเอาอกเอาใจด้วยความหวั่นเกรงในอำนาจ หากแต่ต้องมาสยบยอมให้นายสนธิจาบจ้วงล่วงเกินชนิดหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศ โดยเฉพาะคนหน้าบางอย่างเปรมเจ้าของฉายา “นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ที่ไม่เคยยินยอมให้ใครก็ตามมาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นดังเช่นกรณีนายสมัคร และนายดุสิต ผู้ดำเนินรายการคิดตามวันและเช้าวันนี้ที่เมืองไทยเป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ ผมคงไม่อาจที่จะมองเป็นอื่นได้ นอกจากพวกเขาเหล่านี้ยินยอมที่จะเป็นบันได(ตามคำบัญชา)ให้นายสนธิปีนป่ายขึ้นไปเพิ่มพูนความขลังให้มีพลังในการทำลายล้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ผู้ชักรอกหุ่นประสงค์ต้องการ

ประเทศไทยที่น่าสงสาร กาลเวลาเปลี่ยนไปแต่สังคมไทยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ๗๖ ปีผ่านไป การเมืองไทยก็ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ มีการเรียกร้องประชาธิปไตย, มีการต่อต้านเผด็จการ, ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ, มีการเลือกตั้ง, แล้วสุดท้ายก็มาลงเอยที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง เป็นที่ซ้ำซากน่าเบื่อ (เบื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะครับท่านผู้อ่าน ประชาชนเบื่อเมื่อไหร่ เสร็จมันทุกทีขอให้จำคำเตือนของผมนี้ไว้) การต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากการโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป. พิบูลย์สงครามโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ ส่งผลให้จอมพลป.และพล.ต.อ.เผ่าต้องลี้ภัยหนีตายออกนอกประเทศ เป็นอันหมดยุคเผด็จการของจอมพลป.ผู้ยิ่งใหญ่ จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๐๑ แล้วขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเองและยกเลิกรัฐธรรมนูญ โดยปกครองประเทศภายใต้กฏอัยการศึกเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบพร้อมกับฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ เป็นการปิดฉากบทบาทของ “คณะราษฎร์”โดยสิ้นเชิง (คณะราษฎร์หลายคนล่วงรู้ความลับสุดยอดของแผ่นดินในกรณีลอบปลงพระชนม์ ร.๘)

ผมจำได้ว่าเมื่อสมัยที่ผมเป็นนักเรียนนั้น มีวิชาหนึ่งที่เรียกว่า “หน้าที – ศีลธรรม” มีการเรียนการสอนอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมในหมู่ของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ เรื่องหนึ่งที่เป็นความสนใจของนักเรียนสมัยนั้นนั่นก็คือ การเมืองใหม่และกฏหมายบ้านเมือง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าไม่มีนักเรียนคนไหนในยุคนั้นไม่จดจำคำประกาศของคณะราษฎร์
ที่ได้ชี้แจงต่อประชาชนว่า “คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงได้ขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดินจะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร" ซึ่งชี้ให้เห็นชัดว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกับประชาชนทั่วๆไป

นอกจากคำประกาศแล้วยังมีกฏหมายใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ในเวลานั้น โดยเฉพาะกฏหมายมาตรา 6 ที่ได้มีการให้อำนาจแก่ "ตัวแทนของประชาชน" ที่จะวินิจฉัยการกระทำผิดทางอาญาของกษัตริย์ได้โดยบัญญัติไว้ว่า "กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย" ส่วนบรรดาการกระทำต่างๆของ พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 7 คือ “ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ" รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก็ได้ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงตัว "ผู้มีอำนาจสูงสุด" ของประเทศว่า "อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย" (อ่านรายละเอียดผลงานเผยแพร่ของ รองศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่
http://www.pub-law.net/article/ac150744.html)

เนื้อหาของกฏหมายธรรมนูญการปกครองมาตรา ๖ ในอดีต กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖ ที่บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเป็นรัชทายาท อันประกอบขึ้นเป็นสถาบัน และมาตรา ๖ นี่แหละ ที่ถูกใช้พิพากษาตัดสินความผิดนายวีระ มุสิกพงษ์ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑ ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นได้ชัดเจนแล้วนะครับว่า การฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ได้มีพัฒนาการผ่านช่องทางของกฏหมายจนกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ คงต้องหาคำตอบให้ได้นะครับว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ (ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็อย่าหวังนะครับว่าปัญหาความวุ่นวายจะได้รับการแก้ไข)

การเพิ่มสิทธิ์และอำนาจให้พระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาทขึ้นไปอยู่เหนือรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำให้สถานะของสถาบันพระมหา กษัตริย์กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนทันที คงไม่มีปัญหาละครับสำหรับผมและคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความจงรักภักดี เพราะพวกเราถูกปลูกฝังมาหลายชั่วอายุคนแล้วครับในเรื่องความสำคัญแห่งสถาบันฯที่เราจำต้องยอมรับ(ถึงแม้จะมีบ้างบางคนที่ไม่เต็มใจนักก็ตาม) แต่อภิสิทธิ์ที่พระองค์ท่านและองค์รัชทายาทได้รับต้องไม่ครอบคลุมและเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น คนอื่นอันหมายถึงกลุ่มบุคคลที่ยึดสถาบันเป็นเครื่องฟอกขาวให้กับตัวเองและพวกพ้องให้หลุดพ้นจากการกระทำผิดกฎหมายของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจซึ่งมีความผิดในข้อหากบฏก็ดี หรือการแต่งตั้งรัฐบาลเถื่อนที่มาจากอำนาจนอกระบบก็ดีล้วนแต่เป็นการฉุดให้พระมหากษัตริย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำความผิดด้วยความจงใจทั้งนั้น

ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าการจัดตั้งรัฐบาลนั้นจะต้องเริ่มจากส่วนหัวคือเลือกตัวนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก่อน และตัวนายกฯก็จะทำหน้าที่เลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ซึ่งประกอบเป็นคณะที่เรียกว่าคณะรัฐมนตรี ซึ่งทุกตำแหน่งจะมีผลสมบูรณ์และสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ต่อเมื่อมีการเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยก่อน โดยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นประธานสภาฯเป็นผู้เฝ้าทูล ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีจะเป็นหน้าที่ของนายกฯ ดังนั้นการที่ผู้มีอำนาจนอกระบบทำการยึดอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลเถื่อนแล้วเฝ้าทูลฯถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากอำนาจนอกระบบเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แม้จะผิดรัฐธรรมนูญการปกครองอันเป็นกฏหมายสูงสุดก็จริงอยู่ แต่ก็ถูกกฏหมายธรรมนูญการปกครอง

ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่ามีกลุ่มบุคคลที่ยึดสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้สำหรับฟอกขาวให้ตัวเองและพวกพ้อง

ผมเรียนรู้และเข้าใจเป็นอย่างยิ่งครับว่าเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น มันมีผลสืบเนื่องมาจากการมีปัญญาชนคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ (รายละเอียดจะนำเสนอในโอกาสต่อไป) ได้เห็นได้สัมผัสรูปแบบการปกครองของประเทศที่เจริญ จึงมีความคิดที่อยากจะเจริญรอยตามอย่างนานาอารยประเทศ นั่นก็คือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจให้ตรงกันสักนิดนะครับว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น คณะราษฎร์ฯ ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นะครับ เพียงแต่ต้องการลดพระราชอำนาจ

การลดอำนาจของกษัตริย์เป็นความปรารถนาดีของคณะราษฎร์ เพราะการปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ทุกปัญหาเป็นสิทธิ์ขาดของพระมหากษัตริย์ที่จะตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว และถ้าหากมีการตัดสินใจผิดพลาด ก็จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์ (ดังที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและฝรั่งเศส) ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับระบอบการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ และเมื่อไรก็ตามหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ยังมีช่องทางให้แก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำด้วยการลาออกเปิดโอกาสให้มีการเลือกผู้นำคนใหม่ หรือยุบสภาอันเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วนะครับว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบอบประชาธิปไตยมีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ก็มีบุคคลที่หาประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์รวมตัวกันเป็นคณะทำหน้าที่หวังดีแต่ประสงค์ร้าย โดยมีความพยายามที่จะแยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน ด้วยการยกให้สูงขึ้นไปจนผู้คนไม่อาจที่จะเอื้อมถึง ดังนั้นความจงรักภักดีจึงได้ผูกขาดอยู่กับคนแค่กลุ่มเดียว และถ้าหากมีใครประสงค์ที่จะแสดงความจงรักภักดี ก็ต้องผ่านความเห็นชอบ แล้วถ้าหากไม่ได้รับความเห็นชอบและไม่ได้รับอนุญาติจากคนกลุ่มนี้แล้ว มันผู้ใดก็ตามบังอาจมาแสดงความจงรักภักดี มันผู้นั้นก็จะได้รับเคราะห์กรรมในข้อหา มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันฯหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ ดังเช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น

การยกพระมหากษัตริย์อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในมวลมนุษย์ชาติ (เฉพาะในประเทศนั้นๆ ถ้าตำแหน่งสูงสุดของมวลมนุษย์โลกอันเป็นสากลที่ชาวโลกยอมรับนั่นคือ พระเจ้าซึ่งประกอบด้วย “พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเรา พระเยซูเจ้าของชาวคริสต์และท่านโมหะหมัดของชาวมุสลิมเป็นต้น”) ขึ้นชั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เหนือพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้าอยู่หัว, พระพุทธเจ้าหลวง, พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก,พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ล้วนเกินสถานะแห่งความเป็นมนุษย์ที่พึงจะรับตำแหน่งดังกล่าวได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฏหมายขึ้นมาบังคับให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แต่เป็นความต้องการพวกเขานั่นก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖ ที่บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ และเนื้อหาของกฏหมายมาตรานี้นี่แหละที่เป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย แต่เอื้อประโยชน์ให้กับทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจมาหลายครั้งหลายหน

หลักการง่ายๆแห่งการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั่นก็คือ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย" หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นนั่นก็คือ “อำนาจเป็นของปวงชน รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศชาติต้องมาจากประชาชนและเพื่อประชาชนนั่นเอง” แต่สำหรับประชาธิปไตยแบบไทยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้นี่แหละที่ทำให้รัฐบาลแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมอบความไว้วางใจให้ก็ตาม แต่บนความเป็นจริงแล้วยังจะต้องรอให้พระมหากษัตริย์ลงนามแต่งตั้งเสียก่อนจึงจะเข้ารับตำแหน่งทำหน้าที่ได้ แล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีก็ใช่ว่าจะมั่นคงสถาพรก็หาไม่ วันดีคืนดีอาจจะมีทหารของพระราชาออกมายึดอำนาจอย่างไม่กลัวเกรงกฏหมายบ้านเมือง เพราะพวกมันมั่นใจในสถาบันฯว่าสามารถที่จะฟอกขาวให้พวกมันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของกฎหมายได้

เมื่อสถานภาพของรัฐบาลยังต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนกลุ่มเดียวเช่นนี้ การที่จะให้มีการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างที่คาดหวังและเรียกร้องอยู่ในเวลานี้ มันจึงยังห่างไกลจากความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักการเมืองที่เรามอบหมายความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่แทนพวกเรานั้น กลับกลายเป็นกลุ่มที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิ์พลของคนกลุ่มนี้อย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้นผมว่าทางที่ดีพวกเราคงต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน” แล้วละครับ นั่นก็คือการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง
หุ่นกระบอกการเมืองไม่อาจจบลงได้ในตอนที่ ๒ นี้คงต้องมีตอนต่อๆไปจนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเบื่อนะครับกับการเมืองเน่าๆอย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้ โปรดติดตามอ่านบทความตอนต่อๆไปอย่างชนิดห้ามตกหล่นเป็นอันขาด

อาคม ซิดนี่ย์
arkomsydney@yahoo.com.au

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker