บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หุ่นกระบอกการเมือง (ตอนที่ ๒)

วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑

บทความตอนที่แล้วผมได้เรียนท่านผู้อ่านว่า ต้องถือเป็นความโชคดีของคนไทยทั้งประเทศที่เกิดปรากฏการณ์โจรครองเมืองในครั้งนี้ จึงทำให้เราได้เห็นพวกมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาในหลากหลายสาขาอาชีพ รวมตัวกันเป็นกลุ่มโจรเสื้อนอกแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ มาถึงตอนนี้ผมคงต้องแสดงความขอบคุณพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นอย่างสูง เพราะการเคลื่อนไหวของคุณสนธิและสมัครพรรคพวกตลอดจนกลุ่มบุคคลผู้ให้การสนับสนุนนั้น ได้กลายเป็นคุณูปการต่อคนไทยทั้งชาติ คุณูปการอันสืบเนื่องจากในแต่ละย่างก้าวที่กลุ่มพันธมิตรฯทำการเคลื่อนไหวนั้น ทำให้พวกเราสามารถเห็นรอยเชื่อมต่อว่า มันมีที่มาที่ไปอย่างไร และความต้องการที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่ แล้วใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความคิดว่า สิ่งที่เราเคยหลงเชื่อเคยศรัทธาชนิดงมงายมาแต่อดีตกาลเพราะถูกปลูกฝังและครอบงำมาหลายชั่วอายุคนนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เราเคยเข้าใจและยอมรับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า “มันเป็นของปลอม”

เมื่อฉบับที่แล้วผมได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการเพลี่ยงพล้ำหรือทำท่าว่าจะถึงทางตันไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้ ก็จะมีตัวละครน้าใหม่โผล่ออกมาพลิกฟื้นสถานการณ์ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ และก็รวดเร็วทันใจเมื่อเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เจ้าสำนักสี่เสาและเครือข่ายก็ออกมาปรากฏตัวเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักขานรับการเมืองใหม่ที่กลุ่มพันธมิตรเสนอไม่ว่าจะเป็นนายชัยอนันท์เจ้าเก่าหรือขาประจำอย่างประเวศ วะสี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๒๔ อธิการบดีจากมหาวิทยาลัยต่างๆที่มีนายสุรพล นิติไกรพจน์เป็นหัวหอกแถลงการณ์เสนอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะ กรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการเมืองการปกครองเพื่อแก้วิกฤติของชาติ ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน (ผมจะขอนำเสนอแบบถอดรหัสในตอนต่อไป)

เปรมเดินทางไปมอบทุนการศึกษา ของมูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์ ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 กันยายนและได้กล่าว กับบุคคลที่มาร่วมในงานว่า เป็นหน้าที่โดยตรงของพวกเราทุกคนที่จะต้องดูแลสั่งสอนเด็กเพื่อให้เด็กฉลาด รู้จักแยกแยะความดีกับความชั่วออกจากกันได้ และรู้จักหน้าที่ของตนเองที่มีต่อชาติบ้านเมืองว่าคืออะไร และที่สำคัญเปรมยังได้สอนเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนว่า "หากเราปฏิญาณตนว่าจะทำอะไรก็ต้องทำตามคำปฏิญาณนั้น ถ้าไม่ทำตามนั้นพวกเราจะไม่ประสบกับความสุขความเจริญ เพราะพูดเท็จ ซึ่งพระสยามเทวาธิราชมีจริงและคอยดูพวกเราทำหน้าที่ให้ชาติบ้านเมือง ถ้าใครที่ทำไม่ดี ท่านก็จะไม่ชอบ แต่ถ้าใครทำดีท่านก็จะยกย่องส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรักษาคำปฏิญาณและต้องปฏิบัติสม่ำเสมอตลอดชีวิต" (พระสยามเทวาธิราช ท่านก็จะไม่ชอบ..โอ้โฮอะไรจะขนาดนั้นครับ)

ไอ้การสอนให้งมงายในลักษณะอันเป็นการครอบงำอย่างนี้นี่แหละ ที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดวิชา ที่ทอดตาไปทั่วแผ่นดินไม่มีใครอีกแล้วครับที่ทำได้เหนือชั้นไปกว่าท่านเจ้าประคุณเปรมของผมคนนี้อีกแล้ว (กลับไปอ่านเปรมาธิปไตยลัทธิมอมเมาสังคม) ผมขอให้เปรมจำคำสอนนี้ไว้ให้ดีนะครับ และผมขอภาวนาให้พระสยามเทวาธิราชมีจริงและต้องศักดิ์สิทธิ์ด้วย เผื่อว่าพวกเราจะได้มีโอกาสเห็นเปรมฉิบหายขายตนก็ในคราวนี้แหละ เปรมเป็นนักโกหกแบบหน้าด้านๆให้จับได้หลายครั้งหลายหน จนกลายเป็นเรื่องคุ้นชิน เปรมจึงไม่ยี่หระกับการโกหกมดเท็จที่ถูกจับได้

การยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมาทุกคนทราบดีว่ามันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเปรมชนิดไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเปรมออกหน้าอึกทึกครึกโครมอย่างเปิดเผย จนกระทั่งผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เปรมกลับย้อนถามนักข่าวว่า “พวกคุณรู้นี่ว่าผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง” เปรมไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนใครว่าห้ามพูดเท็จ เพราะบนความเป็นจริงเปรมไม่เคยมีความจริงให้กับใครมาโดยตลอด และสำหรับเรื่องความดีความชั่วยิ่งแล้วไปใหญ่ เปรมเองก็ยังแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรคือดีและชั่ว เปรมอาศัยหน้าที่การงานที่มีความใกล้ชิดสถาบันฯ สร้างอิทธิพลและอำนาจให้กับตัวเองและพวกพ้อง แล้วใช้อำนาจอิทธิพลเหล่านั้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสนับสนุนให้กับกลุ่มบุคคลกระทำผิดกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มทหารโจรทำการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ดี หรือการสนับสนุนให้มีกลุ่มอันธพาลข้างถนนรวมตัวกันขับไล่รัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเหิมเกริมขนาดบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่งก็ดี นี่ยังไม่นับรวมการปิดกั้นถนนตามอำเภอใจซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ถ้าหากเปรมรู้ดีรู้ชั่วจริงดังเช่นที่ชอบสั่งสอนคนอื่น เปรมย่อมต้องรู้แน่นอนว่านั่นเป็นพฤติกรรมชั่วช้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะมันเป็นการย่ำยีและฝืนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ

นอกจากนี้แล้วเปรมยังได้กล่าวว่า “ยอมรับว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งที่เคยบริหารประเทศ ดังนั้นหลายคนจึงต้องช่วยกันคิด ส่วนตัวคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว” “สิ่งสำคัญแนวทางที่จะนำไปสู่ความเรียบร้อย คือ การรักษากฎระเบียบของกฎหมาย เชื่อว่าคนไทยจะกลับมามีความปรองดองเหมือนเดิมได้” โดยขอให้น้อมนำกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อย ที่สำคัญเปรมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า “แนวทางการแก้ปัญหาบ้านเมืองนั้นขอให้ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมือง ตอบสนองความต้องการของประชาชนคนไทย”

เนียนไหมครับท่านผู้อ่าน เปรมแนะแนวทางไปสู่ความสงบด้วยการรักษากฎระเบียบของกฎหมาย เปรมต้องรู้อยู่แก่ใจแล้วละครับว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองเราในวันนี้ มีไว้สำหรับปกป้องพวกโจรกับเครือข่ายเปรมที่ทำการเคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็ใช้กฎหมายที่พวกมันเขียนขึ้นนี่แหละเข่นฆ่าคุณทักษิณและพวกพ้องตลอดจนกลุ่มคนที่รักหวงแหนประชาธิปไตย โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนคนส่วนใหญ่ ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหาบ้านเมือง “ที่ขอให้ผู้มีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน” เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็เลยมีคำถามถึงเปรมว่า การสนับสนุนให้มีการยึดอำนาจล้มล้างระบอบประชาธิปไตยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุด และการให้เครือข่ายที่มีอยู่ปกป้องและสนับสนุนให้กลุ่มพันธมิตรฯป่วนเมืองอย่างผิดกฏหมาย จนงานบริหารบ้านเมืองซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้ และแม้แต่ที่ทำการของรัฐบาลยังสามารถูกยึดโดยไม่อาจใช้กฎหมายดำเนินการกับคนกลุ่มนี้ได้ “นี่หรือที่เป็นความต้องการของประชาชน” ผมคงไม่ต้องอธิบายความละครับ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูเอาแล้วกันว่าสิ่งที่เปรมพูดมาทั้งหมดนั้นมันสอดคล้องต้องกันกับความเป็นจริงแค่ไหนอย่างไร

ถ้าหากท่านผู้อ่านจะสังเกตสักหน่อยก็จะพบว่า การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ นอกจากมีการวางแผนกันอย่างเป็นระบบแล้ว ยังมีการคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถและเชี่ยว ชาญจากทุกสาขาอาชีพในทุกองค์กร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมาทำการโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณและทำลายพรรคไทยรักไทยเป็นการเฉพาะ นายสนธิถูกกำหนดให้เป็นหัวหอกมาเปิดประเด็นลูกแกะหลงทางและตีเสมอเจ้าขึ้นมาพิฆาตคุณทักษิณ แต่มีเป้าหมายไปไกลถึงขั้นกินรวบอำนาจอย่างชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กันอย่างโจ่งแจ้งด้วยความจงใจ จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบสามปี ที่กลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายเปรมกล่าวหาคุณทักษิณด้วยการยัดเยียดความผิดและโจมตีมาตลอด ผมว่าพวกมันเองก็คงจำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

การเคลื่อนไหวโจมตีของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงคุณทักษิณและนักการ เมืองพรรคไทยรักไทยเท่านั้น นายสนธิยังด่ากราดไปยังสมาชิกคนสำคัญของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลแบบชนิดครบถ้วนทุกคนโดยไม่ตกหล่น จนกระทั่งมีการยึดอำนาจและรัฐบาลโจรเข้ามาทำหน้าที่แทน ก็ไม่อาจที่จะหลุดรอดจากการบริภาษของนายสนธิได้ นับตั้งแต่ส่วนหัวอย่าง สุรยุทธ์, หม่อมอุ๋ย,และนายโฆษิต ตลอดจนหัวหน้าโจรอย่าง สนธิบัง เรียกได้ว่าโดนกันอย่างทั่วหน้าไม่มีการยกเว้น หรือแม้แต่เปรมวายร้ายตัวสำคัญ ก็ยังไม่พ้นที่จะถูกนายสนธิวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของธนาคารกรุงเทพและบริษัทซีพีในเชิงประจาน ที่สำคัญนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยถูกนายสนธิชี้หน้าท้าทายบนจอทีวีด้วยกิริยาที่ลบหลู่ดูหมิ่นมาแล้ว สรุปได้ว่าบุคคลสำคัญและผู้มีชื่อเสียงของประเทศตลอดจนนักการ เมืองที่มีหน้าที่บริหารบ้านเมืองไม่มีคนไหนรอดพ้นจากการเป็นขี้ปากของนายสนธิได้(เรียกว่าบนเส้นทางการเมืองหาคนดีไม่ได้อีกแล้วสำหรับนายสนธิ จึงต้องเรียกหาการ เมืองสูตรใหม่ ๗๐/๓๐ แบบสนธิ ลิ้มทองกุล....โถไอ้ธิ)

เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งเปรม, สุรยุทธ์,และสนธิบัง ซึ่งมีอดีตเคยดำรงตำแหน่งในส่วนหัวของกองทัพบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก อันเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของประเทศที่นายกรัฐมนตรีในทุกยุคทุกสมัยต่างก็ต้องเอาอกเอาใจด้วยความหวั่นเกรงในอำนาจ หากแต่ต้องมาสยบยอมให้นายสนธิจาบจ้วงล่วงเกินชนิดหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศ โดยเฉพาะคนหน้าบางอย่างเปรมเจ้าของฉายา “นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ที่ไม่เคยยินยอมให้ใครก็ตามมาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นดังเช่นกรณีนายสมัคร และนายดุสิต ผู้ดำเนินรายการคิดตามวันและเช้าวันนี้ที่เมืองไทยเป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ ผมคงไม่อาจที่จะมองเป็นอื่นได้ นอกจากพวกเขาเหล่านี้ยินยอมที่จะเป็นบันได(ตามคำบัญชา)ให้นายสนธิปีนป่ายขึ้นไปเพิ่มพูนความขลังให้มีพลังในการทำลายล้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ผู้ชักรอกหุ่นประสงค์ต้องการ

ประเทศไทยที่น่าสงสาร กาลเวลาเปลี่ยนไปแต่สังคมไทยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ๗๖ ปีผ่านไป การเมืองไทยก็ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ มีการเรียกร้องประชาธิปไตย, มีการต่อต้านเผด็จการ, ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ, มีการเลือกตั้ง, แล้วสุดท้ายก็มาลงเอยที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง เป็นที่ซ้ำซากน่าเบื่อ (เบื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะครับท่านผู้อ่าน ประชาชนเบื่อเมื่อไหร่ เสร็จมันทุกทีขอให้จำคำเตือนของผมนี้ไว้) การต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากการโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป. พิบูลย์สงครามโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ ส่งผลให้จอมพลป.และพล.ต.อ.เผ่าต้องลี้ภัยหนีตายออกนอกประเทศ เป็นอันหมดยุคเผด็จการของจอมพลป.ผู้ยิ่งใหญ่ จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๐๑ แล้วขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเองและยกเลิกรัฐธรรมนูญ โดยปกครองประเทศภายใต้กฏอัยการศึกเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบพร้อมกับฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ เป็นการปิดฉากบทบาทของ “คณะราษฎร์”โดยสิ้นเชิง (คณะราษฎร์หลายคนล่วงรู้ความลับสุดยอดของแผ่นดินในกรณีลอบปลงพระชนม์ ร.๘)

ผมจำได้ว่าเมื่อสมัยที่ผมเป็นนักเรียนนั้น มีวิชาหนึ่งที่เรียกว่า “หน้าที – ศีลธรรม” มีการเรียนการสอนอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมในหมู่ของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ เรื่องหนึ่งที่เป็นความสนใจของนักเรียนสมัยนั้นนั่นก็คือ การเมืองใหม่และกฏหมายบ้านเมือง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าไม่มีนักเรียนคนไหนในยุคนั้นไม่จดจำคำประกาศของคณะราษฎร์
ที่ได้ชี้แจงต่อประชาชนว่า “คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงได้ขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดินจะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร" ซึ่งชี้ให้เห็นชัดว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกับประชาชนทั่วๆไป

นอกจากคำประกาศแล้วยังมีกฏหมายใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ในเวลานั้น โดยเฉพาะกฏหมายมาตรา 6 ที่ได้มีการให้อำนาจแก่ "ตัวแทนของประชาชน" ที่จะวินิจฉัยการกระทำผิดทางอาญาของกษัตริย์ได้โดยบัญญัติไว้ว่า "กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย" ส่วนบรรดาการกระทำต่างๆของ พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 7 คือ “ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ" รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก็ได้ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงตัว "ผู้มีอำนาจสูงสุด" ของประเทศว่า "อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย" (อ่านรายละเอียดผลงานเผยแพร่ของ รองศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่
http://www.pub-law.net/article/ac150744.html)

เนื้อหาของกฏหมายธรรมนูญการปกครองมาตรา ๖ ในอดีต กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖ ที่บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเป็นรัชทายาท อันประกอบขึ้นเป็นสถาบัน และมาตรา ๖ นี่แหละ ที่ถูกใช้พิพากษาตัดสินความผิดนายวีระ มุสิกพงษ์ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑ ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นได้ชัดเจนแล้วนะครับว่า การฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ได้มีพัฒนาการผ่านช่องทางของกฏหมายจนกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ คงต้องหาคำตอบให้ได้นะครับว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ (ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็อย่าหวังนะครับว่าปัญหาความวุ่นวายจะได้รับการแก้ไข)

การเพิ่มสิทธิ์และอำนาจให้พระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาทขึ้นไปอยู่เหนือรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำให้สถานะของสถาบันพระมหา กษัตริย์กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนทันที คงไม่มีปัญหาละครับสำหรับผมและคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความจงรักภักดี เพราะพวกเราถูกปลูกฝังมาหลายชั่วอายุคนแล้วครับในเรื่องความสำคัญแห่งสถาบันฯที่เราจำต้องยอมรับ(ถึงแม้จะมีบ้างบางคนที่ไม่เต็มใจนักก็ตาม) แต่อภิสิทธิ์ที่พระองค์ท่านและองค์รัชทายาทได้รับต้องไม่ครอบคลุมและเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น คนอื่นอันหมายถึงกลุ่มบุคคลที่ยึดสถาบันเป็นเครื่องฟอกขาวให้กับตัวเองและพวกพ้องให้หลุดพ้นจากการกระทำผิดกฎหมายของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจซึ่งมีความผิดในข้อหากบฏก็ดี หรือการแต่งตั้งรัฐบาลเถื่อนที่มาจากอำนาจนอกระบบก็ดีล้วนแต่เป็นการฉุดให้พระมหากษัตริย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำความผิดด้วยความจงใจทั้งนั้น

ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าการจัดตั้งรัฐบาลนั้นจะต้องเริ่มจากส่วนหัวคือเลือกตัวนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก่อน และตัวนายกฯก็จะทำหน้าที่เลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ซึ่งประกอบเป็นคณะที่เรียกว่าคณะรัฐมนตรี ซึ่งทุกตำแหน่งจะมีผลสมบูรณ์และสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ต่อเมื่อมีการเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยก่อน โดยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นประธานสภาฯเป็นผู้เฝ้าทูล ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีจะเป็นหน้าที่ของนายกฯ ดังนั้นการที่ผู้มีอำนาจนอกระบบทำการยึดอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลเถื่อนแล้วเฝ้าทูลฯถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากอำนาจนอกระบบเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แม้จะผิดรัฐธรรมนูญการปกครองอันเป็นกฏหมายสูงสุดก็จริงอยู่ แต่ก็ถูกกฏหมายธรรมนูญการปกครอง

ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่ามีกลุ่มบุคคลที่ยึดสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้สำหรับฟอกขาวให้ตัวเองและพวกพ้อง

ผมเรียนรู้และเข้าใจเป็นอย่างยิ่งครับว่าเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น มันมีผลสืบเนื่องมาจากการมีปัญญาชนคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ (รายละเอียดจะนำเสนอในโอกาสต่อไป) ได้เห็นได้สัมผัสรูปแบบการปกครองของประเทศที่เจริญ จึงมีความคิดที่อยากจะเจริญรอยตามอย่างนานาอารยประเทศ นั่นก็คือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจให้ตรงกันสักนิดนะครับว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น คณะราษฎร์ฯ ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นะครับ เพียงแต่ต้องการลดพระราชอำนาจ

การลดอำนาจของกษัตริย์เป็นความปรารถนาดีของคณะราษฎร์ เพราะการปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ทุกปัญหาเป็นสิทธิ์ขาดของพระมหากษัตริย์ที่จะตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว และถ้าหากมีการตัดสินใจผิดพลาด ก็จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์ (ดังที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและฝรั่งเศส) ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับระบอบการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ และเมื่อไรก็ตามหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ยังมีช่องทางให้แก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำด้วยการลาออกเปิดโอกาสให้มีการเลือกผู้นำคนใหม่ หรือยุบสภาอันเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วนะครับว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบอบประชาธิปไตยมีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ก็มีบุคคลที่หาประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์รวมตัวกันเป็นคณะทำหน้าที่หวังดีแต่ประสงค์ร้าย โดยมีความพยายามที่จะแยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน ด้วยการยกให้สูงขึ้นไปจนผู้คนไม่อาจที่จะเอื้อมถึง ดังนั้นความจงรักภักดีจึงได้ผูกขาดอยู่กับคนแค่กลุ่มเดียว และถ้าหากมีใครประสงค์ที่จะแสดงความจงรักภักดี ก็ต้องผ่านความเห็นชอบ แล้วถ้าหากไม่ได้รับความเห็นชอบและไม่ได้รับอนุญาติจากคนกลุ่มนี้แล้ว มันผู้ใดก็ตามบังอาจมาแสดงความจงรักภักดี มันผู้นั้นก็จะได้รับเคราะห์กรรมในข้อหา มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันฯหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ ดังเช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น

การยกพระมหากษัตริย์อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในมวลมนุษย์ชาติ (เฉพาะในประเทศนั้นๆ ถ้าตำแหน่งสูงสุดของมวลมนุษย์โลกอันเป็นสากลที่ชาวโลกยอมรับนั่นคือ พระเจ้าซึ่งประกอบด้วย “พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเรา พระเยซูเจ้าของชาวคริสต์และท่านโมหะหมัดของชาวมุสลิมเป็นต้น”) ขึ้นชั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เหนือพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้าอยู่หัว, พระพุทธเจ้าหลวง, พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก,พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ล้วนเกินสถานะแห่งความเป็นมนุษย์ที่พึงจะรับตำแหน่งดังกล่าวได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฏหมายขึ้นมาบังคับให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แต่เป็นความต้องการพวกเขานั่นก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖ ที่บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ และเนื้อหาของกฏหมายมาตรานี้นี่แหละที่เป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย แต่เอื้อประโยชน์ให้กับทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจมาหลายครั้งหลายหน

หลักการง่ายๆแห่งการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั่นก็คือ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย" หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นนั่นก็คือ “อำนาจเป็นของปวงชน รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศชาติต้องมาจากประชาชนและเพื่อประชาชนนั่นเอง” แต่สำหรับประชาธิปไตยแบบไทยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้นี่แหละที่ทำให้รัฐบาลแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมอบความไว้วางใจให้ก็ตาม แต่บนความเป็นจริงแล้วยังจะต้องรอให้พระมหากษัตริย์ลงนามแต่งตั้งเสียก่อนจึงจะเข้ารับตำแหน่งทำหน้าที่ได้ แล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีก็ใช่ว่าจะมั่นคงสถาพรก็หาไม่ วันดีคืนดีอาจจะมีทหารของพระราชาออกมายึดอำนาจอย่างไม่กลัวเกรงกฏหมายบ้านเมือง เพราะพวกมันมั่นใจในสถาบันฯว่าสามารถที่จะฟอกขาวให้พวกมันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของกฎหมายได้

เมื่อสถานภาพของรัฐบาลยังต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนกลุ่มเดียวเช่นนี้ การที่จะให้มีการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างที่คาดหวังและเรียกร้องอยู่ในเวลานี้ มันจึงยังห่างไกลจากความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักการเมืองที่เรามอบหมายความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่แทนพวกเรานั้น กลับกลายเป็นกลุ่มที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิ์พลของคนกลุ่มนี้อย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้นผมว่าทางที่ดีพวกเราคงต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน” แล้วละครับ นั่นก็คือการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง
หุ่นกระบอกการเมืองไม่อาจจบลงได้ในตอนที่ ๒ นี้คงต้องมีตอนต่อๆไปจนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเบื่อนะครับกับการเมืองเน่าๆอย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้ โปรดติดตามอ่านบทความตอนต่อๆไปอย่างชนิดห้ามตกหล่นเป็นอันขาด

อาคม ซิดนี่ย์
arkomsydney@yahoo.com.au

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker