ผมไปอ่านบทความที่น่าสนใจบทความหนึ่งในเว็บไซต์ประชาไทย เรื่อง ว่าด้วยการปกครองแบบ “ชราธิปไตย” : Gerontocracy ซึ่งเขียนโดยประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งบทความสรุปได้ว่า ปัญหาการเมืองไทยปัจจุบันนี้เกิดจาก “คนแก่” ที่ไม่ได้เคารพในแนวความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ผมคิดว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยที่ดำเนินมากว่า 3 ปีแล้วนี้ เกิดจากภาวะคนแก่ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พยายามที่จะยื้อยุดฉุดกระฉากสังคมไทยให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อที่พรรคพวกลูกหลานของตนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายจะได้ดำรงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตนไว้ต่อไป
เราจะเห็นได้ว่า แกนนำของพวกที่เราเรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย” ทั้งหลายนี้เป็น “คนแก่อายุกว่า 80 ปี แล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นมือที่มองไม่เห็น หรือแกนนำทางความคิดที่พยายามชักจูงสังคมทั้งหลาย เช่น นายแพทย์ประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุน หรือคนอื่น คนเหล่านี้ให้สัมภาษณ์หรือชี้นำทางความคิดล้วนแต่ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักของ “ประชาธิปไตย” แทบทั้งสิ้น
ลองดูบทสรุปรวบยอดแนวคิดทางการเมืองของ ผู้ชราเหล่านี้ ที่ อ.ประสิทธิ์ พยายามรวมรวมมาเสนอนะครับ
1. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พูดย้ำเรื่องคุณธรรม การเป็นคนดี (ทั้งๆ ที่ตนเองก็ถูกกล่าวหาหลายเรื่อง เช่น เรื่องการมีบทบาทกับโผทหาร รวมทั้งเรื่องการเมืองต่าง ๆ ทั้งที่ตนเองไม่มีตำแหน่งหน้าที่หรืออำนาจทางการเมืองแล้ว)
2.นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ที่เสนอให้คนไทยมีศีลห้า
3 นายอานันท์ ปันยารชุน ที่เห็นว่า “การเลือกตั้งมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นของระบอบประชาธิปไตย”
4 นายแพทย์ประเวศ วะสี กล่าวเรื่อง “อารยะประชาธิปไตย” ที่ดูเป็นนามธรรมเลื่อนลอย ฟุ้งอยู่ในอากาศ (แต่หลายคนคิดว่าเป็นความคิดลึกซึ้ง) รวมถึงทรรศนะคติการเมืองภาคประชาชนที่ท่านเคยกล่าวว่า “เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือที่ให้การศึกษาทางการเมืองอย่างกว้างขวาง อย่างไม่เคยมีมาก่อน คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสามารถให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่พันธมิตรอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ภาพใหญ่คือการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง”[1] รวมถึงการสนับสนุนการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์กรณีมาตรา 7
5 อาจารย์ เสน่ห์ จามริกที่เคยกล่าวว่า “รัฐประหาร 19 กันยายนเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือกและอย่ามองว่ามันถอยหลัง”
6 อาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ ที่วนเวียนอยู่กับการให้ความสำคัญของชนชั้นนำ (Elite) หรือพวกอภิสิทธิ์ชน (Aristocrat) ทั้งหลาย เเละเสนอว่าสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎรไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง
7 คุณสุเมธ ตันติเวชกุล ที่มักเสนอเรื่องความดี คุณธรรม รู้รักสามัคคี หรืออะไรที่ฟังดูเชยๆ
8 คุณปราโมทย์ นาครทรรพ ที่กล่าวหลังจากมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายนว่า “เราจะต้องประกาศให้โลกเข้าใจดังต่อไปนี้ว่า[2]
1) การปฏิรูปคราวนี้มิใช่การยึดอำนาจ แต่เป็นการใช้กำลังตามความจำเป็นเพื่อป้องกันการใช้กำลังของระบอบทักษิณที่เริ่มขึ้นก่อนโดยการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อจะเคลื่อนกำลังตำรวจทหารและกองกำลังท้องถิ่นสนับสนุนรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม
2) การปฏิวัติต้องแปลว่า coup เพราะไม่มีคำอื่น ฝรั่งจึงเข้าใจไขว้เขวว่าเป็นการปฏิวัติเหมือนในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกาหรือประเทศโลกที่ 3 อื่นๆ แต่ของเราไม่เหมือนใคร การปฏิวัติครั้งนี้ไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว เป็นเพียงการแสดงพลังให้อีกฝ่ายยอมเสียดีๆ ซึ่งก็ได้ผล ควรจะเรียกว่า coup de grace หรือปฏิบัติการสายฟ้าแลบเพื่อพิชิตแม้วมากกว่า เป็นการแสดงบันเทิงแก่ชาวบ้าน เด็กๆ และนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ดูจากทีวี การปฏิบัติการสายฟ้าแลบซึ่งมิได้กระทบกระเทือนวิถีชีวิต ความเชื่อ และครรลองอื่นใดแบบประชาธิปไตยเลย….” เเละเคยกล่าวบนเวทีพันธมิตรว่า “การชุมนุมของพันธมิตรเป็นสิ่งที่สวยงามนานาประเทศกล่าวชื่นชม” อะไรทำนองนี้
(1) ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้ง โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่คนเหล่านี้เห็นว่า ไม่มีความรู้ดีพอที่จะเลือกผู้แทนเข้าไปทำงานจึงต้องมีกลุ่มบุคคลหนึ่งทำหน้าที่ตรงนี้แทน
(2) หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหลักความเสมอภาคของคนต่อกฎหมาย
(3) นำเรื่องศีลธรรมจรรยา หลักธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการเมืองไทย โดยเฉพาะความพยายามต้องการเห็นนักการเมืองเป็นคนดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม (ข้อเสนอนี้มักจะมีการใช้ถ้อยคำหรือหลักการให้ฟังแล้วดูดี แต่เป็นนามธรรมมากไปจนขาดแผนปฎิบัติการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่าจะทำอย่างไรจึงจะไปสู่เป้าหมายที่ทำให้นักการเมืองเป็นคนดีมีคุณธรรมได้)
(4) มีแนวคิดยึดติดกับ “ตัวบุคคล” มากกว่า “การสร้างระบบหรือองค์กร”
(5) คิดว่าประเทศไทยมีลักษณะพิเศษแปลกกว่าประเทศอื่นๆ เป็นประเทศที่มีความสุขสงบแล้วจึงไม่ต้องเลียนแบบหรือเดินตามประเทศอื่นๆ (ดังสะท้อนให้เห็นจากในทางการเมืองได้ปฎิเสธแนวคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกหรือในทางเศรษฐกิจได้ปฎิเสธทุนนิยมหรือโลกาภิวัฒน์ โดยโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นว่า ประเทศไทยไม่เหมือนใครในโลก ไทยจึงควรมีระบอบการปกครองเป็นของตนเอง โดยปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยๆ โดยลืมบอกกับประชาชนไทยว่า ระบบที่ตนเองเสนอนั้นมีผลทำให้ระบบชนชั้นอำมาตยดำรงอยู่ต่อไป)
(6) ส่งเสริมหรือเห็นว่าพระราชอำนาจอำนาจของสถาบันว่า เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเมืองไทย และ
(7) ลึกๆ ผู้สูงวัยเหล่านี้โหยหารัฐประหาร หากการเมืองยุ่งยากจริงๆ ก็พร้อมที่จะเห็นด้วยกับการทำ “รัฐประหาร” เพื่อเป็นทางออก[3]
ผมเองเห็นด้วยกับข้อสรุปของ อ.ประสิทธิ์แทบทั้งหมดทีเดียว ถือว่าสรุปได้ชัดเจน และชี้ให้ชัดถึงต้นตอรากเหง้าของแนวความคิดของพวก “แกนนำ” กลุ่มอำมาตยาธิปไตย” โดยแท้
สำหรับผมแล้ว กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆ หรือใครก็ตามในประเทศนี้ เป็นเพียง “ตัวแทน” หรือตัวหลอกของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย หรือพวกผู้ชราเหล่านี้ทั้งสิ้น แนวคิดการเมืองใหม่คือ ระบอบ 70/30 นั้น สอดคล้องกันได้อย่างลงตัวกับแนวคิดของผู้ชราภาพที่ อ.ประสิทธิ์สรุปมาได้อย่างดีเลยทีเดียว คือ คนพวกนี้ไม่เชื่อมั่นระบบเลือกตั้ง ไม่เชื่อมันคนชั้นล่าง ไม่คิดว่าคนมีความเท่าเทียมกัน คิดว่า “สังคม” ต้องมีผู้มีบุญญาบารมีมาปกครอง ซึ่งเป็นแนวความคิดเก่า ๆ สมัยราชาธิปไตยนั่นเอง
คนไทยรุ่นเราที่เป็นคนยุคใหม่จำนวนมาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับผู้ชราเหล่านี้เหมือนกัน เพราะค่านิยมหลักของเราคือ ต้องเคารพคนแก่ ซึ่งมันอาจได้ผลในสังคมเกษตรกรรม ที่สภาพสังคมหยุดนิ่ง การเรียนรู้ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของคนสู่คน ซึ่งสังคมแบบนั้นใครอยู่นานกว่าคนนั้นก็มีความรู้มากกว่า แต่สังคมยุคใหม่ ที่มาของความรู้ ประสบการณ์ไมได้ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นกับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น อินเตอร์เนต เป็นต้น ซึ่งผมเชื่ออย่างยิ่งว่า คนชราที่มีชื่อข้างต้น ไม่สามารถเรียนรู้หรือแม้แต่เปิดคอมพิวเตอร์เป็น
ตอนนี้ เราก็ได้แต่หวังว่าเมื่อ “คุณปู่หรือคนชราเหล่านี้” จะถึงแก่อายุขัย และตายไป เมื่อนั้นบ้านเมืองก็จะสงบ และการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยก็จะเกิดขึ้น
พวกผู้ชราเหล่านี้แทนที่จะเข้าวัด ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น กลับข้องแวะอยู่กับ “โลกของลูกหลาน” จนวุ่นวายไปหมด ผมหวังว่า เมื่อสิ้นบุญคุณปู่เหล่านี้ บ้านเมืองจะได้สงบสุขเสียที
อ้างอิงจาก : http://www.prachatai.com/05web/th/home/14260